ซูหมิงพาหมอกเดินหน้าไปโดยไม่สนใจการไหลผ่านของเวลา ไม่สนใจว่าจักรวาลกว้างใหญ่ผ่านไปกี่วัฏจักร แต่ยังคงตามหาใบหน้าในความทรงจำ ตามหาร่องรอยพวกเขา
จนกระทั่งเขาหาศิษย์พี่รองพบกลางดอกไม้ที่รวมขึ้นจากหมอก ศิษย์พี่รองเปลี่ยนระดับชีวิตไปแล้ว เป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับวิญญาณเงามืด
นอกดอกไม้ที่รวมขึ้นจากหมอกนั้น ซูหมิงพบหู่จื่อ เขาเหมือนไม่เคยแยกจากศิษย์พี่รองเลย ศิษย์พี่รองกลายเป็นวิญญาณเงามืดอีกสิ่งมีชีวิตหนึ่ง แต่หู่จื่อเป็นสายลมแห่งจักรวาลกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดนอกวิญญาณเงามืดนั้น
และยังมีสวี่ฮุ่ย บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง รวมถึงร่องรอยใบหน้าต่างๆ หลังผ่านไปไม่รู้กี่ปี ซูหมิงก็หาพบทีละร่องรอยในระหว่างที่ในน้ำวนจักรวาลกว้างใหญ่แห่งวัฏจักรหมุนวนหลายต่อหลายครั้ง
จนกระทั่งเขาหาไป๋หลิงพบ หาจื่อรั่วพบ หา…ท่านปู่พบ
สุดท้ายเขาหาต้นไม้ต้นหนึ่งพบกลางจักรวาลกว้างใหญ่ ต้นไม้นั้นไม่ใช่เอ้อชาง แต่เป็นต้นไม้ที่ดูธรรมดามาก เขาหาสามรกร้างพบใต้ต้นไม้นั้น
เมื่อหาทุกคนพบแล้วซูหมิงก็กลับมาอยู่ตรงจุดที่เข็มทิศอยู่ตรงส่วนลึกสุดกลางวัฏจักรของจักรวาลกว้างใหญ่ เขาเลือกนั่งฌานอีกครั้งที่นั่น มองโลกนี้เป็นครั้งสุดท้าย
“เจ้า…เหงารึ” ซูหมิงเงียบอยู่นานมากก่อนส่งกระแสจิตไปช้าๆ ไม่ได้กล่าว มีเพียงกระแสจิตดังก้องในจักรวาลกว้างใหญ่อยู่นานไม่เลือนหาย
มีเพียงคนเดียวที่ได้ยินจิตสื่อสารนี้
“หลายปีมาแล้ว…เจ้าอยู่คนเดียวเหงาหรือไม่?”
ซูหมิงส่งกระแสจิตไปอีกครั้งดังก้องจักรวาลกว้างใหญ่ ตอนนี้เองมีเสียงหึเย็นชาดังแว่วมาจากน้ำวนจักรวาลกว้างใหญ่ จากนั้นมีเรือโบราณลำหนึ่งฉีกจักรวาลกว้างใหญ่ออกมาพร้อมกับประกายสายฟ้าไร้ที่สิ้นสุด
ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือลำนั้น ยามนี้เขาลืมตาขึ้นช้าๆ ตอนที่เพ่งมองซูหมิง ซูหมิงก็เงยหน้าขึ้นมองผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเช่นกัน
“เต๋าของพวกเราต่างกัน…นี่คือเส้นทางที่ข้าเลือก เส้นทางนี้ ข้าใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวได้ไม่มีสิ้นสุด ใช้การสละชีพทั้งหมด…เพื่อสำเร็จเต๋าของข้า!” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบกลับเสียงแหบแห้ง
