กำเนิดดาบปีศาจ(BDS) เล่ม1 : บทที่ 28 – คัมภีร์
แซนดี้และมาร์คทั้งคู่มีผมสีน้ำตาลและเคราสั้นสีแดง มีรูปร่างขนาดกลาง และชัดเจนว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน ต่างแม่แต่พ่อเดียวกัน พวกเขายังดูไม่แก่เท่าไหร่เพราะอายุยังไม่ถึงสี่สิบ
ซูซานคือหญิงสาวที่อายุใกล้เลขห้า มีผมสีทองและเธอขาดองค์ประกอบบนศีรษะไปอย่างหนึ่ง หูข้างหนึ่งของเธอหายไป
อีธานคือผู้ที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม ประมาณสามสิบต้นๆ และสูงที่สุดในกลุ่ม
ทุกคนกำลังนั่งรอบโต๊ะวงกลมอยู่ในห้องหนึ่งของตึกผู้พิทักษ์พร้อมกับชาร้อนที่วางอยู่ด้านข้างของทุกคน
ซูซานกำลังอธิบายข้อมูลที่เธอรู้เกี่ยวกับภารกิจนี้
“เรารู้ว่ากลุ่มนี้ก่อตั้งขึ้นจากกลุ่มคนที่เป็นทหารรับจ้างมาก่อนที่กำลังถูกทหารของตระกูลโชสติตามล่า ในกลุ่มพวกเขา บางคนไม่มีคนสุขกับการมีฐานะเป็นเพียงแค่ทหารในโรงม้าจึงแข็งขืนและกลายมาเป็นโจร พวกเจ้าคงได้อ่านรายงานเกี่ยวกับหมู่บ้านทาซาร์ทมาแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าพวกมันลบร่องรอยทั้งหมดได้ระหว่างที่ลักพาตัวผู้หญิงจำนวนมากไปด้วย แน่นอนว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดของเราคือเริ่มสืบจากที่นั่น”
ทุกคนพยักหน้ารับ
“พวกมันมีกันกี่คน แล้วฝีมือล่ะเป็นยังไง? และเราจะทำยังไงถ้าพวกมันใช้ตัวประกัน?”
โนอาห์ถามขึ้น เขาต้องการให้มั่นใจว่าเขาจะพร้อมสำหรับทุกอย่างในการต่อสู้ครั้งแรกของเขากับผู้ฝึกตน แม้จะไม่เคยมีส่วนร่วมมาก่อนเลยก็ตามที
“เรามีคำอธิบายถึงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มและมีจำนวนถึงยี่สิบคนด้วยกัน ในกรณีที่ใช้ตัวประกัน เราจะช่วยพวกเขาเท่าที่ทำได้ เราจะฟันตัวประกันทันทีหากพวกมันคิดจะใช้ตัวประกันเป็นโล่ป้องกัน”
โนอาห์พยักหน้า เขารู้สึกพอใจกับคำตอบ
‘ในโลกนี้ ผู้ที่อ่อนแอจะถูกตำหนิ ในขณะที่ผู้ที่แข็งแกร่งจะได้รับการเคารพ ฉันจะไม่ทำให้ตัวเองเป็นภัยเพื่อปกป้องคนอื่นที่ฉันไม่ได้สนใจ’
หมู่บ้านมีโอกาสถูกกำจัดเพราะฝูงสัตว์เวทมนตร์ที่บังเอิญสัญจรผ่านทางนั้น ความอ่อนแอนั้นเป็นบาปของโลกใบนี้
เมื่อคลายจากข้อสงสัย โนอาห์ก็ฟังคำถามจากทหารคนอื่นๆ อย่างตั้งใจ
พวกเขาจัดลำดับความสำคัญของภารกิจ แผนการโจมตี และหน้าที่ของแต่ละคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
โนอาห์รับบหน้าที่กำจัดไม่ว่าหน้าไหนก็ตามที่พยายาจะเข้าถึงตัวสมาชิกในกลุ่มทั้งสี่ ต้องปล่อยให้พวกเขาจัดการกับผู้ฝึกตนได้โดยไม่สะดุด
