ตอนที่ 19: จะแสดงสิ่งที่ข้ามีให้เจ้าได้เห็น
“องค์ราชันย์เจ้าคะ”
ขณะที่ทิโมธีกำลังสูญเสียคำพูด ลูเซียที่เงียบมาตลอดการสนทนาเขยิบก้าวเข้ามาใกล้แล้วเรียกคังชอลอิน
“ในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวของราชันย์ ก็อบลินผู้นี้ได้อาสาตัวเองเพื่อมาเป็นนักการทูตและเยี่ยมชมดินแดนของเรา แต่ในความเป็นจริงเขากำลังพยายามทำลายเราจากภายในและลวงหลอกนายท่านเรื่องการทำศึก ข้าเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะต้องได้รับบทลงโทษที่เหมาะสมสำหรับเรื่องนี้”
ความคิดเห็นของลูเซียนั้นสมเหตุสมผลมาก
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า ทิโมธีเป็นเพียงนักการทูตที่ต้องการเจรจาขอความสันติ แต่ในตอนนี้เขากลับกลายเป็นตัวแปรหลักในการเดินทัพของศัตรู มันไม่ใช่เรื่องที่เกินกว่าเหตุหากจะตัดสินประหารหัวเขาซะตั้งแต่เดี๋ยวนี้
อย่างไรก็ตามคังชอลอินมีความคิดที่ต่างออกไป
“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล”
“เช่นนั้นให้ข้านำเครื่องประหาร…”
ลูเซียพูดโดยไร้ซึ่งความปราณีใด ๆ นางไม่คิดให้อภัยกับใครก็ตามที่อาจหาญกล้ามาดูหมิ่นคังชอลอิน
“ยังก่อน”
คังชอลอินส่ายหัว
“ลูเซีย ความคิดเห็นของเจ้านั้นถูกต้องและเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง แต่มันไม่มีความสำคัญใดที่จะมาฆ่าก็อบลินเสียตั้งแต่ตอนนี้ มันยังไม่สายที่จะพิจารณาโทษใหม่อีกครั้งหลังการสู้รบสิ้นสุด”
“ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่นายท่านกล่าว…”
“จงมองไปที่ก็อบลินให้ดี”
คังชอลอินเพยิดคางของเขาชี้ไปที่ก็อบลินตามข้อสงสัยของลูเซีย ทิโมธีกำลังตัวแข็งทื่อและไม่ยอมขยับร่างกายไปไหน เขาไม่อาจรับรู้ถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างคังชอลอินและลูเซียได้ นั่นเพราะเขากำลังสูญเสียสภาพจิตใจของตัวเอง
“ผู้ช่วยส่วนตัวที่ถูกทอดทิ้งโดยราชันย์ที่เขารับใช้”
ดวงตาของลูเซียเบิกกว้างขณะที่นางเข้าใจความคิดของคังชอลอินได้ในที่สุด
‘ใช่แล้ว!’
ทันใดนั้นลูเซียก็สร้างภาพสถานการณ์ของทิโมธีขึ้นมาในใจ
‘ผู้ช่วยส่วนตัวผู้นี้ไม่อาจทราบได้ว่าราชันย์ของเขากำลังจะบุกมาที่ดินแดนของเรา! หากเขารู้อยู่ก่อนหน้าคงไม่มีการตอบสนองเช่นนี้แน่! อา…องค์ราชันย์ของข้าไม่เคยมองพลาดรายละเอียดเล็กน้อยอีกเช่นเคย!’
