AtW ตอนที่ 102 เทคนิคการทําสมาธิแบบจอมเวทย์
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย
ภายใน 3 ไมล์ห่างจากหอคอยเวทย์มนตร์นี้เอง มีบ้านที่ถูกสร้างโดยสถาปัตยกรรม ชั้นสูงของเมืองเบกองตั้งอยู่ที่ด้านหลังของถนนตามแนวภูเขา จากตรงนั้นจะทําให้เห็นหอคอยเวทย์มนตร์ทั้ง 3 แห่งที่อยู่บนยอดเขา และจากตรงนั้นเองก็จะเห็นวิวของเมืองทั้งเมืองเบกองด้วยเช่นเดียวกัน
บริเวณโดยรอบหอคอยเวทย์มนตร์นี้เองมีบ้านทั้งหมด 50 หลังด้วยกัน โดยบ้าน แต่ละหลังนั้นจะถูกสร้างโดยใช้โครงสร้างเดียวกันทั้งหมด แน่นอนว่าจะไม่มีบ้านหลังไหนนั้นเป็นที่สะดุดตาเป็นพิเศษ ทุกๆบ้านเองจะมีลานเล็กๆ หลังบ้านด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยลานบ้านนี้เองคงจะเป็นที่ที่เหมาะสมที่จะทําให้อาเบลสามารถเลี้ยงดูสัตว์ขี่ของเขาได้
อาเบลวางเสื้อคลมสีเทาของเขาไว้เหนือหัวก่อนที่จะเดินไปอย่างช้าๆ ตามขอบของถนนบนภูเขา เวลานี้เป็นเวลาทานอาหารเย็นแล้วนั่นเอง ลูกศิษย์คนอื่นๆต่างก็กําลังแยกย้ายที่จะกลับบ้านของตัวเอง บริเวณที่อยู่อาศัยแถวนี้ทั้งหมดเป็นที่อยู่ของเหล่าลูกศิษย์จอมเวทย์ มีเพียงคนรับใช้ของเหล่าขุนนางเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะอยู่บ้านหลังนี้เพื่อคอยดูแลเจ้านายของพวกเขาระหว่างฝึกพลังเวทย์
เดิมทีนั้นพ่อบ้านเคนก็เป็นหนึ่งบริวารรับใช้ของอาเบลเช่นกัน พ่อบ้านเคนได้วางแผนที่จะให้เหล่าบริวารรับใช้คนอื่นๆ มาดูแลการใช้ชีวิตของอาเบลในที่แห่งนี้แทน แต่สุดท้ายแล้วอาเบลก็ปฏิเสธความหวังดีของพ่อบ้านคนนี้ไป อาเบลแค่สั่งให้บริวารรับใช้นั้นพาลมทมิฬมาที่บ้านพักแห่งนี้ทุกวันในเวลาอาหารเย็นเพียงเท่านั้น
ทันที่ที่อาเบลได้เข้ามาที่บ้านหลังที่ 16 ตัวเขานั้นก็พบกับเงาอะไรบางอย่างอยู่ ด้านบนตัวเขา “ลมทมิฬหยุดเดี๋ยวนี้!” อาเบลนั้นอยากที่จะให้ลมทมิฬหมาป่าที่เป็นสัตว์ขี่ของเขาเติบโตไวๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะโตวันโตคืนอย่างรวดเร็ว ถ้าหากลมทมิฬในตอนนี้ได้พุ่งเข้าโจมตีมนุษย์แล้วละก็เขาคนนั้นจะต้องล้มลงกับพื้นไปอย่างแน่นอน ลมทมิฬได้พุ่งเข้าใส่อาเบลในทันที ตอนนี้ลิ้นของมันกําลังเลียใบหน้าของอาเบลอยู่ วิธีการแสดงออกแบบนี้เองคงเป็นวิธีเดียวที่มันจะสามารถบอกว่าคิดถึงผู้เป็นนายของมันได้
“นายท่าน” เคนยืนขึ้น ตอนนี้เขานั้นกาลังอยู่ด้านหลังลมทมิฬนั่นเอง เขาได้โค้งคำนับให้กับอาเบล
“พ่อบ้านเคน คุณไม่ต้องมาถึงที่นี่ด้วยตัวเองแบบนี้ก็ได้นะ คุณมีอะไรที่จะต้องทําอีกเยอะในเมืองเบกองนี้ ในเวลานี้ให้คนรับใช้พาลมทมิฬมาก็เพียงพอแล้ว” อาเบลได้พูดขึ้นต่อหน้าพ่อบ้านเคน พ่อบ้านเคนคนนี้เป็นคนที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีกับอาเบลมากนั่นเอง