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราจะเริ่มออกเดินทางทันทีในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า”
กลุ่มต่างแยกย้ายกันและกลับไปเตรียมตัวสำหรับภารกิจ
ในขณะเดียวกัน ณ ฝั่งหนึ่งบนเทือกเขาเล็กๆ ที่มีต้นไม้นานาชนิดปกคลุม มีกลุ่มชายฉกรรจ์ราวยี่สิบคนหรือมากกว่านั้นกำลังพักแรมอยู่ใกล้กองไฟ
ตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาวอุณหภูมิจึงต่ำแต่ดูเหมือนชายกลุ่มนี้จะไม่ได้รู้สึกอะไรมากขณะที่พวกเขากำลังตั้งแถวเพื่อเดินเข้าเต็นท์ขนาดใหญ่ของค่าย
เสียงร้องไห้และคำพูดอ้อนวอนดังงึมงำออกมาจากเต็นท์แต่ผู้ชายที่อยู่ข้างนอกเพียงแค่หัวเราะและเลียริมฝีปากกุลีกุจอเข้าไปข้างใน
ชายสองคนออกมาจากเต็นท์และโพล่งออกมาอย่างภาคภูมิใจ
“มีหญิงบริสุทธิ์อยู่ข้างในนี้ด้วย! ฮ่าๆ!”
เสียงถอนหายใจและคำสบถที่ไม่เป็นที่พอใจถูกระบายออกมาจากชายที่กำลังต่อแถวอยู่ แต่จากนั้นเสียงตะโกนหนึ่งดังขึ้นจากเทือกเขาสูง
“หุบปากของพวกเจ้าเสีย ข้ากำลังใช้สมาธิ!”
ชายทุกคนต่างเงียบกริบแต่ไม่นาน เสียงกระซิบกระซาบก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง
“ข้าได้ยินว่าหัวหน้าขโมยคัมภีร์เวทมนตร์มาจากสารวัตรเก่าได้”
“ชู่ววว เขากำลังเรียนรู้อยู่ไม่เห็นรึ อย่าไปรบกวนเขา เขาปล่อยให้เราปล้นหมู่บ้านก็เพราะอยากทำให้เรามีความสุขและหยุดบ่นเสียที”
“ช่างน่าเสียดายที่เขาเป็นจอมเวทย์มาเสียนานและทางเดียวที่เขาจะได้คัมภีร์เวทมนตร์มาก็คือการก่อกบฏ”
“เจ้าเองก็เลือกที่จะก่อกบฏเช่นกัน จำไม่ได้รึ?”
“ได้สิ เราเป็นทหารต๊อกต๋อย มีแค่ทองคำกับผู้หญิงเท่านั้นแหละที่สนใจ!”
ทหารหนีทัพเหล่านี้พูดคุยกันต่ออีกครู่หนึ่งก่อนจะกลับเข้าไปเพลิดเพลินในเต็นท์
* * * * *
สี่วันต่อมา รถม้าคันหนึ่งหยุดลงที่หน้าหมู่บ้านทาซาร์ท หรือจะเรียกว่าซากหมู่บ้านก็ไม่ผิด
บ้านหลายหลังถูกเผาจนมอดไหม้และไม่พบร่องรอยของผู้อยู่อาศัยข้างในเลย
กลุ่มของชายสามคน หญิงหนึ่งคน และเด็กอีกหนึ่งคนลงจากรถม้า พวกเขาคือกลุ่มผู้พิทักษ์ที่ตระกูลบัลวันส่งมาทำภารกิจ
“ไม่เอาน่า ก็เจ้ามันน่าเบื่อเกินไป เจ้าไม่ทำอะไรเลยแต่กลับรีบและฝึกฝนระหว่างการเดินทางเนี่ยนะ อายุของเจ้ายังไม่ถึงเกณฑ์ที่ควรจะพูดถึงผู้หญิงด้วยซ้ำ”
“แซนฟอร์ด อย่ารบเร้าเด็กมันนักเลย เขาไม่ควรมาเสียเวลากับเจ้าด้วยซ้ำ”
“ท่านหัวหน้าใจร้าย! ข้าแค่อยากจะสั่งสอนในฐานะลูกผู้ชายด้วยกันก็เท่านั้น!”
