“ใช่ จริงด้วย! มันไม่ใช่ความผิดข้าที่ข้าก้าวหน้าไม่รวดเร็ว มันเป็นเพราะข้าไม่ใช่อัจฉริยะต่างหาก”
ชุนหลงกับลู่เหวินมองเจ้าอ้วนและหัวเราะก่อนที่ชุนหลงจะตอบลู่เหวิน
“อันที่จริง ข้าต้องการตำราเพื่อฝึกหลอมโอสถ ถึงข้าจะรู้ทฤษฎีมาบ้างแล้วข้าก็อยากจะขยายขอบเขตความรู้ของข้า ข้าจึงไปที่สำนักปรุงยาเพื่อเข้ารับการทดสอบเป็นนักปรุงยาขั้น 1”
ลู่เหวินกล่าว
“เจ้าเอาตำราขั้น 1 กับขั้น 2 ของข้าไปได้เลย ข้าไม่ต้องการมันอีกแล้ว หวังว่าข้าจะเป็นนักปรุงยาขั้น 3 .นอีกไม่นาน ข้าเรียนรู้ทุกอย่างจากตำราเหล่านั้นหมดแล้ว สิ่งเดียวที่ขัดขวางข้าในการเป็นขั้น 3 คือพลังบ่มเพาะของข้าเอง”
นี่เป็นครั้งแรกที่ชุนหลงได้ฟังเรื่องเช่นนี้
“เราต้องเพิ่มพลังบ่มเพาะเพื่อที่จะก้าวหน้าในระดับของนักปรุงยารึ?”
ชุนหลงถามด้วยความสงสัย
“มิใช่การก้าวหน้าในพลังคือความจำเป็น แต่มันมากกว่านั้น เพราะว่าเจ้าจะก้าวหน้าในการหลอมโอสถไม่ได้นอกจากเจ้าจะเพิ่มพลังบ่มเพาะเสียก่อน”
คำตอบของลู่เหวินชวนสับสน มันไม่มีเหตุผลรองรับเอาเสียเลย เขาพูดต่อ
“นักปรุงยาต้องใช้พลังจิตในการหลอมโอสถ แต่ทุกขั้นที่เหนือกว่าโอสถจะต้องการพลังจิตที่มากขึ้นจากนักปรุงยาเพื่อที่จะหลอมโอสถให้สำเร็จ”
ชุนหลงเข้าใจแล้วว่าบทสนทนาจะมุ่งหน้าไปทางใดเมื่อลู่เหวินพูดต่อ
“ตามทฤษฎี คนที่จะเป็นนักปรุงยาขั้น 1 ได้นั้นต้องมีพลังระดับรวมปราณขั้น 1 ชั้นต้น แต่ในความเป็นจริงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีทางที่ระดับรวมปราณขั้น 1 ชั้นต้นจะมีพลังจิตมากพอที่จะเป็นนักปรุงยาขั้น 1 ได้”
ชุนหลงเข้าใจสิ่งที่ลู่เหวินพยายามจะพูดและเขารู้สึกดีใจมาก นั่นเป็นเพราะพลังจิตของเขาได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดหลังจากได้ดูดซับพลังอันสุดยอดจากตำราสีทอง อย่างไรก็ตาม เขาจะก้าวหน้าได้ไกลเพียงใดนั้นจะได้รู้เมื่อเขาหลอมโอสถด้วยตัวเอง
‘ถึงข้าจะหลอมโอสถขั้น 3 ตอนนี้ไม่ได้ แต่ข้าหลอมโอสถขั้น 2 ได้แน่นอน แม้กระทั่งลู่เหวินก็เป็นเพียงแค่นักปรุงยาทองแดงขั้น 2 ข้าคงระดับพอ ๆ กับลู่เหวินสินะ?’
