รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนไปด้านหน้าช้าๆ ดูเรียบง่าย แต่เมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ของจวนเจิ้นกั๋วกงรถม้าคันอื่นๆ ก็รีบหลบทันที
ผู้ใดล้วนทราบว่าในรถม้าคันนี้จักต้องมีคุณชายผู้สืบทอดแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงที่กำลังเป็นที่โปรดปรานนั่งอยู่แน่ๆ จึงไม่มีใครอยากจะไปแย่งชิงแข่งขันด้วย
ในรถม้าปูด้วยพรมสีเงินเทาอันหนาใหญ่ ทั้งยังมีเตาเงินอยู่อันหนึ่งแต่กลับไม่มีควันไฟ มันช่วยเพิ่มความอบอุ่นในรถม้าที่มีม่านผืนหนาคอยกั้นไว้ได้เป็นอย่างดี แม้นด้านนอกจะมีหิมะตกแต่ภายในรถม้ากลับอบอุ่นดุจวสันต์ฤดู
เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจยิ่ง จึงใช้สองนิ้วค่อยๆ แหวกผ้ามุมหนึ่งของผ้าม่านเพื่อดูบรรยากาศด้านนอก
ไม่นาน หิมะกลับตกหนักขึ้น ปุยหิมะปลิวว่อนลงสู่พื้นดุจขนหงส์ เพิ่มความหนาของหิมะบนพื้นให้มากขึ้น
ต้นสนที่อยู่สองข้างทางถูกหิมะปกคลุมไปหมด ไม่เหลือแม้แต่ความเขียวสักน้อยนิด
น่าเสียดายที่รถม้าต่างขับเคลื่อนเหยียบย่ำหิมะที่อยู่บนพื้นวุ่นวายไปหมด ทำให้ความงดงามอันเงียบสงบนั้นกลายเป็นโคลนดินอย่างรวดเร็ว
หลัวเทีนยเฉิงหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วนั่งพิงอยู่ในรถม้า เมื่อเห็นเจินเมี่ยวมองออกไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย ก็อดวางตำราลงมิได้ แล้วเอ่ยว่า “อาซื่อ ข้างนอกหนาว ในรถกลับร้อน อยู่ระหว่างความร้อนกับหนาวเช่นนี้ ระวังไอเย็นเข้าซึมเข้ากาย ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะปวดท้อง”
เจินเมี่ยวปล่อยม่านลง แล้วกันไปเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไหนเลยจะอ่อนแอถึงเพียงนั้น”
หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “ข้าสอบถามมาแล้ว หากสตรีร่างกายแข็งแรงจักไม่มีทางปวดท้อง กลับไปข้าจะหาท่านหมอสักคนมาตรวจอาการเจ้า”
เจินเมี่ยวมีระดูครั้งแรก ด้วยกลัวว่าท่านอารองและอาสะใภ้จะเกิดความคิดชั่วร้ายจึงได้ปิดบังเอาไว้ หลัวเทียนเฉิงคิดว่าจักต้องหาหมอที่ไว้ใจได้ หากหมอมิน่าเชื่อถือก็อาจทำให้คนตายได้ง่ายๆกแต่เพราะเขายุ่งทั้งวันเรื่องนี้จึงยังมิได้กระทำเสียที
เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็รู้สึกผิดขึ้นมา จึงกวักมือให้เจินเมี่ยวมานั่งข้างๆ
เจินเมี่ยวจึงขยับเข้าไปนั่งใกล้ แล้วเอ่ยว่า “จี้เหนียงจื่อท่านหมอหญิงแห่งสำนักเล่อเหรินเก่งกาจเรื่องโรคสตรี วันใดข้าไปเดินตลาดก็ถือโอกาสให้นางตรวจดูให้ก็สิ้นเรื่อง”
“จี้เหนียงจื่อ?” นอกจากท่านหมอที่อยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ท่านหมอที่เชิญมาจากข้างนอกก็ล้วนเป็นหมอในราชสำนัก แต่เบื้องหลังของท่านหมอเหล่านี้นั้นซ้ำซ้อนยิ่ง ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนของผู้มีบรรดาศักดิ์ใดก็ได้
นี่เป็นสาเหตุที่หลัวเทียนเฉิงมิเชิญหมอในราชสำนักมาเลยสักครา
ส่วนท่านหมอในจวนก็ถูกนางเถียนดูแลมานานหลายปีแล้ว จึงกลายเป็นคนของนางเรียบร้อยแล้ว
แต่ท่านหมอที่ราษฎรทั่วไปใช้ ทั้งยังเป็นสตรี ฝีมือการแพทย์เป็นเช่นใดก็มิอาจทราบได้
“ไม่ต้องร้อนใจไป ข้าไปตรวจสอบก่อนสักหน่อยค่อยว่ากัน”
เจินเมี่ยวพยักหน้า “อืม”
หลัวเทียนเฉิงยิ้มแล้วดึงเจินเมี่ยวเข้าสู่อ้อมอก
เจินเมี่ยวตกใจรีบผลักเขาออกทันที “ซื่อจื่อ ท่านทำอันใดกัน?”
