“ท่านมีอา” นายกองโยฮันกำมือแนบอกยืนตรงทำความเคารพนักรบหญิงตรงหน้า
“ท่านโยฮันปลอดภัยก็ดีแล้ว” มีอา.กล่าว
“ท่านมาทำอะไรที่นี่ครับ”
“พวกเรากำลังออกลาดตระเวน … ท่านก็รู้ว่าทหารม้าของเรามีเพียง4หน่วย และในเมื่อหน่วยของเรย์ยังไม่ได้กลับเข้าเมือง ดังนั้นด้านนี้ของเมืองก็ต้องเป็นหน่วยทหารราบออกลาดตระเวน” หญิงสาวตอบ
“ท่านโยฮันกับกัปตันเรย์กลับมาถึงก็ดีแล้ว แบบนี้ก็เหลือเพียงแต่ท่านมัตตะจากเซ็นจูเรี่ยนที่2เท่านั้นที่ยังกลับมาไม่ถึง”
ทุกคนเงียบกริบ
“ท่านมีอา … ทหารที่ท่านเห็นตรงนี้ คือทหารของเซ็นจูเรียนที่ 1 และ 2 รวมกัน” โยฮันพูด “ท่านมัตตะตายในที่รบไปแล้วครับ”
เธอนิ่งไปเล็กน้อย
“ ว่าแต่….ชุดเกราะนั่น ” เธอชี้ไปที่รอน “ชุดเกราะนั่นเป็นของแม่ทัพออร์ค ทำไมถึงมาอยู่กับพวกท่านได้”
แต่ละคนมองตามไปที่ชุดเกราะที่รอนสวมใส่อยู่ … นี่มันชุดเกราะที่ออร์คหุ้มเกราะตัวนั้นใส่ ว่าแต่ทำไมท่านมีอาถึงเรียกมันว่าแม่ทัพออร์คล่ะ?
“ แม่ทัพออร์ค? ” เรย์เอ่ยงงๆ
“ใช่แล้ว … จากข้อมูลที่เรารวมจากแต่ละกองทหารที่กลับเข้าเมือง กลุ่มออร์คส่วนใหญ่จะไม่มีผู้บัญชาการ หรือมีเพียงออร์คกัปตันกับกลุ่มออร์คทั่วไป …. มีเพียงทิศใต้นี้เท่านั้น ที่มีออร์คในชุดเกราะ ที่บัญชาการรบแบบกองทัพได้และมีการติดต่อสั่งการกับออร์คกลุ่มอื่นๆในบริเวณนี้ พวกเราจึงเรียกมันว่าแม่ทัพออร์ค”
“สองวันนี้ ข้าสังเกตว่าการเคลื่อนไหวของออร์คกัปตันและกลุ่มออร์คบริเวณนี้หยุดชะงักไป ทุกกลุ่มไม่มีการเคลื่อนไหวโจมตีอะไรอีก ข้าจึงสงสัยว่าแม่ทัพของมันน่าจะเข้ามาในบริเวณนี้แล้ว … จนมาเจอเจ้าหนุ่มนั่นอยู่ในเกราะนั่น” มีอากล่าว “มันเกิดอะไรขึ้น”
“คือ หน่วยของเราปะทะเข้ากับกองทัพผสมของออร์คและก็อบลิน แล้วมีเจ้าตัวในชุดเกราะนี่อยู่ในนั้น พวกเราก็เลยฆ่ามันทิ้งทั้งหมดครับ”
มีอาทึ่งเล็กน้อย … เพราะเซ็นจูเรี่ยนที่ 3 4 5 ที่ปะทะกับแม่ทัพออร์ค ต่างพ่ายแพ้และสูญเสียทหารไปไม่น้อย …. แต่เมื่อเธอหันไปเห็นกองทหารม้าของเรย์เธอก็นึกได้ว่าเซ็นจูเรี่ยนที่ 1 มีกองทหารม้าสนับสนุน … งั้นทหารม้าคงมีส่วนช่วยรบด้วยสินะ … เธอคิด
“แล้วทหารม้าของเราสูญเสียไปกับการปะทะแค่ไหน” เธอถาม … เพราะม้าศึกเป็นสิ่งที่หาทดแทนได้ยากกว่าทหารราบ
“คือ หน่วยทหารม้ากลับมาไม่ทันครับ … ท่านโยฮันและชาวบ้านตีจนกลุ่มออร์คแตก พวกเราทหารม้ากลับมาเก็บกวาดทีหลัง ไม่มีการสูญเสียครับ” กัปตันเรย์กล่าว