“เส้นทางนี้โดดเดี่ยวหรือไม่?” ซูหมิงส่งกระแสจิตไปอีกครั้ง
“พูดมากไร้ประโยชน์ ตั้งแต่ตอนที่เจ้ายึดร่างเสวียนจั้งสำเร็จข้าได้แพ้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ผ่านมาไม่รู้กี่ปี เจ้าพูดสิ่งที่ต้องการมาดีกว่า ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้มันสำเร็จ”
ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเงียบไปอีกครั้ง ครั้งนี้ผ่านไปนานมากถึงกล่าวเสียงดังก้องจักรวาลกว้างใหญ่ด้วยความเด็ดขาด
“ช่วยข้าตามหา…กระเรียนขนร่วง มันอยู่ในโลกที่อาจจะมีอยู่ เจ้าช่วยข้าตามหามัน…พามันกลับมา…ไม่ว่ามันทำอะไรในโลกนั้น ไม่ว่ามันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตใด จะต้องพามันกลับมา พามัน…กลับบ้าน” ซูหมิงตอบกลับเสียงเบาแล้วเงยหน้าขึ้นมองจักรวาลกว้างใหญ่ไกลๆ นัยน์ตาเขาฉายแววคิดถึง ฉายแววมัวหมองและเสียใจ เขาหาทุกคนพบ แต่หากระเรียนขนร่วงไม่พบ
เพราะกระเรียนขนร่วง…ไม่อยู่ที่นี่
ขณะเอ่ยอยู่นี้ซูหมิงยกมือขวาขึ้น ในฝ่ามือปรากฏไข่มุกเม็ดหนึ่ง นั่นคือไข่มุกเม็ดที่เจ็ดที่คล้องอยู่ในมือเสวียนจั้ง เงามายากระเรียนในนั้นตอนนี้หายไปนานแล้ว
“เจ้ายังหาไม่พบ แล้วข้าจะหาได้อย่างไร เหตุใดเจ้าไม่ไปหาเอง” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงขมวดคิ้ว
“ตามร่องรอยมันไปเจ้าจะหากระเรียนขนร่วงพบ…ข้าไปหาด้วยตัวเองไม่ได้” ซูหมิงตอบกลับเสียงเบา เมี่ยเซิงเงียบ เขาเพ่งมองซูหมิงแวบหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววซับซ้อนทีละน้อย
“คุ้มค่ารึ?” เขาถามเสียงเบา ตอนที่มองซูหมิง เขาเห็นร่างกายซูหมิงกำลังแข็งทื่อขึ้นช้าๆ พลังชีวิตกำลังลดน้อยลงช้าๆ เพราะซูหมิงนำพลังชีวิตทั้งหมดหลอมรวมเข้าไปในโลกนั้นในร่างกายแล้ว ใช้พลังชีวิตตัวเองให้สิ่งมีชีวิตในโลกนั้น ให้ร่องรอยชีวิตที่เขาหาพบเหล่านั้นตื่นขึ้นในประตูยมโลก
“นี่คือเต๋าของข้า…ข้าไม่อยาก…โดดเดี่ยวต่อไปอีกแล้ว” ซูหมิงยิ้ม เขาไม่ตอบคำถามเมี่ยเซิง แต่เมื่อพูดจบก็ถือว่าเป็นการตอบแล้ว
พูดจบซูหมิงคลายมือขวาออก ไข่มุกในฝ่ามือเป็นสายรุ้งยาวไม่ได้บินไปหาเมี่ยเซิง แต่เหมือนไปยังมวลอากาศไกลๆ ราวกับว่าอยากทำลายโลกจักรวาลกว้างใหญ่พุ่งออกไปไกลจากที่นี่ ไปยังโลกที่กระเรียนขนร่วงอาจจะอยู่ในตอนนี้