อีกฝ่ายขยับเข้ากระซิบริมหูนางว่า “อาซื่อ วันนี้เป็นวันที่ขุนนางนับร้อยในราชสำนักมาร่วมยินดีต่อฝ่าบาท ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขอให้นิ่งเข้าไว้ อย่าได้แตกตื่น หากทำได้ให้เจ้านั่งข้าองค์หญิงชูสยาไว้จะดีที่สุด”
งานเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดิ พวกนางซึ่งเป็นสตรีสูงศักดิ์กับขุนนางนับร้อนนั้นมิได้อยู่ในที่แห่งเดียวกัน
ตามหลักแล้วคุณหนูที่ยังมิออกเรือนจะมิอาจเข้าวังมาร่วมยินดีด้วยได้ แต่องค์หญิงชูสยาและฉงสี่เซี่ยนจู่นั้นเป็นหนึ่งในพระบรมวงศานุวงศ์มีสายโลหิตเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิจึงเป็นกรณียกเว้น
บางทีอาจเพราะอยู่ใกล้กันกินไป ลมหายใจอันผ่าวร้อนนั้นจึงเป่ารดลงบนแก้มนาง เดิมใบหน้าที่เห่อร้อนอยู่แล้วก็ยิ่งแดงขึ้น
เจินเมี่ยวรู้สึกอึดอัดจึงขยับออกมาเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ วันนี้ท่านดูแปลกๆ”
ท่าทีของนางทำให้หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วเย้าแหย่นาง “แปลกที่ตรงใดหรือ?”
หรือเพราะใกล้กันเกินไปนางจึงเกิดเขินอาย?
กล่าวไปแล้ว พวกเขาก็ควรจะเป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงกันเสียที
เจินเมี่ยวกลับไม่รู้ถึงความคิดของเขาจึงเอ่ยว่า “คล้ายว่าวันนี้จักต้องเกิดเรื่องใดสักอย่างขึ้น ท่านถึงกำชับข้าเช่นนี้”
หลัวเทียนเฉิงใจเต้นตึกตัก แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนสี “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้เล่า?”
เจินเมี่ยวแบมือออกอย่างจนใจ “คราที่แล้วที่เหอเป่ย ท่านก็พูดเช่นนี้ สุดท้าย…”
หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวในใจว่า สตรีผู้นี้ช่างมีความรู้สึกเฉียบไวนัก
เจินเมี่ยวหัวเราะออกมาอีก “แต่คราก่อนเรากลับตามหาท่านอาสี่จนเจอ เรียกได้ว่าเพราะมีภัยจึงพบโชค”
“เจ้าช่างมองโลกในแง่ดีเหลือเกิน” หลัวเทียนเฉิงหยิกแก้มที่แดงเรื่อดุจลูกท้อของนาง
เจินเมี่ยวยกมือขึ้นตีมือใหญ่นั้นแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “มีผู้ใดทำเช่นนี้กับภรรยาตน ประหนึ่งกำลังหยอกแมวตัวหนึ่งก็มิปาน?”
