ซีโน่เจเนอิคสเปชเทพโบราณ
หานเซิ่นกำลังอารมณ์ไม่ดี เขาเข้ามาในซีโน่เจเนอิคสเปชเทพโบราณครึ่งวันแล้ว เขาเดินทางไปแล้วกว่า 30 ไมล์ และชุดของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ภายใต้การดูแลของยวิ๋นฉางคง หานเซิ่นมาถึงซีโน่เจเนอิคสเปชเทพโบราณได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อมาถึงเขาก็พบว่ามันมีพลังบางอย่างฉุดรั้งร่างกายของเขาเอาไว้ เขารู้สึกมันคล้ายคลึงกับกุญแจหัวใจนภา มันแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย แต่ผลของมันเหมือนๆกัน ซึ่งก็คือมันจำกัดการเคลื่อนไหวของเขา
ตอนนี้หานเซิ่นรู้แล้วว่าทำไมผู้นำของปราสาทนภาถึงได้ใช้กุญแจหัวใจนภาใส่เขา นั่นเป็นเพราะเขาต้องการให้หานเซิ่นมีประสบการณ์การถูกจำกัดการเคลื่อนไหว ผู้นำของปราสาทนภามีแผนที่จะส่งหานเซิ่นมาที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว
มันเป็นอะไรที่น่าเสียดายที่กุญแจหัวในนภายังคงไม่ถูกปลดล็อค ซึ่งถ้าพวกมันถูกปลดล็อคแล้วล่ะก็ การจำกัดการเคลื่อนไหวของซีโน่เจเนอิคสเปชเทพโบราณก็จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
แต่ทว่าซีโน่เจเนอิคสเปชเทพโบราณไม่ได้อันตรายอย่างที่หานเซิ่นคิดเอาไว้ นอกจากหินที่กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด เขาก็ยังไม่เห็นซีโน่เจเนอิคเลยสักตัว
ยวิ๋นฉางคงบอกกับหานเซิ่นว่างานของเขาก็คือการล่าซีโน่เจเนอิค ซีโน่เจเนอิคของที่นี่เป็นอะไรที่พิเศษ และยีนของพวกมันก็ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ยิ่งเขาล่ากลับไปได้มากเท่าไหร่มันก็ยิ่งดี
แต่จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้ยีนซีโน่เจเนอิคเลยสักชิ้น เมื่อมันไม่มีซีโน่เจเนอิคให้เห็น มันก็ไม่มีทางที่เขาจะเอายีนของพวกมันมาได้
ทันใดนั้นหานเซิ่นก็สังเกตเห็นถึงความเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง แต่หลังจากที่เข้าไปสังเกตใกล้ๆ สิ่งที่ได้เห็นก็ทำให้หานเซิ่นขมวดคิ้ว
“หานเซิ่น!” คนๆนั้นเห็นหานเซิ่นและส่งเสียงร้องอย่างตกใจ
“ทำไมไม่ว่าจะไปที่ไหนข้าก็เจอเจ้า?” หานเซิ่นพูดกับไห่เอ๋อร์จากเผ่าพันธุ์โจรสลัด เขาไม่ต้องการจะพบกับเธออีกครั้ง
ตอนนี้ไห่เอ๋อร์กลายเป็นเอิร์ลเรียบร้อยแล้ว และพลังชีวิตของเธอก็ดูแข็งแกร่งขึ้น
“ข้าต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายถาม ข้าคิดว่าเบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าเปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นมดไปแล้วซะอีก เจ้ากลับคืนร่างเดิมได้ยังไง?” ไห่เอ๋อร์มองหานเซิ่นอย่างสงสัย
“มันก็แค่กลลวงเล็กน้อยเท่านั้น จริงๆแล้วเขาไม่ได้ทำอะไร” หานเซิ่นยิ้ม เขาไม่มีอารมณ์จะมาอธิบายให้เธอฟัง
ไห่เอ๋อร์ยิ้มและพูด “ไหนๆโชคชะตาก็พาพวกเรามาพบกันอีกครั้ง ทำไมพวกเราไม่มาร่วมมือกันล่ะ?”