ขณะเดียวกันเข็มทิศใต้ร่างซูหมิงพลันหยุดหมุนแล้วกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปยังไข่มุกนั้น ค่อยๆ หดเล็กลงจนกระทั่งตามไข่มุกทันแล้วหลอมรวมกับไข่มุก
“บางทีในโลกนั้นอาจมีคนหนึ่ง…ที่ชีวิตนี้ยึดมั่นในสิ่งที่ผิด” ซูหมิงพูดเสียงเบา ค่อยๆ หลับตาลง ทันทีที่หลับตา ไข่มุกที่หลอมรวมกับเข็มทิศกลายเป็นสีขาว
เมี่ยเซิงเงียบ ผ่านไปพักใหญ่ถึงถอนหายใจเบา สะบัดแขนเสื้อ เรือโบราณใต้ร่างลอยขึ้นมุ่งหน้าไปยังโลกที่เข็มทิศไข่มุกเปิดเอาไว้ก่อนตามเข้าไป จนกระทั่งร่างเงาพวกเขาหายไปในจักรวาลกว้างใหญ่ ไปยังโลกที่อาจจะมีอยู่นั้น ออกจาก…จักรวาลกว้างใหญ่ของซูหมิง
“ข้าจะพามันกลับมา นี่คือของเดิมพันที่ข้าติดค้างเจ้า” เมี่ยเซิงไปแล้ว
ซูหมิงหลับตาลง นี่คือการหลับตาครั้งสุดท้ายในชีวิต ร่างกายเขาแข็งทื่ออย่างยิ่งแล้ว พลังชีวิตอยู่ภายในทั้งหมด ที่แผ่ออกมาข้างนอกก็ค่อยๆ กลายเป็นกลิ่นอายมรณะเข้มข้น
พลังชีวิตเขาหลอมรวมเข้าไปในโลกในร่างกาย หลอมรวมเข้าไปยังพิมพ์ชีวิตจากร่องรอย มีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจะให้พิมพ์ชีวิตเหล่านี้ลืมตาในโลกของเขาได้
ช่วงที่พลังชีวิตซูหมิงหลอมรวมเข้าไปในพิมพ์ชีวิตเหล่านี้ อวี่เซวียน ชางหลัน สวี่ฮุ่ยเกิดคลื่นกระเพื่อมในใจซูหมิง
“ก่อนหน้านี้ข้าให้อะไรพวกเจ้าไม่ได้…มีแต่ตอนนี้…ที่ข้าจะมอบบุตรที่รวมจากชีวิตข้าเพื่อสานต่อเรื่องระหว่างเรา…” เขาพูดพึมพำอยู่ในใจ เสียงนี้หล่อหลอมเข้าไปในความทรงจำชีวิตของพวกอวี่เซวียนสามคน อยู่ในความทรงจำนั้น รวมกับชีวิตซูหมิงที่นอกเหนือจากพลังชีวิตเขา
เวลาผ่านไปช้าๆ ซูหมิงในจักรวาลกว้างใหญ่ไม่มีเข็มทิศใต้ร่าง เขานั่งขัดสมาธิอยู่ในวัฏจักรน้ำวนกลางจักรวาลกว้างใหญ่แบบนี้ ค่อยๆ ลดระดับลง ค่อยๆ ถูกน้ำวนกลืนร่างไป ตกอยู่ในวัฏจักร คนอื่น…มองไม่เห็น
เสียงถอนหายใจดังก้องในจักรวาลกว้างใหญ่ ร่างเงาเทียนเสียจื่อรวมขึ้นจากความเลือนราง เดินออกมาจากมวลอากาศ มองซูหมิงที่หายไปกลางน้ำวนด้วยสีหน้าเศร้าโศก
“ช่างเถอะ อาจารย์จะอยู่กับเจ้า” เทียนเสียจื่อพึมพำพลางมองน้ำวนที่ซูหมิงหายไป ก่อนเดินหายไปพร้อมกับซูหมิง
………..