“อ้อ เช่นนั้นภรรยาคิดว่า ข้าผู้เป็นสามีควรปฏิบัติเช่นไรต่อเจ้าหรือ?” หลัวเทียนเฉิงโน้มกายเข้าหา คนทั้งสองอยู่ใกล้กันอย่างยิ่ง
เจินเมี่ยวอึ้งงันกับการกระทำอันกะทันหันนี้ของเขายิ่ง ดวงตาสองข้างเบิกกว้าง นัยน์ตาใสวาวเป็นประกาย กระทั่งเห็นเงาของอีกฝ่ายที่สะท้อนอยู่ในนั้น
หลัวเทียนเฉิงก็เหม่อลอยไปชั่วขณะเช่นกัน ดั่งภูตบอกเทพสั่ง ริมฝีปากของเขาก็ประทับลงบนดวงตาคู่นั้นทันที
หากจะบอกถึงความต่างอย่างที่สุดของอาซื่อของเขาในชาติก่อนกับชาตินี้ นั้นก็คือดวงตาคู่นี้แล ทั้งที่ยังคงเป็นตาแบบเดียวกัน แต่เมื่อเขาตกอยู่ในความว้าวุ่นใจ ดวงตาคู่นี้ก็จะคอยสะกิดเตือนให้เขามีสติขึ้นมาได้ทันเวลาพอดี พวกนางไม่เหมือนกัน ชาตินี้กับชาติก่อนไม่เหมือนกันเอาเสียเลย
นี่คืออาซื่อของเขาอย่างไรเล่า เขาได้ครอบครองอาซื่อที่อยู่ในช่วงงดงามที่สุด
ชาติก่อนนั้นพวกเขาแต่งงานกันช้าไปถึงสามปี บางทีอาจเพราะเวลาสามปีนั้นเองทำให้สาวน้อยผู้ซึ่งต้องแบกคำว่าสตรีไร้มารดาทั้งชื่อเสียงอันเสื่อมเสียมากมาย ดวงตาคู่นี้จึงได้เปลี่ยนสีไปอย่างช้าๆ
แต่เขากลับมิได้มีความเห็นใจสักนิด แต่กลับใช้ความเย็นชาดูแคลนนาง และใช้เท้าเหยียบย่ำลงโดยแรง
ตั้งแต่นั้นมา คนทั้งสองก็มิอาจหวนคืนอันใดได้อีก
โชคดีที่พวกเขาได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ทั้งยังอยู่ในช่วงเวลาที่พอเหมาะยิ่ง
หลัวเทียนเฉิงเกิดอารมณ์วาบหวามขึ้นมาจึงลืมกระทั่งวันเวลา เขาเพียงกอดนางไว้ในอ้อมอกอย่างอ่อนโยนทั้งยังมอบจุมพิตเร่าร้อนแก่นาง
อาการอึ้งงันของเจินเมี่ยวในคราแรกเปลี่ยนเป็นว้าวุ่น แต่การต่อต้านทั้งหมดของนางกลับถูกอีกกำลังของอีกฝ่ายทำลายไปจนสิ้น แต่นางก็มิกล้าส่งเสียงด้วยกลัวว่าคนภายนอกจะได้ยิน แต่ต่อมาในหัวกลับมึนงงไปหมด รู้สึกเพียงล่องลอยอยู่ในความฝันภายใต้รถม้าอันคับแคบนี้ ทั้งไม่ยินยอมที่จะตื่นจากฝันนี้ ล้มเลิกการต่อต้านทุกอย่างแล้วปล่อยให้ตนเคลิบเคลิ้มไปความฝันนั้น
เมื่อรู้สึกชัดเจนว่าอีกฝ่ายคล้อยตามตน เขาผู้ซึ่งเป็นบุรุษธรรมดาผู้หนึ่งพลันละทิ้งสติสัมปชัญญะทั้งหมดลงทันใด หลัวเทียนเฉิงพลิกตัวกดนางไว้ใต้ร่างตน
สตรีที่อยู่ใต้ร่างนี้ปิดดวงตาแน่น ขนตาของนางเปียกชื้นจากการถูกจุมพิต สองแก้มแดงระเรื่องดงามกว่าลูกท้อเสียอีก งดงามเสียจนทำให้คนหลงลืมว่าด้านนอกนั้นคือหิมะอันเหน็บหนาว แต่กลับหลงคิดไปว่าที่นี่เป็นกระโจมที่หอมหวนและอบอุ่นที่สุด
เจินเมี่ยวรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่จู่โจมเข้ามา นางลืมตาขึ้นด้วยความหนาวสั่น จึงพบว่ากระโปรงตนถูกถลกขึ้นมามากกว่าครึ่งแล้ว แต่อาภรณ์ของอีกฝ่ายกลับยังคงเรียบร้อยครบถ้วน ฝ่ามือใหญ่นั้นกำลังเคล้าคลึงวุ่นวาย
เจินเมี่ยวร้อนใจขึ้นมา
คนเราต้องรักษาหน้าตาและเกียรติยศ หากปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ ประเดี๋ยวนางคงมิอาจลงจากรถม้าได้แน่
ภายใต้ความโกรธกรุ่นนั้นนางจึงยกเท้าถีบออกไป แต่กลับถูกหลัวเทียนเฉิงคว้าจับเอาไว้ได้ “เลิกซุกซนได้แล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีทางว่าง่ายเช่นนี้!”
“ผู้ใดกันแน่ที่ซุกซน!” เจินเมี่ยวรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อย “ท่านทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ หากผู้คนเกิดความสงสัยอันใดขึ้นมาแล้วข้าจะมีหน้าไปพบผู้อื่นได้อย่างไร?”