ช่างเป็นคนที่แสนสารเลวเพียงใดกันถึงได้คิดทำสงครามหลังจากส่งนักการทูตมาได้ไม่ถึงวันและยังไม่มีการประกาศเริ่มนำสงครามมาก่อนเช่นนี้อีก นอกจากจะเป็นการเจรจาต่อรองที่รุนแรงและไร้ซึ่งอารยธรรมแล้วมันยังเป็นการตัดสินใจที่โหดร้ายและไร้ความปราณีอย่างแท้จริงที่ไม่คำนึงถึงทูตที่ส่งมาเลยแม้แต่น้อย
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ราชันย์ของศัตรูไม่คำนึงถึงผู้ช่วยส่วนตัวเลยว่าเขาจะเป็นจะตายหรือไม่อย่างไร ทิโมธีผู้นี้ได้ถูกทอดทิ้งโดยสมบูรณ์”
เมื่อลูเซียมองกลับไปทิโมธีอีกครั้ง นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้ง
นางเองก็เป็นผู้ช่วยส่วนตัวเช่นกัน
นางย่อมรู้ดีกว่าใครว่าการถูกราชันย์ทอดทิ้งนั้นหมายถึงสิ่งใด จนถึงตอนนี้ลูเซียเองก็ยังไม่มีความมั่นใจและกลัวว่าตัวนางจะไร้ประโยชน์ต่อคังชอลอินและคงจะถูกทอดทิ้งในที่สุด แม้นางไม่อาจรู้ได้อย่างแน่ชัดแต่นางก็พอรู้สึกถึงหัวใจของทิโมธีที่กำลังมอดไหม้จนแผดเผาเป็นเถ้าธุลีในตอนนี้ได้
“ใช่ เช่นนั้นแล้วชีวิตที่สูญเสียไปหมดทุกอย่างจะเป็นเช่นไรต่อ?”
“…”
“ถึงอย่างไรเขาก็ต้องชดใช้ที่กล้าเข้ามาบ่อนทำลายข้า”
“เช่นนั้นข้าจะทำให้เขาต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าการได้รับความตายขอรับ”
คังชอลอินแสยะยิ้มร้ายอย่างพอใจ
“ทิโมธี เจ้าพูดอะไรออกมา?”
“… องค์ราชันย์…”
เสียงของทิโมธีไร้ซึ่งพลังเมื่อเขาตอบกลับ หูของเขาหย่อนคล้อยแต่กลับไม่ดูน่าสงสารอีกต่อไป
“ตามข้ามา”
“…”
“เจ้าไม่อยากเห็นหรือว่าคนที่ทอดทิ้งเจ้าจะถูกทำลายลงเช่นไร?”
วินาทีนั้นทิโมธีเหมือนได้เห็นภาพปีศาจแห่งความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและภาพของผู้นำที่มีเมตตาซ้อนทับกันบนใบหน้าของบุรุษที่ชื่อคังชอลอิน
คำกล่าวก่อนหน้าของคังชอลอินตีเป็นความหมายออกมาได้สองประการ
“เจมส์”
คังชอลอินเรียกหาผู้บัญชาการเจมส์โดยไม่สนใจทิโมธีที่กำลังใช้ความคิด
“ขอรับ”
“ไปแสดงให้ไอ้ “ยุ่น” เห็นถึงสถานะของตัวเองและตอบรับความเย่อหยิ่งของมันซะ”
“ขอรับ องค์ราชันย์!”
เจมส์ตอบรับเสียงดังและแสดงความเคารพแก่คังชอลอิน จากนั้น…เขาก็ค่อย ๆ เอ่ยถามอย่างระวังราวกับว่ามีบางสิ่งรบกวนจิตใจของเขา
“แต่องค์ราชันย์… “ยุ่น” นี่หมายถึงสิ่งใดหรือขอรับ?”
“…อะไรบางสิ่งจากที่ ๆ ข้าจากมา”
“อ๋อ ขอรับ!”