เมื่อซูหมิงหลับตาลง ภายในร่างกายเขา ในโลกที่รุ่งเรืองแล้วนั้น ฟ้าเป็นสีคราม แผ่นดินเขียวขจี ไกลออกไปมีมหาสมุทรกว้างใหญ่ เทือกเขาเรียงราย มีภูเขาหนึ่งนามว่าลำดับเก้า…
ต่อมาบนฟ้าปรากฏประตูบานหนึ่ง
นั่นคือประตูสีม่วง มันเปิดออกช้าๆ ทั้งโลกในเวลานี้กลายเป็นสีม่วง
แสงม่วงสว่างเรืองรองอยู่นานมาก จนเมื่อหายไป ประตูนั้นก็หายไปราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน
บนยอดเขาลำดับเก้า หู่จื่อลืมตาขึ้นมองฟ้าด้วยความสับสน ก่อนออกแรงเขย่าศีรษะ ใช้มือขวาคลำไปข้างกายโดยจิตใต้สำนึก แต่ไม่พบไหสุรา
“ย่ามันเถอะ เหตุใดถึงรู้สึกว่าหลับไปตื่นหนึ่งนานมากๆ?” หู่จื่อเกาหัวอย่างประหลาดใจ ก่อนมองศิษย์พี่รองที่ตอนนั้นลืมตาขึ้นจากสมาธิอยู่ไม่ไกล
ศิษย์พี่รองมองแผ่นดินใหญ่ไกลลิบเงียบๆ นัยน์ตาสับสนเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก จึงเงยหน้ามองฟ้า มองไปมองมาตรงหางตาก็ชื้นขึ้นมา
เสียงฝีเท้าดังแว่วมา ศิษย์พี่ใหญ่เดินมาที่นี่ทีละก้าว เขาไม่มีหัว ตอนนี้ร่างกำยำเดินมาอยู่ข้างศิษย์พี่รองกับหู่จื่อ เหมือนตัวสั่นอย่างอ่อนแรง
“ศิษย์น้องเล็กล่ะ…” เสียงเขาแหบเล็กน้อย พูดพึมพำแต่กลับไม่มีเสียงตอบ…
“ศิษย์น้องเล็กล่ะ…” ศิษย์พี่รองมองฟ้าพลางกัดริมฝีปากด้วยใบหน้าขมขื่น
“ไม่ต้องซ่อนแล้ว ศิษย์น้องเล็ก หู่จื่อร้อนใจนะ เจ้ารีบออกมาเถอะ” หู่จื่อเบิกตากว้าง รีบยืนขึ้นตะโกนเสียงดังไปรอบๆ
เสียงดังกึกก้อง…
“ฮ่าๆ หู่จื่อรู้แล้ว เจ้าจะต้องซ่อนอยู่ในถ้ำแน่ๆ เฮอะๆ ข้ารับรองว่าหาเจ้าเจอแน่” เสียงหู่จื่อเหมือนดังแว่วจากที่ห่างไกลมาก กึกก้องบนยอดเขาลำดับเก้าอยู่นานไม่เลือนหาย ยามนี้เองตรงตีนเขา จื่อเชอกำลังเหม่อมองหญิงข้างกาย นั่นคือจื่อเยียน นั่นคือพี่สาวของเขา
ไกลออกไป…ไป๋ฉางไจ้กำลังมองรอบๆ อย่างสับสน พูดพึมพำราวกับนึกเรื่องราวบางอย่างไม่ออก
ไกลออกไปยิ่งกว่า บนที่ราบ ฉางเหอตื่นขึ้น ลืมตาขึ้น เขารู้สึกว่ามือตนจับใครคนหนึ่ง ตอนที่หันไปมองโดยจิตใต้สำนึก พลันเกิดเสียงดังอึกทึกในความคิด เขาเหม่อมองน้ำตารินไหลตรงหางตา มองภรรยาในความทรงจำที่ตื่นขึ้นในตอนนี้
ใต้ภูเขาทมิฬ ท่านปู่นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ มองดวงตะวันยามอัศดงไกลลิบ ข้างกายมีเป่ยหลิง มีเฉินซิน นอกจากซูหมิงกับเหลยเฉินแล้ว ชาวเผ่าเขาทมิฬทุกคนในตอนนั้นอยู่ครบ
เพียงแต่ว่าพวกเขากำลังมองไปรอบๆ อย่างสับสน ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดในโลกคุ้นเคยที่มีความแปลกตานี้
ซูเซวียนอีนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างทะเลสาบ มองผิวทะเลสาบ พึมพำในที่คนอื่นไม่เข้าใจ สีหน้าซับซ้อนเป็นบางครั้ง บ้างก็มัวหมอง บ้างก็คลุ้มคลั่ง
ไกลออกไปในสายลมหิมะ ไป๋หลิงกำลังเดินอยู่บนพื้นหิมะคนเดียว ค่อยๆ เดินไกลออกไป…
มีเพียงเสียงร้องวานรแหลมเล็กที่ดังกังวานในสายลมหิมะ สะท้อนเป็นเงาสีแดงบนภูเขาทมิฬ
ริมชายหาด ฟางชางหลันมองคลื่นทะเลขึ้นลง นั่งอยู่บนชายหาด หยิบทรายขึ้นมากำมือหนึ่งเงียบๆ ตอนที่กำมือ ทรายละเอียดเหล่านั้นไหลลงมาไม่หยุด เหมือนว่า…กำไว้ได้ไม่มากนัก
หยดน้ำตารินไหลลงมาตรงหางตา ไหลผ่านแก้ม หยดลงกลางทราย บางทีเมื่อรอจนถึงช่วงกระแสน้ำขึ้นลง น้ำตาที่หลอมเข้าไปในทรายหยดนี้อาจจะถูกน้ำทะเลพาไป กลายเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทร
ภาพทุกคน ทุกภาพปรากฏขึ้นพร้อมกันในโลกนี้…
อวี่เซวียนนั่งกอดเข่าอยู่บนหน้าผา เอาหน้าซุกตรงหัวเข่า เส้นผมงามบดบังใบหน้า แต่กลับบดบังความแวววาวบนใบหน้าที่เผยมาในช่องว่างไม่ได้ ฟ้าเป็นยามโพล้เพล้แล้ว แสงสุดท้ายสาดส่องบนตัวนาง ดึงเงาของนางให้ยืดยาวไปไกล
อาภรณ์ยาวของสวี่ฮุ่ยโบกสะบัดกลางสายลม นางยืนอยู่ตรงจุดสูงสุดของยอดเขา ตรงนั้นเป็นจุดที่ใกล้ชิดกับฟ้าที่สุด นางยืนอยู่ตรงนั้นเพ่งมองไกลออกไป จนกระทั่งสิ้นสุดยามโพล้เพล้ นางที่หมุนตัวกลับเส้นผมยาวปลิวไสว มีน้ำตาหยดหนึ่งลอยขึ้นจากแก้ม ไม่รู้ว่าบินไปที่ใด
“หากเจ้าเดินต่อไปบนเส้นทางของเจ้า สุดท้ายแล้วทั้งจักรวาล ในโลกของเจ้าจะมีเพียงเจ้าคนเดียว”
“เช่นนั้นเส้นทางของเจ้าล่ะ เดินต่อไปสุดท้ายทั้งจักรวาลจะมีเจ้าคนเดียวที่หายไป!” คำพูดระหว่างซูหมิงกับเมี่ยเซิงในตอนนั้นเหมือนดังกังวานในโลกนี้ ดังก้องอยู่ข้างหูทุกคนที่นึกถึงซูหมิง
กาลเวลาเปลี่ยนแปลง ในหลายวัฏจักรจะหายไปคนหนึ่งชั่วนิรันดร์ คนที่หายไปนี้คือซูหมิง
บนฟ้าสามสิบสามชั้น ซูหมิงไม่ได้เลือกตัดทิ้งอดีตและเลือกอนาคตเหมือนเมี่ยเซิง เขาเลือกตัดอนาคต เก็บไว้เพียงความงดงามในอดีต
เหมือนกับเส้นทางของเขา เดินหน้าแสวงหา เส้นทางคดเคี้ยวและอ้างว้าง เหมือนกับแสวงหาเต๋าหนึ่งชีวิตของเขา โดดเดี่ยวและยึดมั่น หรือบางที…นี่อาจเป็นอสุรา เป็นเส้นทางสู่วิถีอสุรา
มองซางเซียงกลายเป็นโลกมนุษย์อย่างโดดเดี่ยวระหว่างชั่วกาลนานก่อนอสุรา
ถอนหายใจแสวงหาอสุราสิบล้านปี หลายวัฏจักรยังคงอยู่ข้างกู่จั้ง
…………..