แม้ว่าอาเบลจะอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์เมืองเบกองแต่ที่เมืองแห่งนี้เองก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างด้วยกันที่ตัวเขานั้นจะต้องจัดการดูแล ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็คงจะเป็น คฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ภายนอกเมืองเบกอง บ้านพักในเมืองเบกอง ที่พักเหล่านี้ล้วนแต่ต้องจัดการดูแลด้วยกันทั้งนั้น โดยผู้ที่รับหน้าที่ตรงนี้ไปก็คือพ่อบ้านเคนนั่นเอง เดิมทีแล้วพ่อบ้านเคนนั้นเคยแต่อาศัยอยู่ที่ปราสาทอาเบลแต่เพียงที่เดียวตัวของเขานั้นไม่เคยที่จะออกจากปราสาทหลังนั้นมาก่อนเลย
แต่ในตอนนี้อาเบลได้มาอาศัยอยู่ที่เมืองเบกองเพียงคนเดียวแล้ว ดังนั้นเขาจึงอาสาที่จะติดตามอาเบลมาอยู่ที่นี่ด้วยนั่นเอง ถ้าหากเขาจะต้องทําด้วยเหตุผลอื่นแล้วละก็พ่อบ้านเคนคนนี้ก็คงจะไม่ทําแบบนี้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้เองพ่อบ้านเคนจึงต้องดูแลทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายใต้การดูแลของบอาเบลแทนเขาไปในที่สุด ในตอนนี้อาเบลได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในตอนนี้ไปกับการฝึกฝนการเป็นจอมเวทย์
แม้ว่าพ่อบ้านเคนจะไม่เข้าใจเลยว่าทําไมอัศวินระดับกลางที่แสนจะทรงพลังรวมไปถึงตัวเขานั้นก็เป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กอีกด้วยถึงต้องการที่จะเข้ามาสู่หอคอยเวทย์มนตร์เพื่อจะเป็นผู้ติดตามจอมเวทย์แบบนี้ แต่ถึงเขาจะไม่เข้าใจอะไรเลย แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะซื่อสัตย์และเลือกที่จะดูแลอาเบลให้ดีที่สุด
ในตอนนี้การใช้ “เวทย์เพิ่มขีดความสามารถสัตว์ขี่” โดยอาเบลนั้นได้ถูกใช้บ่อยขึ้น ดังนั้นแล้วตัวเขานั้นจะต้องรักษาระดับทักษะให้อยู่ในระดับที่ต่ํามากที่สุดเพื่อที่ว่าเหล่าผู้คนทั้งหลายที่อยู่ใกล้ๆ กับหอคอยเวทย์มนตร์นั้นจะไม่รู้ตัว
ใบหน้าของลมทมิฬในตอนนี้นั้นกําลังเต็มไปด้วยความสนุกสนาน อาเบลเริ่มที่จะกังวลเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อลมทมิฬได้จ้องมองใบหน้าของอาเบลลืมตาขึ้นมันก็จ้องมองไปที่ดวงตาของอาเบลในทันที ดูเหมือนว่าตอนนี้มันกําลังสัมผัสได้ว่าอาเบลนนภาลังกังวลอะไรบางอย่างอยู่
อาเบลพยายามที่จะควบคุมระยะเวลาในการนวดลมทมิฬให้อยู่ภายใน 30 นาที เท่านั้น แม้ว่าตัวเขานั้นจะใช้พลังลมปราณสีทองในการนวดถึง 30 นาทีก็ตามแต่ด้วยพลังลมปราณสีทองที่เป็นพลังลมปราณที่บริสุทธิ์กว่าพลังลมปราณทั่วไป ทําให้ผลของการนวดนั้นมีค่าเท่ากับการนวดโดยใช้พลังลมปราณธรรมดาๆ ถึง 1 ชั่วโมงด้วยกัน