คังชอลอินไม่ได้ตอบออกไปตามตรงเพราะเขาขี้เกียจเกินกว่าจะมานั่งอธิบายในตอนนี้
จากนั้นคังชอลอินก็นำลูเซียและทิโมธีไปยังหอสังเกตการณ์
ที่ลาพิวต้ามีหอสังเกตการณ์ที่สามารถสังเกตได้ไกลถึง 40 กม. ซึ่งจะทำให้เขามองเห็นอาณาเขตดินแดนและพื้นที่โดยรอบได้จากตรงจุดนี้
เหตุผลในการมาอยู่ที่หอสังเกตการณ์นั้นง่ายมาก
นั่นเพราะคังชอลอินไม่คิดร่วมต่อสู้กับศึกในครั้งนี้
มันไม่ใช่สถานการณ์เร่งด่วนและไม่ใช่สงครามใหญ่ที่จะต้องให้คนอย่างเขาออกไปร่วมต่อสู้
คังชอลอินได้เตรียมการบางสิ่งไว้ก่อนหน้านี้แล้วและคำสั่งที่เขาสั่งการออกไปนั้นจะเป็นกุญแจสำคัญในการพิจารณาทิศทางของสงคราม คิมูระและทิโมธีไม่เคยรู้ว่าคังชอลอินเองก็ใช้เหยี่ยวสอดแนมสองตัวรวมถึงหน่วยสอดแนมเพิ่มเติมเพื่อให้ได้รับข้อมูลสถานะปัจจุบันของเบอร์โรลมา
ด้วยเหตุนี้ ทหารของลาพิวต้าจึงได้เสร็จสิ้นการเตรียมตั้งรับสงครามทั้งหมดก่อนที่ทิโมธีจะมาถึงและกำลังรอให้ทหารของดินแดนเบอร์โรลบุกเข้ามาด้วยความใจเย็น
ราวกับเขาเป็นแมงมุมที่จ้องจะกินหยื่อหลังชักใย
“ทิโมธี”
คังชอลอินกล่าวเรียกทิโมธีขณะที่เขาจ้องมองทหารของดินแดนเบอร์โรลที่ใกล้เข้ามาจากระยะไกล
“ขอรับ…ราชันย์”
ทิโมธียังคงมีความโกรธแค้น การถูกทอดทิ้งเป็นสิ่งที่เกินรับได้สำหรับก็อบลินชราวัยเช่นเขา
“เจ้าคาดหวังให้ผลลัพธ์เป็นเช่นไร?”
คังชอลอินเอ่ยถาม
“… หากท่านเปรียบเทียบแค่มุมมองของกองกำลัง ข้าคาดว่าดินแดนเบอร์โรลจะสามารถมีชัยได้อย่างยิ่งใหญ่ขอรับ”
“งั้นรึ?”
“กำลังทางทหารของเบอร์โรลมีความแข็งแกร่งอย่างมาก พวกเขามีทั้งมด 300 ตัว ตะขาบยักษ์ 4 ตัว และท่านโชกุนก็ยังมีคางคกเปลวเพลิงข้างกายอีกเช่นกัน”
“มันดูเหมือนจะเป็นกองกำลังที่ทรงพลัง”
คังชอลอินพยักหน้ารับ
ในความเป็นจริง
อำนาจทางทหารหมายถึงพลังทางเศรษฐกิจ
เนื่องจากลาพิวต้ามีราคาแพงมากคังชอลอินจึงไม่มีเงินเหลือมากพอให้ไปใช้จ่ายในคลังสินค้า มันค่อนข้างน่าอายเล็กน้อยแต่สถานะทางการเงินของลาพิวต้าในตอนนี้ค่อนข้างตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
คังชอลอินไม่ได้แสดงอาการผ่านทางสายตาใด ๆ ออกไป เขาเพียงยิ้มรับให้กับคำตอบจากทิโมธี
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าราชันย์ของเจ้าจะสามารถพิชิตดินแดนนี้ได้หรือไม่?”
“นั่นมัน…”
ทิโมธีไม่สามารถให้คำตอบตอบกลับไปได้ในทันที
‘แน่นอนว่าฝ่ายเรามีทหารที่ดีกว่า เรามีความได้เปรียบ … แต่ทำไมข้าถึงยังรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้?”
ความไร้ความสามารถของราชันย์คิมูระถือเป็นปัจจัยหนึ่งในเหตุผลนั้น แต่พฤติกรรมที่มั่นใจของคังชอลอินนี่ต่างหากที่ทำให้เขาสับสน เขากำลังผ่อนคลายเช่นนี้ได้อย่างไรในเมื่อเขาได้รู้แล้วว่าตัวเองกำลังเสียเปรียบเรื่องกำลังพล? ทิโมธีไม่สามารถเดาผลลัพธ์ของการต่อสู้นี้ได้เลย
“ข้าจะมอบคำตอบให้เอง”
ทันใดนั้นคังชอลอินก็พูดขึ้นมา
“ข้าจะชนะ”
มันเป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมาและเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจที่แท้จริง
“วันนี้ดินแดนเจ้าจะล่มสลาย”
“ไม่!”
