ชุนหลงตื่นขึ้นมองผู้เป็นพ่อและแม่ที่เปิดประตูห้องเขาเข้ามา
ชุนฟางมองเขาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“เจ้าพร้อมรึยัง?”
ชุนหลงรู้แล้วว่าถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องออกเดินทาง และถึงเขาจะไม่สาเหตุที่พ่อต้องรีบร้อนไปที่เมืองหลวง เขาก็ไม่ถามอะไรในตอนนี้เมื่อเขาพักหายใจ
“ท่านพ่อ จริง ๆ แล้ว ข้าต้องการหม้อปรุงยา ขนาดไม่ใหญ่เกินไปที่ข้าจะพกติดตัวได้ แต่ข้าอยากได้ระดับหม้อที่ดีด้วย”
ชุนฟางอึ้งเล็กน้อย ลูกชายเขายังไม่ทันบ่มเพาะพลังได้ถึงปีแต่ก็อยากจะเรียนรู้ศาสตร์การปรุงโอสถแล้วหรือ? เขาเหมือนกับทารกที่พยายามจะวิ่งก่อนหัดเดิน
ชุนอันมองสามีและพูดด้วยรอยยิ้ม
“หึหึ ในที่สุดท่านพี่ก็ได้ทิ้งของเก่าแล้ว”
ชุนฟางเบิกตากว้างเมื่อได้ยินภรรยา
“ของเก่าเรอะ? เจ้าก็รู้ว่าข้าใช้เวลาแรมเดือนสร้างหม้อใบนั้นขึ้นมา…อาาา ช่างเถอะ”
เขาพูดขณะที่เดินไปหยิบหม้อขนาดเท่าชามด้วยตัวเอง
ทันทีที่ชุนหลงได้เห็นหม้อที่ชุนฟางแบกมาเขาก็เข้าใจในทันที แม้ว่าเขาจะยังไม่เป็นนักปรุงยาหรือปรมาจารย์ค่ายกล เขารู้ว่าหม้อใบเล็กนี้ไม่ธรรมดา
มันปล่อยพลังออกมาเล็กน้อยตั้งแต่ยังไม่ถูกใช้งาน แค่มองก็รับรู้ได้ว่าค่ายกลที่ฝังไว้ด้านในนั้นทรงพลังเพียงใด
ชุนฟางเห็นดวงตาลูกชายและตบอกด้วยความภาคภูมิใจ ขณะมองภรรยาที่มองเขาด้วยความพอใจ
ชุนอันยิ้มกับท่าทางตลก ๆ ของชุนฟาง
“พ่อเจ้าเสียเวลาเกือบ 2 เดือนสร้างหม้อใบเล็กนี้ขึ้นมาและสร้างอักษรโบราณเอาไว้ ค่ายกลที่ฝังไว้ด้านในล้วนเป็นระดับทองแดงขั้น 3 ที่มีพลังเทียบเท่าหม้อเงินขั้น 1 แต่เพราะพ่อเจ้ายังไม่ได้เป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับเงิน เขาจึงควบคุมพลังค่ายกลเหล่านั้นไม่ได้ พลังในหม้อจึงไม่ได้ถูกปิดบังเอาไว้โดยสมบูรณ์”
แม้ว่าชุนอันจะกล่าวเช่นนั้น ชุนหลงก็เข้าใจในความล้ำค่าของหม้อใบนี้
พ่อของเขาคงจะทนขายสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ให้กับนักปรุงยาที่ต่ำกว่าระดับเงินไม่ได้
ชุนฟางดีใจที่ลูกชายต้องการฝึกศาสตร์ปรุงยา เขาเพียงแค่กลัวว่าการศึกษาการปรุงยาที่มากเกินไปจะทำให้การบ่มเพาะพลังของชุนหลงช้าลง
ถึงอย่างนั้น เขาก็ดีใจที่ได้มอบสิ่งล้ำค่าที่เขาสร้างขึ้นมาแก่ลูกชาย
เขาเดินไปหาชุนหลงและมอบหม้อให้พร้อมกับพูด
“เจ้าไม่ต้องเอาสิ่งใดไปนอกจากหม้อใบนี้และเสื้อผ้า ออกไปหาข้าเมื่อเจ้าพร้อมออกเดินทาง”
จากนั้นชุนฟางจึงเดินออกจากห้องชุนหลงด้วยร้อยยิ้มกว้าง
ชุนอันยินดีกับสามีของตัวเองเพราะหาได้ยากที่เขาจะอารมณ์ดี แต่เมื่อนางคิดว่าูกชายคนเดียวกำลังจะจากไปอย่างยาวนาน นางก็เริ่มส่งเสียงสะอื้นออกมาในท้ายสุด