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทุกอย่างอาเบลก็ได้กล่าวคําอาลาให้กับเคนและลมทมิฬ จากนั้นเขาก็ได้เดินกลับไปที่หอคอยเวทย์มนตร์ในทันที ในระหว่างทางกลับนั้นในใจของอาเบลก็กําลังคิดเกี่ยวกับวิธีการทําสมาธิในแบบของจอมเวทย์ เมื่ออาเบลก้าวเข้าสู่ด้านในหอคอยเวทย์มนตร์อีกครั้งตัวเขาก็รู้ได้ทันทีว่าอาจารย์ของแซมหรือก็คืออีวานนั้นได้ออกไปจากหอคอยแห่งนี้แล้ว การเดินทางของเหล่าจอมเวทย์แต่ละครั้งนั้นยากมากที่จะคาดการณ์ได้ว่าพวกเขานั้นจะกลับมาเมื่อไหร่กันแน่ ตอนนี้อาเบลได้แต่กังวลมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ตัวเขานั้นกําลังอยู่ห่างไกลจากการเป็นจอมเวทย์มากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่อาเบลจะทําได้นั้นก็คือการทําสมาธิในแบบของจอมเวทย์ แต่จนท้ายที่สุดแล้วอาเบลก็ยังไม่ได้รับการสอนนั่นเอง
เมื่อเข้าสู่หอคอยเวทย์มนตร์อาเบลก็สามารถสัมผัสได้ถึงความอาฆาตพยาบาท จากเหล่าผู้ฝึกฝนตนที่อยู่ด้านนอกหอคอยได้ในทันที แต่ถึงอาเบลจะสัมผัสได้แต่ล่า
คลุมหัวใจของอาเบลแล้วก็ยังมีความว้าวุ่นใจอีกด้วย ทําไมทุกๆคนถึงได้รู้สึกเกลียด ซึ่งเขาเมื่อตัวเขานั้นเข้ามาสู่หอคอยเวทย์มนตร์กัน?
เมื่ออาเบลหันไปมองรอบๆ ดูเหมือนว่าความอาฆาตพยาบาทก็จะหายไปในทันที หลังจากที่หยุดที่จะตรวจสอบอาเบลก็ไม่ได้พบว่าเหล่าผู้ฝึกฝนเวทย์มนตร์ทั้ง 30 คน ด้านนอกนั้นจะมีปัญหาอะไร นอกจากที่ตัวเขานั้นจะไม่พบอะไรเลยตอนนี้อาเบลก็ไม่สามารถทําอะไรได้อีกต่อไป บางที่สายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตนี้คงแค่อิจฉาความโชคดีของอาเบลเพียงเท่านั้น
เมื่ออาเบลเดินเข้าสู่ด้านล่างของหอคอย ตัวเขานั้นก็ได้หยิบบัตรประจําตัวที่เก็บอยู่ที่เอวก่อนที่จะแตะไปที่ประตูหอคอย หลังจากนั้นเองมีพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นไหลผ่านร่างกายของเขา ถ้าหากอาเบลไม่มีพลังแห่งความมุ่งมั่นแล้วตัวเขานั้นก็คงจะสัมผัสพลังนี้ไม่ได้เลย
บัตรประจําตัวที่อาเบลได้ใช้เป็นเหมือนกับของวิเศษที่จะทําให้เข้าออกหอคอยเวทย์มนตร์แห่งนี้ได้ โดยหน้าที่ส่วนใหญ่ของบัตรประจําตัวอันนี้นอกจากการเข้าออกหอคอยแล้วบัตรประจําตัวอันนี้เองยังสามารถส่งข้อความภายในหอคอยเวทย์มนตร์ได้อีกด้วย
“อาเบล มาที่นี่และช่วยฉันทําความสะอาดห้องแล็บหน่อย” แซมพ่อหมดฝึกหัดระดับ 5 ได้พูดขึ้นหลังจากที่อาเบลได้เก็บบัตรประจําตัวของเขาไว้ที่เอวของตัวเอง