ลู่เหวินอธิบายต่อ
“ตามปกติ นักปรุงยาจะเลื่อนระดับตัวเองได้ในทุก 6 ขั้นพลังบ่มเพาะ”
“อย่างเช่น คนคนหนึ่งต้องมีพลังรวมปราณขั้น 6 เสียก่อนที่จะมีพลังจิตมากพอที่จะเป็นนักปรุงยาระดับทองแดงขั้น 1 และคนเดิมคนนั้นจะต้องเป็นระดับปฐพีขั้น 3 ก่อนจะเป็นนักปรุงยาทองแดงขั้น 2 ส่วนการเป็นนักปรุงยาทองแดงขั้น 3 จะต้องมีพลังปฐพีขั้น 9”
“ตอนนี้ข้ายังมีพลังปฐพีขั้น 3 ชั้นสูง แต่ท่านพ่อบอกว่าถ้าข้ามีพลังขั้นกลางในระดับปฐพีก่อน 3 เดือน เขาจะให้ ‘โอสถบำรุงจิตอินทรีทอง’ กับข้า”
เมื่อเจ้าอ้วนฟู่ได้ยินก็เกือบจะสำลักเหล้า เขาถามลู่เหวินอย่างไม่เชื่อหู
“มันคือ ‘โอสถบำรุงอินทรีทอง’ เดียวกับที่ต้องใช้แกนของอินทรีทองขั้น 3 ชั้นสูงรึ? ยอดฝีมือระดับสวรค์ขั้นสูงยังเอาชนะมันไม่ได้เลย แล้วยังต้องใช้นักปรุงยาระดับเงินขั้น 2 ในการหลอมมันขึ้นมาอีก ตระกูลเจ้าให้ของแบบนั้นกับเจ้าจริง ๆ รึ? ไม่สิ ตระกูลเจ้าไปเอามันมาจากไหน?”
ชุนหลงตกใจถึงที่มาของโอสถ แต่เจ้าอ้วนฟู่นั้นตกใจเสียยิ่งกว่าเพราะรู้ถึงความหายากของโอสถชนิดนี้ แม้กระทั่งหอสมบัติในเมืองก็ไม่มีโอสถแบบนั้นแม้จะผ่านมา 10 หรือ 20 ปี
“โอสถเป็นของท่านปู่ เขาบอกว่าข้าเป็นคนเดียวในตระกูลที่เป็นนักปรุงยา พี่น้องสองคนของข้าจึงไม่กล้าปฏิเสธท่านปู่มิเช่นนั้นตำแหน่งเจ้าตระกูลจะตกเป็นของอีกคนทันที นี่คือสิ่งที่เป็นของท่านปู่ จะมีใครในตระกูลโต้แย้งได้ถ้าเขาอยากจะให้ข้า? และนี่เองก็เป็นความปรารถนาของท่านปู่ที่ให้ข้ากลับมายังเมืองนี้จากโลกมนุษย์”
“ถ้าหากข้าได้กินโอสถบำรุงอินทรีทอง เมื่อข้ามีพลังระดับปฐพีขั้นกลาง ข้าคงจะหลอมโอสถทองแดงขั้น 3 ได้แล้ว น้องชุนไม่ต้องปฏิเสธตำราที่ข้าจะให้เพราะมันไร้ประโยชน์กับข้าอยู่แล้ว”
ลู่เหวินพูดจบและโบกมือ ตำรา 5 เล่มร่วงลงมากลางอากาศ
ชุนหลงเคยเห็นการใช้แหวนมิติเป็นครั้งแรกจากเจ้าตำหนักเฟิง
“ให้ตายสิ สะดวกชะมัด”
เจ้าอ้วนปู่พึมพำ ชุนหลงพยักหน้า
เขารับตำราก่อนจะถาม
“พี่ลู่ ข้าจะหาวัตถุดิบทำโอสถในเมืองได้จากที่ใด? ทีแรกข้าคิดจะซื้อจากสำนักปรุงยา แต่ข้าคงต้องหาซื้อที่อื่นแล้วใช่รึไม่?”
ลู่เหวินไม่ตอบคำถามชุนหลง ชุนหลงกลับเห็นว่าลู่เหวินหันไปมองเจ้าอ้วนฟู่ก่อนเจ้าอ้วนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และตบอกด้วยความภูมิใจ
เจ้าอ้วนฟู่ยิ้มมองชุนหลงและพูดอย่างพอใจ
“ที่จริงแล้ว พี่ชายคนนี้น่ะทำงานให้หอสมบัติ โรงประมูลใหญ่ที่สุดในเมืองเมฆาทะยาน หอสมบัติไม่เพียงแต่จะจัดประมูลทุกเดือนแต่ยังมีวัตถุดิบในการหลอมโอสถจำนวนมากด้วย”
“บอกข้ามาว่าเจ้าต้องการอะไร แล้วพี่ชายคนนี้จะหาให้เจ้าหากข้าทำได้”
เจ้าอ้วนฟู่หยุดพูดก่อนจะใช้นิ้วนับอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็ชู 3 นิ้วด้วยความอับอายก่อนจะพูดกับชุนหลง
“ตอนนี้ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ น้องชาย”