“แล้วทหารราบล่ะ”
“ทหารราบเสียชีวิต 1 นาย” โยฮันตอบแล้วยกเอาห่อผ้าใส่ฟันเขี้ยวออร์คให้ดู … ข้างในมีเขี้ยวล่างของออร์คที่พวกเขาจัดการตลอดเส้นทางกว่า400ตัววางกองอยู่
มีอามองอย่างตื่นตาตื่นใจ …. สูญเสียนายเดียว! กับการรบกับกองกำลังออร์คที่สามารถเอาชนะหน่วยทหารอื่นๆได้
“เจ้าสินะที่เป็นคนที่สังหารแม่ทัพออร์ค” มีอาหันไปหารอน “ข้าคิดไม่ถึงว่าจะมีนักดาบที่ฝีมือดีขนาดนี้มาร่วมช่วยพวกเรา ต้องขอบคุณท่านด้วยจริงๆ”
เธอก้มหัวให้เล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาโยฮันที่ทำหน้างง
“เมื่อครู่ข้าไปพบเขาในป่า แล้วเกิดเข้าใจผิดว่าเขาเป็นแม่ทัพออร์ค ก็เลยเกิดการต่อสู้กัน ……….. แล้วข้าก็แพ้เขาอย่างหมดรูป ไม่ว่าจะด้วยเวทมนตร์หรือเพลงดาบ ข้าสู้เขาไม่ได้สักนิด”
“ว่าแต่ท่านคือ ?” นักรบหญิงถาม
“ผมชื่อรอนครับ เป็นแค่นักเดินทางที่ผ่านมา” รอนตอบ “แล้วก็ … คือผมไม่ได้เป็นคนฆ่าแม่ทัพออร์คครับ”
“เห… แล้วใครกันเป็นคนสังหาร” มีอาถามอย่างแปลกใจ แล้วสังเกตว่าทหารทุกคนหันไปด้านหลังไปในทิศทางเดียวกันไปมองคนๆเดียว …. เป็นเด็กผู้หญิงร่างเล็กผมสีทอง กำลังป้อนข้าวเด็กอีกคนอยู่ … และที่คอห้อยผลึกแกนมอนสเตอร์Lv4 มีมีดสีเงินเหน็บไว้ที่เอว
“เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นคนสังหารครับ”
“เด็กคนนั้นเนี่ยนะ”
มีอาร้องขึ้น ก่อนจะค่อยๆนึก … เมื่อครู่นี้เรย์บอกว่ากลุ่มที่ต่อสู้กับออร์คคือทหารและชาวบ้าน …
เธอมองไปรอบๆ
ชาวบ้านที่อยู่ในขบวนนี้ ไม่เหมือนชาวบ้านกลุ่มอื่นๆที่อพยพเข้าเมือง … กลุ่มอื่นๆเดินทางอพยพหนีตายและปราศจากอาวุธ
แต่กับชาวบ้านกลุ่มนี้สังเกตได้ชัดว่าครึ่งหนึ่งเหมือนผู้อพยพทั่วๆไป แต่กับอีกครึ่งนึง มีอาวุธติดตัวกันแทบทุกคน มีมีดสีเงินเหน็บไว้ที่เอว และแม้แต่ขณะที่เธอคุยอยู่นี้ ชาวบ้านกลุ่มนี้บางส่วนที่อยู่รอบนอก ก็ยืนกระจายเฝ้าระวังรอบนอกของขบวนเพื่อระวังการซุ่มโจมตี
หมู่บ้านทิศใต้ …. รอน …. มีดสีเงิน …
“เดี๋ยวนะ คนๆนี้คือท่านรอนจากหมู่บ้านโอลเซ่นใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“พวกท่านคือคนที่พ่อค้าเร่กลาสพบเมื่อหลายวันก่อนใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“งั้นพวกเราต้องรีบเดินทางแล้ว” มีอากล่าว “ท่านรอน … ข้าขอร้องท่าน … ได้โปรดช่วยเมืองกาล่าของพวกเราด้วย!”