อาเบลตื่นตัวทันทีเมื่อได้ยินเสียงของแซม ตัวเขานั้นรีบตอบกลับไปในทันที “ได้ครับ คุณแซม” จากนั้นอาเบลก็รีบเดินไปที่ห้องแล็บ ตอนนี้แซมกาลังเช็ดล้างอุปกรณ์ที่อยู่บนโต๊ะทดลองอยู่นั่นเอง
หลังจากที่เห็นข้าวของต่างๆ ที่ตกอยู่ตามพื้นอาเบลก็รู้ได้ทันทีว่าการทดลองครั้ง ล่าสุดของแซมนั้นจะต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วอาเบลจึงรีบหยิบไม้กวาดที่อยู่ตรงมุมห้องก่อนที่จะเก็บกวาดเศษขยะและเศษชิ้นส่วนต่างๆ ที่อยู่บนพื้นออกไปทันที เมื่ออาเบลกวาดพื้นเสร็จแล้วตัวเขานั้นก็ใช้ไม้ถูพื้นถูพื้นด้วยน้ําสะอาดต่อไป
“อาเบล อย่าว่าฉันเลยนะ ที่ฉันให้ลอร์ดอย่างนายมาทําความสะอาดแบบนี้” แซม พูดกับอาเบลพลางยิ้มไปหาเขา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต้องขอบคุณคุณมากกว่าที่ให้โอกาสผมแบบนี้ คุณแซม” อาเบลรู้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่แซมได้ทํานั้นทําเพื่อเขาทั้งนั้น ในตอนที่อยู่ที่นี่นั่นอาเบลไม่ได้รับอนุญาตให้พูดว่าแซมนั้นเป็นลุงของเขา แซมได้อธิบายเหตุผลให้อาเบลฟังก่อนหน้านี้แล้ว หนึ่งในเหตุผลที่สําคัญก็คืออาเบลนั้นมีสถานะต่าที่สุดในหอคอยแห่งนี้นั่นเอง ทุกๆคนนั้นจะต้องใช้คําว่า “คุณ” ในการเรียกเหล่าจอมเวทย์ โดยกฎนี้จะยกเว้นเหล่าจอมเวทย์ด้วยกันนั่นเอง
เพื่อที่จะทําให้อาเบลสามารถเป็นผู้ติดตามของเขาได้แซมถึงกับต้องไล่ผู้ติดตาม คนเก่าออกไป ในตอนแรกที่อาเบลเข้ามานั้นแซมไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเขาเลย ที่อาเบลได้เป็นเพราะว่าตัวเขานั้นรู้เรื่องทั้งหมดมาจากผู้ติดตามคนอื่น
“ดูเหมือนว่าอาจารย์จะไม่ได้กลับมาในเร็วๆนี้ละนะ เขาส่งข้อความบอกฉันว่าคงจะไม่ได้กลับสัก 2 เดือน” แซมพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณแซม แค่ 2 เดือนเอง ยังไงผมก็รอได้อยู่แล้ว” แม้ว่าอาเบลจะรู้สึกผิดหวังแต่ตัวเขานั้นก็ไม่ได้แสดงความผิดหวังในครั้งนี้ออกมา
แซมเป็นจอมเวทย์ฝึกหัด แต่ตัวเขานั้นก็พอใจเป็นอย่างมากกับการแสดงออกของอาเบล แซมได้ยิ้มให้กับเขาก่อนจะพูดว่า “ฉันบอกกับอาจารย์ให้แล้วนะว่านายเป็นหลานชายของฉัน ดังนั้นแล้วอาจารย์จึงให้ฉันสอน “เทคนิคการทําสมาธิในแบบจอมเวทย์เบื้องต้น” ให้กับนาย ถ้าหากนายเรียนรู้มันได้แล้วแสดงว่านายนั้นมีคุณสมบัติที่จะเป็นจอมเวทย์ แต่ถ้าหากนายไม่สามารถเรียนรู้ได้แล้วละก็นายก็ต้องกลับไปหาพ่อบุญธรรมของนายและเป็นขุนนางต่อไปนะ”
ตอนนี้อาเบลรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกซาบซึ้งในเวลาเดียวกัน อาเบลได้ตอบรับแซมในทันที “ขอบคุณมากครับคุณแซม!”