เมื่อเห็นเจินเมี่ยวกระวนกระวายจนแทบจะร้องไห้ออกมา หลัวเทียนเฉิงก็ทราบว่าตนวู่วามเกินไป จึงพลิกตัวนอนตะแคงแล้วโอบนางเข้ามาปลอบประโลม “เป็นข้าเองที่ซุกซน เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าอย่ากังวลไปเลย ยังมีเวลาอีกครู่กว่าจะถึงประตูวัง”
เจินเมี่ยวได้ฟังสีหน้าก็เริ่มดีขึ้น
พลันได้ยินหลัวเทียนเฉิงเอ่ยขึ้นอีกว่า “เช่นนั้นเราก็กอดกันอีกสักหน่อยเถิด”
“หุบปาก!” เจินเมี่ยวกำหมัดทุบเขาไปคราหนึ่ง ในที่สุดโลกก็สงบลงเสียที
เมื่อจัดอาภรณ์เข้าที่ และนั่งลงอย่างเรียบร้อยจนถึงประตูวัง เจินเมี่ยวจึงเอ่ยถามอย่างเป็นกังวลว่า “ปิ่นปักผมข้าเอียงหรือไม่?”
“ไม่” หลัวเทียนเฉิงหัวเราะมิออกร้องไห้มิได้
คนทั้งสองจึงลงจากรถม้าและแยกไปคนละที่
หลัวเทียนเฉิงไปที่ตำหนักหลวงเพื่อถวายพระพรและร่วมแสดงความยินดี ส่วนเจินเมี่ยวก็เปลี่ยนไปนั่งเกี้ยวแทน เกี้ยวของนางถูกหามไปที่ตำหนักในซึ่งมีไว้เพื่อรับรองสตรีสูงศักดิ์โดยเฉพาะ
เจินเมี่ยวเดินตามนางกำนัลผู้นำทางเข้าไป บรรยากาศภายในอันคึกคักพลันนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง
หลายวันมานี่ จวนเจิ้นกั๋วกงนั้นกลายเป็นหัวข้อสนทนาอันสนุกสนานของคนในเมืองหลวงไปแล้ว คลื่นลูกแรงยังมิสงบคลื่นลูกใหม่ก็ก่อตัวขึ้นอีกแล้ว
เดิมหลัวเทียนเฉิงช่วยองค์จักรพรรดิไว้ เขามีความดีความชอบจนได้เลื่อนตำแหน่งกลายเป็นบุคคลที่มีอำนาจยิ่ง ไม่ว่าจะรู้จักกันเป็นการส่วนตัวกับนางเจินหรือไม่อย่างไร ทุกคนก็ต้องแสดงความเป็นกันเองต่อนางไว้ก่อน ทว่าฮูหยินของผู้สืบทอดเช่นนางซึ่งช่วยชีวิตองค์หญิงไว้กลับมิได้รับรางวัลปูนบำเหน็จอันใดทั้งสิ้น ทั้งยังมีข่าวลือออกไปว่าไท่โฮ่วและหวงโฮ่วมิโปรดนาง
สายลมพัดผ่านช่องว่างย่อมมีสาเหตุ หากเป็นยามปกติก็แล้วไปเถิด แต่ยามนี้ตำแหน่งรัชทายาทส่อเค้าไม่มั่นคงเสียแล้ว หากมีการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทขึ้นมา เช่นนั้นไท่โฮ่วและหวงโฮ่วผู้ซึ่งไร้บุตรอันเป็นผู้มีอำนาจและตำแหน่งสูงส่งก็กลายเป็นบุคคลที่สำคัญยิ่งแล้ว
สตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายจึงยังคงเพียงเฝ้ามองเจินเมี่ยวอยู่ห่างๆ เท่านั้น
“คุณหนูสี่…” เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบไปในทันใด
ชูสยาจวิ้นจู่เดินเข้าหาแล้วคว้ามือเจินเมี่ยวไว้ “คุณหนูสี่ ท่านแม่ข้าให้มาเชิญเจ้าไปนั่งด้วย”
เจินเมี่ยวจึงเดินตามชูสยาจวิ้นจู่ไป จึงพบฮูหยินผู้มีรูปโฉมงดงาม ใบหน้าห้อยแขวนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนนั่งอยู่หลังโต๊ะหยก
“หวังเฟย” เจินเมี่ยวทำความเคารพทันที