** ** ** ** * ** *
มีอาเร่งให้ขบวนชาวบ้านและทหารเดินทาง เมื่อผ่านป่าและไปสมทบกับคนของเธอที่ชายป่าที่อีกด้านนึง เธอก็บอกอะไรบางอย่างกับทหารแล้วให้ทหารคนนั้นรีบขี่ม้ากลับเมืองไปก่อน
ทั้งหมดเดินเท้าต่ออีกประมาณ1ชั่วโมงจนมองเห็นเมืองกาล่าอยู่ไกลๆ กำแพงเมืองสูงประมาณ7-8เมตร สีเทาของมันตัดกับพื้นที่โดยรอบที่สีเขียวชอุ่มของไร่ข้าวสาลีที่ปลูกรอบบริเวณเมือง
ทุกอย่างดูปกตินอกเสียจากว่าตอนนี้ ที่หน้าประตูเมืองมีคนจำนวนหลายร้อยคนในเสื้อผ้าหลากสีสรรยืนเรียงรายและโบกมือมาให้
ยังไม่ทันที่รอนจะถามว่านี่คือปกติของการต้อนรับกองทหารหรือ เสียงข้างหลังก็ดังขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นหรือท่านมีอา ทำไมคนในเมืองออกมายืนต้อนรับกันแบบนี้” นายร้อยโยฮันถาม
แปลว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ … รอนคิดในใจ
“เค้ามาต้อนรับท่านรอน” มีอากล่าว และเปลี่ยนคำนำหน้าว่า’ท่าน’ให้
“ต้อนรับผม ต้อนรับทำไมครับ?”
“เมื่อหลายวันก่อน พ่อค้ากลาสพบก็อบลินกำลังโจมตีหมู่บ้าน … เขาส่งคนมาแจ้งเตือนที่เมืองและตัวเขาเองก็ไม่ได้หยุดพักที่ใดเลย” นักรบหญิงบอก “และเธอจำได้ใช่ไหมว่าเธอฝากอะไรมากับกลาส”
ยา … ใช่แล้ว เขาฝากยาที่จะให้ชาวบ้านหมู่บ้านรอบๆเมืองมากับกลาส … แต่จำนวนที่ฝากมันไม่มากพอจะช่วยคนหลักหมื่นนี่นา
“เมื่อกลาสมาถึงเมือง เมืองกำลังถูกโรคระบาดเล่นงาน นอกเหนือไปจากนักเวทประจำหน่วยทหารและยาของกองทัพที่เพียงพอสำหรับการรักษาทหาร ด้วยจำนวนนักบวชที่เรามี เราแทบช่วยอะไรชาวบ้านไม่ได้เลย จนกระทั่งกลาสมาถึงโดยที่มียาที่เธอมอบไว้ติดมาด้วย เธอคิดว่าพ่อค้าคนนั้นจะทำยังไงต่อ”
รอนไม่ได้ตอบ หากแต่รอฟัง
“เขาจัดการตั้งรถของตนตรงตลาดทิศใต้ จากนั้นก็เริ่มแจกจ่ายยา …. และยาเพิ่งแจกหมดไปเมื่อวานนี้”
“ยาหมดแล้ว” รอนคิดตามอย่างสะพรึง
“ท่านยังมียาเหลือใช่ไหม” มีอาถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
“เอ่อ …….. ” รอนอ้ำอึ้ง ” ตอนนี้ในเมืองมีคนป่วยประมาณกี่คนครับ “
“ข้าก็ไม่แน่ใจ สถานการณ์ครั้งนี้รุนแรงกว่าทุกครั้ง ท่านพ่อบอกว่าน่าจะประมาณ1ใน4ของชาวเมือง ”
“แล้วเมืองกาล่ามีคนมากแค่ไหนครับ”
“ราวๆ60000คน”
“ห๊ะ!” รอนร้องขึ้น
ถ้า60000คน ก็มีคนป่วย15000คน
1คนใช้ยา14เม็ด ….. ก็ต้องใช้ยา 210000 เม็ด และยาขวดนึงมี500เม็ด
ต้องใช้ยา 420 ขวด จะไปหามายังได้ฟะ
“ท่านรอนไม่ต้องหายาเพียงพอที่จะรักษาคนทุกคนก็ได้ …ขอเพียงรักษาชีวิตชาวบ้านให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะกี่คนก็ถือเป็นบุญคุณต่อพวกเราอย่างใหญ่หลวงแล้ว”
มีอาเห็นสีหน้าหนักใจของเด็กหนุ่มแล้วก็รีบบอก เธอพอจะเข้าใจถึงความหนักใจของเขาได้ เพราะยาที่ได้ผลชะงักขนาดนี้ต้องมีมูลค่าที่มหาศาล …. จากการประเมินของนักบวช นักปรุงยา และพ่อค้าที่มีความสนิทสนมกับตระกูล ทุกคนก็ลงความเห็นตรงกันว่ายาที่ได้ผลขนาดนี้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า1เหรียญทองต่อหนึ่งเม็ด
และเธอเองทราบจากกลาสแล้ว ว่ายาที่ว่านี้ต้องใช้ติดกัน7วัน …. ดังนั้นเธอก็คำนวณไว้แต่แรกแล้วว่าถ้าจะช่วยคนทั้งหมดที่ป่วย ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 200000 เหรียญทอง!