มาร์คยืนหัวเราะอยู่ด้านข้างกับทุกคำที่พวกเขาพูดกัน ในขณะที่อีธานพยายามลอกเลียนแบบการฝึกฝนของโนอาห์
‘อย่าบอกฉันนะว่าตั้งแต่เริ่มฝึกตนเมื่อตันเถียนปรากฎ ก็ทำให้นายกลายเป็นเจ้าทึ่มแบบนี้? ฉันจะบ้าตาย’
นี่คือความคิดของโนอาห์หลังจากที่ได้เดินทางร่วมกับผู้ฝึกตนมาถึงสี่วันด้วยกัน
‘ไม่แปลกใจเลยที่จะมีความคิดแบบนี้ แม้แต่อาจารย์ก็ไม่น่าจะปกติ ดูรอยยิ้มเขาสิ’
เขากำลังครุ่นคิดว่าบางทีการฝึกตนอาจส่งผลข้างเคียงกับกายภาพของผู้ฝึก
พวกเขาเดินเข้ามาใกล้ซากหมู่บ้านและมองไปรอบๆ เพื่อค้นหาเบาะแสของทหารหนีทัพ
ศพกองเกลื่อนอยู่บนพื้นหลังจากการปล้นชิง
ตามที่รายงานได้ระบุไว้ ไม่มีศพของผู้หญิงปะปนอยู่กับซากศพเหล่านี้เลยและเผยให้เห็นร่อยรอยของการลากดึงอยู่ทั่วบริเวณ
“คิดว่าเป็นที่ใดที่พวกสารเลวบ้ากามจะใช้เป็นที่หลบซ่อน?”
มาร์คถามคำถามขณะชี้ไปยังร่องรอยของการถูกลากทอดยาวไป
“เทือกเขา” แซนดี้ตอบ
“แถบหน้าผา” อีธานตอบพร้อมชี้
ซูซานนวดขมับเพื่อยั้งตัวเองไม่ให้ตะโกนใส่ทั้งสามคน
“พวกมันน่าจะใช้เส้นทางนั้น เราควรรีบตามไปขณะที่พวกมันยังหลงระเริงอยู่กับตัวประกัน”
โนอาห์อดรู้สึกไม่ได้ถึงความกระวนกระวายใจเล็กๆ ต่อซูซานผู้ไร้ซึ่งหัวใจหลังจากที่เธอเอ่ยเมื่อครู่
“มาบางอย่างกำลังเข้ามา”
“ใช่ คราบเลือดต้องติดเสื้อผ้าพวกมันไปบ้างสิ”
“หือ?”
ในตอนแรกโนอาห์ไม่ทันได้สังเกตว่ามีบางสิ่งกำลังใกล้เข้ามา
‘พวกนั้นเป็นนักเวทย์หรือ?’
เมื่อมองไปที่แซนดี้และมาร์คที่กำลังมองไปยังทิศทางหนึ่งซึ่งเขาเองก็เดินตามไป ขณะมองจุดสีดำที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตรข้างหน้านี้
จุดสำดำเพิ่มเป็นสองจุด จากนั้นก็สี่จุด
จากนั้นก็กลายเป็นเงาของหมาป่าอัสนีหกตัวอย่างชัดเจน
“เจ้าหนู จัดการมันเสีย ขอให้สนุก”
แซนดี้แตะไหล่โนอาห์และนั่งลงบนพื้นเหมือนกับการนั่งรอการแสดงเริ่มต้นขึ้น