“ไม่ล่ะ ข้าชอบอยู่ตามลำพัง” หานเซิ่นไม่ต้องการร่วมทางกับเธอ
ไห่เอ๋อร์ยิ้มและพูดต่อ “แต่นี่มันโชคชะตาของพวกเรา หมอดูคนหนึ่งเคยบอกข้าว่าข้าเข้ากับคนที่โดดเดียวได้เป็นอย่างดี และนั่นหมายความว่าพวกเราเกิดมาเพื่อเป็นสหายกัน”
“ถ้าเจ้าอยากจะติดตามข้า ข้าก็ไม่ว่าอะไร แต่ข้าจะไม่แบ่งซีโน่เจเนอิคให้กับเจ้าแม้แต่ตัวเดียว” หานเซิ่นเริ่มเดินออกไป
“อ้า นี่เจ้าไม่ได้ถูกบอกมาอย่างนั้นหรอ ทางบุดด้าก็ส่งคนมาที่นี่เหมือนกัน มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขามาเจอเจ้า?”
ไห่เอ๋อร์ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร เธอยังคงพูดขึ้นมาขณะที่เดินตามหานเซิ่นไป
“ข้าไม่ได้กลัวเบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่า แล้วข้าจะกลัวบุดด้าคนหนึ่งทำไม? และถึงแม้ข้าจะกลัว การร่วมมือกับเจ้าจะทำให้ข้าหายกลัวหรือยังไง?” หานเซิ่นพูด
“คนที่ทางบุดด้าส่งมาเป็นระดับมาร์ควิส ถึงเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งอย่างบุดด้าเจ็ดวิญญาณ แต่เขาก็เป็นบุคคลอันตราย แต่ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้ สิ่งสำคัญที่เจ้าจำเป็นต้องรู้ก็คือทางบุดด้าร่วมกับกับเผ่าเดม่อน เดม่อนเป็นศัตรูของปราสาทนภา และพวกเขาก็ส่งคนที่มีชื่อว่าชารอนมาที่นี่ นี่เจ้ารู้ตัวไหมว่าตอนนี้เจ้ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากแค่ไหน?” ไห่เอ๋อร์พูด
“ชารอนที่พูดถึงนั่นเป็นใคร?” หานเซิ่นถามขึ้นมาอย่างขาดความกระตือรือร้น ราวกับว่าเขาไม่สนใจเลยสักนิด
“เจ้าไม่รู้จักชารอนอย่างนั้นหรอ?” ไห่เอ๋อร์ถามหานเซิ่นด้วยความแปลกใจ
“นี่ข้าจำเป็นต้องรู้หรือว่าเขาเป็นใคร?” หานเซิ่นพูด
ในที่สุดไห่เอ๋อร์ก็เชื่อว่าหานเซิ่นไม่รู้จริงๆ เธอจึงพูดต่อ
“เจ้าเป็นถึงลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีด แต่เจ้ากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย? นี่เจ้าเคยได้ยินชื่อของไผ่เดียวดายในปราสาทนภาหรือเปล่า?”
“เคย” หานเซิ่นพูด
“ชื่อเสียงของชารอนในเผ่าเดม่อนก็เหมือนกับไผ่เดียวดายในปราสาทนภา พวกเขามักจะถูกพูดเปรียบเทียบกันเสมอ แต่ตอนนี้ชารอนกลายเป็นมาร์ควิสเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเจ้าก็ควรจะรู้สินะว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเจ้าต้องไปเจอกับเขาน่ะ” ไห่เอ๋อร์พูด
“ผู้คนก็พูดว่าข้าทัดเทียมกับไผ่เดียวดายเช่นเดียวกัน นั่นหมายความข้าไม่จำเป็นต้องกลัวชารอนอะไรนั่น” หานเซิ่นหัวเราะ
“นี่เจ้าพูดบ้าอะไร? เจ้าเกือบที่จะถูกบุดด้าเจ็ดวิญญาณฆ่าอยู่หยกๆ ชารอนนั้นเหนือกว่าบุดด้าเจ็ดวิญญาณมากนัก” ไห่เอ๋อร์มองหานเซิ่นอย่างดูถูก
หานเซิ่นหัวเราะและไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม เนื่องจากปราสาทนภาไม่ค่อยติดต่อกับโลกภายนอก ข่าวภายในจึงไม่ได้ถูกแพร่สะพัดออกไป มีคนนอกเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องของหานเซิ่นกับไผ่เดียวดาย
“แต่ถึงข้าจะกลัวชารอน การมีเจ้าติดตามไปด้วยมันจะช่วยอะไรได้? อย่าบอกนะว่าเจ้าต่อสู้กับเขาได้น่ะ” หานเซิ่นพูด
“ข้าเอาชนะเขาไม่ได้ แต่ข้ารู้ว่ามันมีสถานที่ลับแห่งหนึ่งในซีโน่เจเนอิคสเปชนี้ ข้าพาเจ้าไปที่นั่นได้ และเจ้าก็จะได้ล่าซีโน่เจเนอิคโดยไม่เจอกับชารอน เจ้าอยากจะร่วมมือกับข้าขึ้นมาแล้วใช่ไหม? พวกเราจะแบ่งซีโน่เจเนอิคกันคนละครึ่ง และข้าก็จะช่วยเจ้าฆ่าพวกมันด้วย” ไห่เอ๋อร์พูด
“นั่นก็ฟังดูไม่เลว มันเป็นสถานที่แบบไหนกันล่ะ?”