เงินจำนวนขนาดนี้ มากพอที่จะสร้างกองทัพใหม่ได้ทั้งกอง!
ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรอีก เดินตามถนนที่มุ่งหน้าเข้าเมืองเรื่อยๆ …และเมื่อใกล้จะถึงตัวเมือง โยฮันก็จัดการนำเอาชุดเกราะของแม่ทัพออร์ค มาผูกแขวนเข้ากับเสาไม้ จากนั้นให้ทหารยกขึ้น
ชาวเมืองที่มายืนรอกันเห็นชุดเกราะดังกล่าวแล้วก็เปล่งเสียงเชียร์ออกมา โยฮันดึงโรล่าให้มาอยู่ด้านหน้าแถวคู่กับรอนและมีอา ปัดชายเสื้อให้ทุกคนได้เห็นมีดสีเงินที่เหน็บไว้ที่เอว …. แล้วให้เด็กสาวเดินนำไป
” รอน โรล่า รอน โรล่า รอน โรล่า ” เสียงตะโกนของชาวเมืองดังกึกก้องไปสองข้างทาง เด็กสาวหน้าแดงเดินกุมมือและก้มหน้า
“ขอโทษด้วยนะโรล่าที่ต้องทำแบบนี้” มีอาพูดขึ้น ” ตอนนี้กำลังใจของชาวเมืองและทหารกำลังตกต่ำ ทุกคนกลัวกองทัพออร์คที่สามารถจัดการกับกองทหารเซ็นจูเรี่ยนได้ และกลัวแม่ทัพออร์คที่สามารถรวบรวมกำลังออร์คได้”
“ถ้าทุกคนเห็นว่า เจ้าแม่ทัพออร์คที่ร่ำลือกันว่าอันตรายแข็งแกร่ง ยังสามารถตายได้ด้วยมือของเด็กสาวชาวบ้าน ….ทุกคนก็จะมีกำลังใจและคิดว่าออร์คไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด”
ทั้งหมดเดินตรงไปยังปราสาทที่อยู่ใจกลางเมือง แต่ว่าก่อนที่จะถึงปราสาทนั้นเองขบวนก็ผ่านพื้นที่ตลาด ….และผู้ชายร่างท้วมหัวล้านคนนึงก็ยืนอยู่ตรงนั้น
“คุณรอน!” เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับร่างของชายคนนั้นที่วิ่งเข้ามาสวมกอด ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความยินดี
“คุณรอนจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า”
“คุณกลาสเป็นอะไรไปครับ ใจเย็นๆครับคุณกลาส” รอนลูบหลังของพ่อค้าเร่อย่างไม่เข้าใจ ตามองไปที่ชาวเมืองที่ส่งเสียงเชียร์อยู่รอบๆ
“รอน รอน รอน รอน รอน!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า รอดแล้ว เรารอดแล้ว” กลาสร้องออกมาพร้อมน้ำตา