เวลาผ่านไป บนแผ่นดินใหญ่นอกจากชีวิตที่ซูหมิงคืนชีพให้แล้วยังเริ่มปรากฏสิ่งมีชีวิตของโลกนี้ กำเนิดเมือง กำเนิดสำนัก การเดินทางของกาลเวลาในแต่ละปี ความฝันแห่งวัฏจักร เหมือนฝังเรื่องราวในอดีตทุกอย่างได้
มีเพียง…ภายในสำนักนามยอดเขาลำดับเก้าที่มีตำนานเกี่ยวกับโลกนี้เล่าขานกันมาชั่วนิรันดร์ ในตำนานกล่าวไว้ว่าโลกนี้สร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษลำดับเก้านามซูหมิง ทุกครั้งที่ฟ้ายามค่ำคืนมาเยือน นั่นคือเขา…กำลังเฝ้ามองศิษย์ร่วมอาจารย์ กำลังมองทุกคน
ภูเขาทมิฬบนแผ่นดินก็มีตำนานแบบเดียวกัน ที่แตกต่างกันเล็กน้อยคือที่โลกมียามกลางวัน นั่นเป็นเพราะซูหมิงในตำนานลืมคืนมืดไม่ลง และที่มียามกลางคืน เป็นเพราะแสงดาราสว่างวาววับที่ทำให้ดวงตาเขาสว่างกว่าเดิม จึงมองเห็นครอบครัวของเขาได้
และยังมีแผ่นดินเผ่าหมานในโลกนี้ มีตำนานเกี่ยวกับเทพหมานเล่าขานกันมาเช่นกัน ตำนานนั้นค่อยๆ ถูกเปลี่ยนไป เปลี่ยนโลกนี้ให้ถูกเรียกว่าโลกเทพหมาน
…………….
สายลมพัดผ่าน หิมะไกลลิ่ว
ในความฝันไม่รู้ว่ากาลเวลาผันผ่าน โลกมนุษย์ขมุกขมัวใครจะอยู่สูงส่ง
ยามค่ำคืนยาวนาน ควันหมุนลอยเป็นเกรียว
สะพานที่มิใช่จริงเท็จ หลายวัฏจักรหายไปคนหนึ่ง
หลายปีต่อมา ยามโพล้เพล้ในคืนฝนตก ใต้ศาลาพักฝน หญิงคนหนึ่งถือร่มกระดาษมัน เส้นผมงามพาดบ่า เห็นเพียงเงาแผ่นหลังงดงาม มองเห็นหน้าตาไม่ชัด
ข้างกายนางมีเด็กอายุหกเจ็ดขวบยืนอยู่ เป็นเด็กหญิง ถักเปียเล็กสองอัน จับมือหญิงคนนั้นพลางเล่นตุ๊กตา ตอนนี้ใบหน้าเล็กแดงชมพูดูเหมือนจะไม่มีความสุขเล็กน้อย
“ท่านแม่…เมื่อวานข้าฝันถึงท่านพ่ออีกแล้ว ผีผีก็ฝันด้วย ท่านพ่ออยู่ที่ใดกันแน่ ครั้งนี้ท่านจะต้องบอกข้า…”
หญิงคนนั้นก้มหน้าลงยิ้มเมตตาให้เด็กหญิงน้อย จากนั้นลูบหัวเด็กหญิง กล่าวเสียงนุ่มนวลดังก้องในยามโพล้เพล้ฝนตก
“หลับตาลง เขาจะอยู่ข้างกายถงถง เจ้าจะรู้สึกว่า…เขาอยู่กับเจ้าตลอด” หญิงคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้มพลางมองไกลๆ
เด็กหญิงเหมือนเข้าใจและไม่เข้าใจ ฟังมารดาพูดจบแล้วก็หลับตาลงช้าๆ
แสงสุดท้ายยามโพล้เพล้ลอดผ่านสายฝนเข้ามา สาดส่องไปทางขวาเด็กหญิง คล้ายๆ มีร่างเงาบุรุษคนหนึ่งเพิ่มมา ร่างเงานั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจากเลือนราง ร่างเงาสูงยาว เส้นผมม่วง มีกลิ่นอายอบอุ่นและห่วงใย
ยามที่ก้มหน้าลง เขามองเด็กหญิงน้อย เผยเสี้ยวใบหน้า และยังมีรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้า
มองไกลๆ ใต้ฉากสายฝน ใต้ศาลาพักฝน ภาพนี้เหมือนกับครอบครัวพ่อแม่ลูก เต็มไปด้วยความอบอุ่นและงดงาม…
“ท่านแม่ ถงถงรู้สึกแล้ว” เด็กหญิงน้อยพลันลืมตาขึ้น มองไปทางขวาด้วยความตกใจระคนดีใจ…
……………..