ชุนหลงรู้ความรู้สึกของชุนอัน ยากที่จะมองลูกชายตัวเองลาจาก แต่ลูกชายของนางมีจิตใจอันกล้าแกร่งที่จะไปยังจุดที่สูงกว่า เขารู้ว่าเขาจะอยู่ในเมืองป่าครามไม่ได้ มิเช่นนั้นเขาจะไม่มีวันทำคำสาบานให้สำเร็จ
ชุนหลงจัดระเบียบความคิดและยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อเดินไปหามารดา
“มิใช่ว่าข้าจะจากไปตลอดกาล ข้าจะกลับมาเมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้น”
ชุนอันกอดเขา
“เจ้าต้องเอาเจ้าสาวกลับมาด้วย”
นางยิ้มอย่างสดใสและพูดต่อ
“อย่าให้เป็นเด็กอกแบนแบบตระกูลหลินนั่นล่ะ รีบไปได้แล้ว พ่อเจ้ารออยู่ที่รถม้า”
ชุนหลงยิ้มอีกครั้งและหยิบชุดสำรองพร้อมกับหม้อปรุงยา เขาเก็บมันทั้งหมดลงในกล่องไม้
เขาเดินไปยังรถม้าที่พ่อรออยู่นอกประตูตำหนัก
เขาหันไปมองบ้านของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย บ้านหลังแรกในโลกใบนี้
ใบหน้าหล่อเหลาของชุนหลงหันกลับมาด้วยความแน่วแน่ เขามองตรงไปข้างหน้าและพูดกับคนขับ
“ไปกันเถอะ”
ม้าวิ่งเป็นเวลา 10 นาทีและพวกเขาก็ได้ออกจากเมืองป่าครามแล้ว
ชุนหลงกับชุนฟางพูดคุยกัน ชุนหลงถาม
“ท่านพ่อ ใยต้องรีบร้อนเดินทางไปเมืองหลวงทั้งที่เรามีเวลาเหลือเฟอเล่า?”
ชุนฟางมองบุตรชาย
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการทดสอบของนิกายเมฆาทะยานเป็นเช่นใด?”
คำถามทำให้ชุนหลงหยุดคิด และเขาส่ายหน้า
ชุนฟางพูดต่อ
“การทดสอบนั้นง่ายมาก ตราบเท่าที่เจ้าอายุต่ำกว่า 20 ปีและอยู่ในระดับรวมปราณขั้นกลางชั้นสูง เจ้าจะผ่านอย่างแน่นอน เจ้าเป็นผู้บ่มเพาะพลังระดับรวมปราณขั้น 6 ชั้นต้นอยู่แล้ว นั่นหมายความว่าเจ้าอยู่ในขั้นกลางชั้นสูง เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่อง ‘บททดสอบ’ เจ้าควรจะห่วงเรื่องหลังจากการทดสอบมากกว่า”
“ท่านพ่อหมายความว่าอะไร?”
ชุนหลงถามด้วยความสับสน
“ข้าเองก็ไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับนิกายเมฆาทะยานมากนัก แต่ข้าเคยได้ยินเรื่องสำคัญมาก่อน ยิ่งเจ้ารู้จักคนก่อนจะถึงนิกายมากเท่าใด มันจะยิ่งมีประโยชน์ต่อตัวเจ้ามากเท่านั้น ลู่เหวินเองก็เป็นนักปรุงยาจากเมืองป่าครามที่จะเข้าร่วมการทดสอบเข้านิกายเมฆาทะยานครั้งนี้ แต่การทดสอบของเขาจะต้องการคนที่มีพลังสูงในระดับปฐพีและอายุต่ำกว่า 30 ปี ส่วนเรื่องที่ต้องสร้างคนรู้จักก่อนถึงนิกายนั้น พ่อเองก็ยังไม่รู้ พ่อว่าเจ้าคงจะรู้เองเมื่อเจ้าไปถึงนิกายเมฆาทะยานแล้ว”
การเดินทางของชุนหลงกับชุนฟางเป็นไปตามคาด พวกเขาได้เห็นมันอย่างชัดเจนภายในครึ่งวัน
ในที่สุดก็มาถึงแล้ว…เมืองหลวง