เด็กหนุ่มมองชาวเมืองที่ร้องตะโกน แต่ก็มีบางส่วนที่นั่งอยู่ที่พื้นด้วยลักษณะอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง แต่สายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง ชายหญิงหลายคนอุ้มเด็กตัวเล็กๆที่ผิวหนังแตกแดงเลือดและน้ำหนองไหล เหงื่อท่วมกายด้วยพิษไข้
และบริเวณที่ชาวเมืองที่สิ้นหวังจากโรคระบาดมารวมกันอยู่มากที่สุดก็คือรอบรถม้าของกลาสนี่เอง
“คุณโอเดียนครับ คุณเบรเซอร์ครับ ” รอนหันไปหาคนทั้งสอง “ผมจะขอยืมยารักษาโรคที่ยังเหลืออยู่หน่อยครับ แล้วเดี๋ยวผมจะคืนให้”
รอนใช้คำว่าขอยืม เนื่องจากยาเหล่านั้นเขาได้ยกให้กับชาวบ้านไปแล้ว
เบรเซอร์และโอเดียนหยักหน้าและเดินกลับไปที่รถลาก หยิบเอายาที่ยังเหลืออยู่ไม่มากออกมา …รอนรับเอายานั้นแล้วส่งต่อให้พ่อค้าเร่ …แต่ขณะที่กลาสกำลังจะวิ่งไปแจก รอนก็ดึงตัวเขาไว้
“คุณกลาสอย่าเพิ่งแจกครับ”
รอนกระซิบบางคำพูดให้ กลาสพยักหน้าก่อนจะวิ่งกลับไปที่รถม้า เขาปีนขึ้นไปแล้วโบกมือให้ชาวเมืองเงียบ
“พี่น้องโปรดฟัง! ตอนนี้คุณรอนมาถึงที่นี่แล้วและจะเริ่มปรุงยาตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป” กลาสประกาศ “ตอนนี้ยาชุดแรกมีจำกัด ขอให้คนที่อาการหนักได้รับยาก่อน แล้วคืนนี้ตอนดึกเราจะแจกยาอีกครั้งหนึ่ง”
“เฮ! รอน รอน รอน รอน”
ชาวเมืองตะโกนดีใจ เปิดทางให้เด็กและคนที่อาการหนักได้เข้ารับยาก่อน
เบรเซอร์และโยฮันพยักหน้าให้แก่กันกับการตัดสินใจของรอน หากนำยาไปแจกโดยไม่บอกอะไร คนที่จะได้รับก่อนก็มักจะเป็นคนที่อาการยังไม่หนักและยังมีกำลัง ส่วนคนที่อาการหนักก็จะไม่ได้รับยานี้ นอกจากนี้ก็มีโอกาสที่จะเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อคนเห็นว่ายาที่นำมาแจกมีไม่เพียงพอ
และเมื่อเกิดความวุ่นวายจะมาประกาศภายหลังว่าจะมีการปรุงยาให้ ก็อาจจะไม่มีใครเชื่อและคิดว่าเป็นการหลอกเพื่อควบคุมความวุ่ยวายเท่านั้น
และหากไม่ทำการแจกยาตอนนี้ ….ก็น่ากลัวว่ากลาสอาจจะไม่มีวันเอารถม้าของตัวเองออกจากตลาดนี้ได้อีกเลย
….