“มานั่งนี่เถิด” หวังเฟยเรียกให้นางไปนั่งด้านข้าง แล้วจึงกะพริบตาเผยรอยยิ้ม “อยากจะกล่าวขอบคุณเจ้านานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที”
เจินเมี่ยวยิ้มตาหยีพลางกล่าวว่า “หวังเฟยเกรงใจเกินไปแล้ว องค์หญิงชูสยาเป็นสหายของข้า ข้าย่อมต้องช่วยนางอยู่แล้ว มิจำเป็นต้องกล่าวขอบคุณเลยเจ้าค่ะ”
ชูสยาจวิ้นจู่เขย่าแขนมารดา “ท่านแม่ ข้าบอกแล้วว่ามิต้องขอบคุณ ท่านจะขอบคุณจนเราสองคนตายจากกันเลยเชียวหรือ”
“ใช่ บุญคุณใหญ่หลวงมิอาจไม่เอ่ยขอบคุณ” หวังเฟยมองเจินเมี่ยวคราหนึ่งแล้วถอนหายใจอยู่ในอก
บุตรสาวผู้นี้ของนางนั้นช่างตรงไปตรงมาเหลือเกิน แม้นตนจะมีศักดิ์เป็นองค์หญิง แต่การพูดจาเช่นนี้นั้นเกรงว่าจะทำให้ผู้ที่ช่วยชีวิตรู้สึกเสียใจไม่น้อย
แต่เมื่อมองไปกลับพบว่าเจินเมี่ยวพยักหน้าตามอย่างเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน
เด็กสาวทั้งสองช่างคล้ายกันนัก มิน่าเล่าจึงเป็นสหายกันได้
แต่บุตรสาวนางอุปนิสัยเช่นนี้ แต่ต้องแต่งไปอยู่ต่างแดน นางกังวลเหลือเกินว่าจักต้องลำบาก
“ชูสยา แม่บอกเคยบอกแล้วมิใช่หรือว่า บุญคุณเพียงหยดน้ำตอบแทนเท่าลำธาร ภายหน้าเมื่อไปอยู่ดินแดนหมานเว่ย ก็ต้องปฏิบัติเช่นนี้จึงจะสามารถผูกสัมพันธ์อันดีได้”
“แต่บุญคุณที่คุณหนูสี่มีต่อข้ามิใช่แค่เพียงหยดน้ำ แต่เป็นบุญคุณที่กว้างใหญ่ดุจแม่น้ำ” ชูสยาจวิ้นจู่พลันเอ่ยถามคิดว่าอย่างสนุกสนานว่า “คุณหนูสี่ เจ้าว่า บุญคุณกว้างใหญ่เท่าแม่น้ำควรตอบแทนอย่างไรหรือ?”
วาจาที่เอ่ยถามออกไปนี้แม้แต่หวังเฟยเองก็อยากรู้ในคำตอบของเจินเมี่ยวเช่นกัน
มิต้องเอ่ยถึงฐานะองค์หญิงของชูสยา ต่อให้เป็นคนธรรมดา แม้นบุญคุณเท่าเม็ดข้าวก็ยังต้องตอบแทนด้วยข้าวหลายสิบกระบุง
เจินเมี่ยวมิได้คิดอันใด เพียงตอบออกไปด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “บุญคุณเพียงหยดน้ำตอบแทนเท่าลำธาร ดูท่าบุญคุณเท่าแม่น้ำคงไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้”
“คริๆ” ชูสยาจวิ้นจู่หัวเราะออกมา
หวังเฟยเองก็ลอบพยักหน้า
นางเจินช่างมีความคิดล้ำลึกนัก
มิใช่นางตระหนี่แต่คนเราก็เป็นเช่นนี้ หากนางเจินทำตนดั่งผู้มีพระคุณของชูสยาจริงๆ เกรงว่าความสัมพันธ์ของพวกนางคงมิอาจยาวนานได้
นางผู้เป็นมารดา ยากนักที่จะเห็นบุตรสาวมีสหายที่สามารถตายแทนกันได้เช่นนี้ หากมิอาจรักษาความสัมพันธ์ให้ยาวนานได้ กลับเป็นนางต่างหากที่เสียดายแทนบุตรสาว
หากเจินเมี่ยวมิได้ทำไม่ดี นางจะเห็นแก่ชูสยา ยินยอมช่วยเหลือนางทุกอย่างหากวันหน้ามีเรื่องใดที่สามารถช่วยได้
แต่เมื่อชูสยาได้ยินคำตอบของเจินเมี่ยวแล้วกลับเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ เช่นนั้นมิต้องใช้ร่างกายและความรักตอบแทนหรอกหรือ?”
ในบทละครต่างพูดเช่นนี้ทั้งสิ้น