หานเซิ่นเดินมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เจอซีโน่เจเนอิคเลยสักตัว เขาคิดว่าถ้ายังเดินทางตามลำพัง มันก็คงจะไม่เป็นผลดีเท่าไหร่นัก
“สถานที่แห่งนั้นเป็นความลับสุดยอด คนที่ทางโจรสลัดส่งมาที่นี่ในครั้งก่อนๆเจอมันเข้าโดยบังเอิญ มันไม่ควรจะมีใครหาที่นั่นเจอถ้าไม่มีข้านำทาง” ไห่เอ๋อร์ดูโอ้อวด
“ถ้ามันดีอย่างที่เจ้าบอกจริงๆล่ะก็ ข้าก็จะร่วมมือกับเจ้า” หานเซิ่นพูด
“แน่นอนอยู่แล้ว พวกเราจะไปกันเดี๋ยวนี้เลย”
ไห่เอ๋อร์พูด หลังจากที่พวกเขาเจอกันบนดาวของบุดด้า เธอก็เริ่มเข้าใจในตัวของหานเซิ่น เธอรู้ว่าหานเซิ่นสามารถเชื่อใจได้ และตราบใดที่เขาได้รับผลประโยชน์บางอย่าง เขาก็จะไม่ทรยศเธอ
นองจากนั้นไห่เอ๋อร์ยังมีอาวุธลับไว้ใช้ป้องกันตัวอีก เธอจึงไม่กลัวว่าจะถูกหานเซิ่นหักหลัง
หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ติดตามไห่เอ๋อร์ไป รอบๆนั้นมีหินอยู่เต็มไปหมด แต่มันก็มีเพียงแค่นั้น มันไม่มีสถานที่ให้หลบซ่อนตัวอะไร ดังนั้นโอกาสที่จะมีสิ่งมีชีวิตหลบซ่อนอยู่จึงแทบจะเป็นศูนย์
ทั้ง 2 คนเดินทางไปหลายสิบไมล์ และด้วยพลังบางอย่างของซีโน่เจเนอิคสเปชเทพโบราณ พวกเขาก็เหงื่อท่วมตัวราวกับว่าเพิ่งจะขึ้นมาจากน้ำ
“ถึงแล้ว ที่นี่แหละ” ไห่เอ๋อร์มองแผนที่และมาหยุดอยู่ที่รอยแยกแห่งหนึ่ง
หานเซิ่นมองไปที่รอยแยกนั้นและสังเกตเห็นว่ามันเข้าไปได้เพียงแค่ทีละคนเท่านั้น มันมีช่องว่างแบบนี้มากมายในซีโน่เจเนอิคสเปชเทพโบราณ
ไห่เอ๋อร์นั้นเข้าไปก่อนและหานเซิ่นก็ตามเธอเข้าไป ทั้งคู่เคลื่อนที่ตามรอยแยกไปหลายไมล์จนกระทั่งพื้นที่เริ่มเปิดกว้างออก
ภายในรอยแยกนั้นเป็นถ้ำขนาดใหญ่ หานเซิ่นเห็นรูปปั้นที่ทำมาจากหินตั้งอยู่ข้างใน มันมีความสูงหนึ่งร้อยเมตร ซึ่งเมื่อต่อหน้ารูปปั้น หานเซิ่นและไห่เอ๋อร์ก็ตัวเล็กเหมือนกับมด