แสงคบไฟเริ่มส่องสว่างตามถนนหนทาง คืนนี้ภายในเมืองดูครึกครื้นมากกว่าปกติเพราะคนป่วยจากหลายๆเขตของเมืองต่างทยอยเดินทางมาที่นี่ … แม้จะมีบางคนที่แอบแฝงเข้ามาเพื่อหวังจะนำยาไปขายต่อ แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจ เพราะว่าทหารที่เฝ้าตรวจตราเข้มงวดไม่ให้คนที่ไม่เจ็บป่วยเข้ามารับยาด้วย
รวมไปถึงการประกาศว่าการแจกยานี้จะเป็นการแจกฟรี คนที่ป่วยหนักจะได้รับก่อน
หากนำไปขายต่อ นอกจากจะขายไม่ได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะถูกแจ้งจับ
และไม่ต้องสงสัยว่าโทษจะสูงแค่ไหน เพราะเป็นการทำความผิดในช่วงที่มีโรคระบาด
ตลาดถูกปิดชั่วคราว มีเต้นท์หลังใหญ่ตั้งขึ้นแทนที่ตรงกลางจุตรัส รายล้อมด้วยการตั้งแคมป์ที่พักชั่วคราวของชาวบ้านหมู่บ้านโอลเซ่นและอัลเลน
มองจากภายนอก ก็เป็นเหมือนการตั้งพื้นที่เพื่อทำการปรุงยาตามปกติ
แต่ความจริงแล้วคือการป้องกันไม่ให้คนอื่นรู้ว่ารอนไม่ได้ปรุงยา ซึ่งแม้แต่เบรเซอร์เองก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นการ “นำของออกจากแหวนเก็บของต่างมิติ”
ซึ่งตอนนี้ความลับนี้เพิ่งถูกเปิดเผยให้โรล่าและมาเรียรู้เพิ่มขึ้นอีก 2 คน เพราะรอนมั่นใจว่าทั้งสองคนนี้ไว้ใจได้ และถ้าหากคนอื่นเห็นว่าเขาสามารถนำยามาแจกจ่ายได้วันหนึ่งๆเป็นหมื่นๆเม็ดโดยไม่มีลูกมือช่วยเลย คนก็อาจจะสงสัยได้
และสำหรับคุณกลาส … รอนก็ให้เขาทำหน้าที่สำคัญ คือ “เป็นคนกลาง”
รอนให้กลาสเป็นคนช่วยรับเงิน จากนั้นขอให้กลาสจัดการเรื่องซื้ออาหารและเครื่องใช้เพื่อให้ชาวบ้านที่เพิ่งอพยพมาได้อาศัยได้อย่างไม่ลำบาก และแบ่งส่วนแบ่งค่าดำเนินการให้ 10%
ทั้งนี้ที่รอนขอให้กลาสดำเนินการ เพื่อการส่งคนออกไปซื้อของใช้และอาหารของกลาสก็จะเป็นการทำให้ดูเหมือนว่ามีการซื้อวัตถุดิบทำยาเข้ามา เป็นการตบตาคนภายนอก
สำหรับค่าใช้จ่ายของเมืองที่จะออกให้เพื่อใช้ในการรักษา
“ผมขอ 15000 เหรียญทองครับ” รอนบอกมีอา “และผมจะผลิตยาให้พอสำหรับคน 15000 คนให้กิน 7 วัน”
มีอายืนจ้องหน้าเด็กหนุ่มอย่างไม่เชื่อสายตา …. ราคานี้ต่ำกว่าที่คำนวณเอาไว้แบบคนละโลกกันเลย
“ผมบอกตามตรงว่าการปรุงยานี้แม้ใช้วัตถุดิบที่ไม่ได้มีราคาสูงมาก แต่ว่าขั้นตอนยุ่งยากและใช้พลังเวทสูง ดังนั้นนอกจากค่าใช้จ่าย15000เหรียญทองที่ผมบอกไป ผมอยากให้ท่านมีอาช่วยจัดหาผลึกแกนมอนสเตอร์ให้ผมด้วยเพื่อจะได้ให้ผู้ที่ปรุงยาดูดซับมานาเพื่อใช้ปรุงยาได้อย่างไม่ขาดตอน”
“และอีกอย่างที่ผมอยากจะขอร้องคือ ให้ช่วยปิดเรื่องค่าใช้จ่ายที่ผมคิดราคาถูกเป็นพิเศษนี้ไว้เป็นความลับ … เพราะหากแพร่งพรายออกไป ต่อไปคนอาจจะเข้าใจผิดคิดว่านี่คือต้นทุนของยา … ชาวบ้านอาจจะเข้าใจนักปรุงยาอื่นๆผิดว่าที่ผ่านมาพวกเขาค้ากำไรเกินควร”
มีอาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ทุกสิ่งมีต้นทุนของมันทั้งที่จับต้องได้และไม่ได้
ราคาของดาบ ไม่อาจคิดเพียงราคาของโลหะที่เอามาทำ แต่ต้องรวมการลงแรง พลังเวท และการฝึกฝนของช่างทำดาบ
ราคาของธัญพืช ไม่อาจคิดเพียงค่าเมล็ดพันธุ์ที่หว่านไปให้งอกเองใต้แสงแดดและสายฝน แต่ต้องรวมการดูแลลงแรงของชาวไร่
ค่าปรุงยาก็เช่นกัน หากคิดแต่ค่าสมุนไพรวัตถุดิบ แต่ไม่คิดถึงการตั้งใจลงแรงและอดหลับอดนอนเพื่อศึกษาฝึกฝน … ก็ย่อมไม่มีนักปรุงยาที่ไหนดำรงชีพอยู่ได้
“ ว่าแต่ เพียง 15000เหรียญทองจะเพียงพอหรือ? ” มีอาถามย้ำอีกครั้ง
รอนมองออกไปนอกเต็นท์ สายตามองไกลไปยังมวลชนที่ทยอยเดินทางมาด้วยความหวัง แล้วถอนหายใจออกมา
“ ในยามนี้ มีที่ใดบ้างที่ไม่ยากลำบาก… ตัวผมเองเดินทางมากับชาวหมู่บ้านโอลเซ่นเพื่ออยากจะปกป้องพวกเขาและหวังว่าเมื่อทุกอย่างสงบสุขแล้วก็จะกลับไปที่หมู่บ้านนั้น … ส่วนชาวเมืองที่เห็นตรงนี้ก็ไม่ต่างกัน ทุกคนมีพ่อ แม่ ลูก คนที่ตนรัก แล้วในยามที่คนกำลังสิ้นหวังนี้ ท่านมีอาจะให้ผมทนหากำไรจากคนเหล่านี้ได้หรือ”
“ยิ่งตอนนี้มีมอนสเตอร์ออกอาละวาด ถ้าหากต้องใช้เงินรักษาประชาชนจนหมดแต่เมืองไม่มีเงินซื้ออาวุธและเสบียงให้ทหารไว้สู้มอนสเตอร์ ประชาชนก็ต้องตายอยู่ดี แล้วจะมีประโยชน์อันใด”
นักรบสาวมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความทึ่งและนับถือ นี่คือวิญญูชนที่แท้จริง ทำเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังผลกำไร เธอตกลงและสัญญาจะเตรียมการให้คนนำเอาเงินส่วนแรกมาส่งให้ในทันทีก่อนจะขอตัวลากลับปราสาท ทิ้งให้รอนที่ยืนเอามือไพล่หลังมองไปภายนอกเต็นท์เพียงลำพัง
[สกิลโกหกหน้าตาย เลเวล 5 : 50/100]
ถ้าเป็นรอนในเมื่อก่อน เขาคงคิดค่ายาตามต้นทุนจริง คือ 18 เหรียญทอง
แต่ตอนนี้เขาคิดได้แล้ว ว่าสังคมไม่ได้ดำเนินไปแบบง่ายๆตรงไปตรงมา
หากเราใจดี แบ่งสิ่งที่เรามีให้คนอื่นสักหน่อย คนก็จะชื่นชมยินดีว่าเราคือคนดี
แต่หากเราใจดีมากเกินไป ให้คนอื่นมากจนเกินไป ยอมเสียสละมากเกินไป ผลที่กลับมาจะมีแต่ความยุ่งยาก
คนอาจจะสงสัยว่ายาที่ได้ ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง
คนอาจจะสงสัยว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง
หรืออย่างเบาที่สุด คนอาจจะมองว่า ความจริงแล้วยานี้ไม่ได้มีค่าอะไร และไม่เห็นค่าของมันอีก
ซึ่งต่อไปหากรอนไม่สามารถสนับสนุนยาให้เมืองได้อีกต่อไป แทนที่คนจะนึกถึงบุญคุณในอดีต ก็อาจจะกลายเป็นคนเลวที่ไม่ยอมช่วยเหลือเมือง
“15000 เหรียญ แบ่งให้คุณกลาส1500เหรียญ หักค่ายา 18เหรียญ … เหลือ13482เหรียญทอง ถ้าคูณ 20000บาทต่อเหรียญ จะเป็นเงินเท่าไหร่นะ …. ”
แล้วรอนก็สูดหายใจลึกๆ เมื่อเห็นเลข9หลักในแอพเครื่องคิดเลขในมือถือ