“นอกจากนายแล้วในหอคอยนี้มีลูกศิษย์จอมเวทย์ที่เป็นจอมเวทย์ฝึกหัดระดับ 1 อีก 3 คน ในฐานะที่นายเป็นผู้ติดตามฉันถ้าหากนายโดนรังแกแล้วละก็นายบอกฉันได้ตลอดเลยนะ” แซมที่เป็นจอมเวทย์ฝึกหัดได้พูดกับอาเบล น้ําเสียงที่ตัวเขาใช้นั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็รู้ว่าอาเบลนั้นเป็นอัศวิน
นอกจากนี้ยังมีเหล่าสาวกทั้ง 4 คนของเอฟเวอลีน เขานั้นเป็นจอมเวทย์ระดับ 6 โดยตัวเขานั้นสามารถที่จะพาผู้ติดตามหนึ่งคนเข้ามาที่หอคอยแห่งนี้ได้ ผู้ติดตามคนนั้นเป็นเหมือนกับบริวารรับใช้มากกว่า
“พวกเขาไม่ได้รังแกอะไรผมหรอกครับคุณแซม” อาเบลรู้สึกสงสัยว่าทําไมแซมถึงต้องพูดเรื่องนี้ด้วย
แซมที่เป็นจอมเวทย์ฝึกหัดนั้นได้หัวเราะทันทีหลังจากที่อาเบลได้ตอบกลับตัวเขาไป หลังจากหัวเราะเสร็จแล้วเขาก็หยิบหนังสือหนังแกะเล่มหนึ่งขึ้นมาก่อนที่จะส่งให้กับอาเบล
“หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ความลับอะไรที่มีค่าหรอกนะ แต่มันเป็นเหมือนกับรากฐานของการเป็นจอมเวทย์นั่นเอง ดังนั้นแล้วอย่าให้คนอื่นเห็นมันซะละ”
“ได้เลยครับคุณแซม” อาเบลได้หยิงหนังสือหนังแกะเล่มนั้นไว้กับมือของตัวเองอย่างแน่นหนาราวกับว่าตัวเขานั้นจะรักษาหนังสือเล่มนี้ไว้อย่างดี
“ถ้างั้นนายก็ลองอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยตัวเองก่อนละ ถ้าหากนายมีอะไรที่ไม่เข้าใจ แล้วละก็ถามฉันได้ตลอดเวลาเลยนะ” แซมที่ยุ่งอยู่กับการดูเครื่องมือบนโต๊ะทดลอง ของเขาได้พูดกับอาเบลอย่างแผ่วเบา “ครั้งนี้ก็ล้มเหลวอีกจนได้ ฉันคงต้องหาวัสดุ อันใหม่สําหรับการทดลองแล้วล่ะ”
เมื่อแซมยังเห็นอาเบลยังคงยืนอยู่ที่เดิมแซมก็ได้โบกมือให้เขาก่อนที่จะพูดต่อไป “ไปอ่านหนังสือซะสิ เมื่อนายมีพลังเวทย์แล้วละก็นายก็จะสามารถท่าสมาธิในแบบจอมเวทย์ได้เอง และเมื่อนายพร้อมแล้วนายก็มาหาฉัน ฉันจะสอนนายใช้คาถาเวทย์มนตร์เอง”
“ได้ครับ คุณแซม” อาเบลได้โค้งค่านับแซมก่อนที่จะออกจากห้องของเขาไป
อาเบลได้กลับมาที่ห้องของเขา ห้องของอาเบลนั้นเป็นเพียงห้องเล็กๆ ที่อยู่ตรงชั้น 2 ของหอคอยเวทย์มนตร์เท่านั้น ภายในห้องของเขานั้นไม่มีหน้าต่างแม้แต่บานเดียว ภายในห้องมีแค่เตียงและโต๊ะสําหรับทํางานรวมไปถึงเก้าอี้เพียงตัวเดียวเท่านั้น นอกจากนี้แล้วภายในห้องยังไม่มีพื้นที่สําหรับวางข้าวของเครื่องใช้อย่างอื่นเหลืออยู่เลย พื้นส่วนใหญ่ของหอคอยเวทย์มนตร์นั้นถูกใช้เพื่อวางวงแหวนเวทย์มนตร์แต่เพียงเท่านั้น ดังนั้นแล้วภายในหอคอยแห่งนี้จึงไม่มีที่ว่างเหลือมากพอที่จะวางของที่ไม่จําเป็นเลย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สะดวกสบายอะไรแต่มันก็เพียงพอแล้วสําหรับผู้ฝึกฝนตนแบบอาเบล
คงจะมีแค่สิ่งเดียวที่อาเบลรู้สึกพึงพอใจนั้นก็คือเรื่องอาหารนั่นเอง เหล่าจอมเวทย์ทั้งหลายไม่ได้ต้องการที่จะทานอาหารมากมายอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นแล้วเหล่าผู้ติดตามทั้งหลายจึงไม่ต้องไปเหนื่อยหาอาหารให้กับเหล่าจอมเวทย์เลยนั่นเอง มีเพียงแค่ขนมปังสดๆ กับน้ําผึ้งพวกจอมเวทย์นั้นก็สามารถที่จะกินได้แล้วนอกจากนี้ใน หอคอยเวทย์มนตร์ก็ยังมีไวน์รวมไปถึงเนื้อที่หลากหลายรสชาติด้วยกันอยู่ภายในหอคอยอีกด้วย อาเบลไม่ใช่คนที่จะต้องกินอาหารรสเลิศตลอดเวลา แต่ตัวเขานั้นก็ไม่อาจที่จะกินอาหารที่รสชาติแย่ได้ตลอดไป อาหารนั้นเป็นสิ่งที่ควรจะมีรสชาติและความประณีตอยู่นั้นเอง