“พี่ใหญ่ ท่านจะต้องกลับมา…รอท่านกลับมาแล้วข้าจะบอกความลับให้…”
“พี่ใหญ่ ความลับนี้สนุกมาก ข้าฝันเมื่อคืนวานว่าหลายปีต่อจากนี้ท่านจะเป็นบิดาของข้า…”
…………..
บทฝืนลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเซียน
“หวั่นเอ๋อร์ เส้นทางฝึกเซียนไม่มีวันสิ้นสุด จะต้องยังมีก้าวที่ห้า ก้าวที่หกกระทั่งก้าวที่เจ็ด…”
“เช่นนั้นข้าจะอยู่กับท่าน ต่อให้พวกเราเดินไปไม่สุดทางเซียน ก็ยังเดินไปได้หนึ่งวัฏจักรชีวิต”
ณ แผ่นดินใหญ่เซียนดารา หวังหลินมองหลี่มู่หวั่นอย่างอบอุ่น จับมือนางเดินไปยังฟ้ากระจ่างดาวไกลๆ เดินไกลออกไปเรื่อยๆ…จนกระทั่งเขาเห็นเรือโบราณลอยอยู่กลางฟ้าไร้ที่สิ้นสุด
บนเรือมีชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง ตอนนี้ชายชราอมยิ้มมองหวังหลิน หวังหลินก็มองเขาเช่นกัน ชายชราคนนี้คือคนที่เคยเล่นหมากกับหวังหลิน
“ข้าเจอเจ้าในโลกนี้ไม่รู้สึกเสียใจเลย เจ้าเหนือกว่าข้าแล้ว เต๋าของข้า…ก็ไม่ได้ล้มเหลวไปทั้งหมด…หวังหลิน เส้นทางของเจ้ายังอีกยาวไกลนัก จงเดินต่อไป…”
หวังหลินมองชายชราบนเรือโบราณพลางยิ้มเล็กน้อย ไม่ตอบ แต่จูงมือหลี่มู่หวั่นเดินไกลออกไปเรื่อยๆ…
ผ่านไปพักใหญ่ชายชราบนเรือโบราณละสายตากลับมามองแผ่นดินใหญ่ดาราเซียน
“ตามหาเจ้ามาไม่รู้กี่ปีแล้ว ในที่สุดเจ้าก็ตื่นขึ้น กระเรียนขนร่วง ข้าเมี่ยเซิงติดค้างคำสัญญากับซูหมิงว่าจะพาเจ้ากลับบ้าน!”
“บ้านเกิดของข้า…ดาราสัจธรรม…” ช่วงที่เสียงพึมพำด้วยความสับสนดังก้องในมวลอากาศแผ่นดินใหญ่ดาราเซียน กระเรียนสีดำตัวหนึ่ง…พลันบินออกมาจากในมวลอากาศนั้น นัยน์ตามันฉายแววตื่นเต้น ภานในดวงตาหลังหลงทางมาไม่รู้กี่วัฏจักร ในที่สุด…ก็ปรากฏร่างเงาตรงส่วนลึกในความทรงจำ ไม่ว่าผ่านไปกี่ปี ไม่ว่ามันจะหน้าตาเปลี่ยนไปอย่างไรก็ไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต
นั่นคือชายที่กำลังอมยิ้มคนหนึ่ง ชายที่ยื่นมือมาหามัน
เขามีนามว่าซูหมิง
“กลับบ้าน…”