ก่อนที่ใครจะทันได้กระพริบตา ทิโมธีที่ไม่เห็นด้วยตะโกนเสียงดัง
‘เขายังคงมีความเป็นผู้ช่วยที่ซื่อสัตย์อยู่ … เข้าใจแล้ว’
คังชอลอินมองดูทิโมธีและรู้สึกหวั่นกลัวถึงความภักดีของก็อบลินชราวัยเล็กน้อย
ตามที่มองผ่านจากสายตาของคังชอลอิน ดูเหมือนว่าทิโมธีเองยังไม่ได้สูญเสียความจงรักภักดีที่มีต่อราชันย์ของเขาไปจนหมดแม้ว่าเขาจะถูกทอดทิ้งแบบไร้เยื่อใยก็ตาม
“แม้ท่านโชกุนจะไร้ประสบการณ์ แต่ท่านโชกุนไม่มีทางแพ้เป็นอันขาด!”
“หืม…เจ้าคิดอย่างนั้นหรือ?”
“ขอรับ! แม้กองทัพของท่านจะดูไม่ธรรมดาแต่ท่านไม่มีทางสามารถเอาชนะความแตกต่างในสงครามได้ … ”
“เช่นนั้นจงรอดู”
คังชอลอินตัดคำพูดของทิโมธีแล้วหันไปพูดกับลูเซีย
“โทรโข่ง”
“เจ้าค่ะ”
ลูเซียส่งโทรโข่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องขยายเสียงให้คังชอลอินอย่างสุภาพ
“จงจำไว้ การร้องขอเพื่อยอมจำนนก็เป็นหนึ่งในคุณธรรมที่แข็งแกร่งเช่นกัน”
คังชอลอินมองอย่างเหยียดหยามขณะส่งเสียงพูด คิมูระและกองกำลังของเขาใกล้มาถึงลาพิวต้าแล้วเพียงอีกไม่นาน
ปี๊บ!
“สวัสดี ศัตรูของข้า ได้ยินเสียงข้าหรือไม่?”
คังชอลอินทำการทดสอบเสียงด้วยการเอื้อนเอ่ยวาจาแปลกประหลาด
“เจ้าคือราชันย์ของดินแดนนี้งั้นรึ?!”
คิมูระตะโกนตอบกลับคังชอลอิน เนื่องจากเขาไม่ได้นำโทรโข่งมาด้วยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตะโกนให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้
“จงยอมจำนน…”
“ยอมจำนนแก่ข้าซะยุ่น”
“…”
“เช่นนั้นแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
คังชอลอินปล่อยหมัดฮุคเข้าเต็ม ๆ ตัวคิมูระ
“ยะ ยุ่นงั้นรึ!”
เปลวเพลิงแห่งความแค้นปะทุขึ้นภายในดวงตาของคิมูระทันใด
“แก ไอ้แมลงโชซอน!(สมัยกาลโบราณของเกาหลีที่ถูกยึดครองโดยญี่ปุ่น)”
ในขณะที่คนเกาหลีรู้จักคำว่า “ยุ่น” เพื่อใช้ดูถูกคนญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเองก็รู้จักคำสบประมาทของเกาหลีด้วยเช่นกัน
“กล้าดี… กล้าดีอย่างไรถึงมาเรียกข้าว่ายุ่น!”
“ก็ข้าจะเรียก หยุดพูดเรื่องไร้สาระแล้วยอมจำนนกลับไปซะ”
“กะ แก!”
คิมูระตัวสั่นด้วยความโกรธ
เสียงของคังชอลอินน่าขยะแขยงมากจนเขารู้สึกถึงความโกรธแค้นที่เติมเต็มร่างกายจนลึกลงไปในกระดูก
“ถ้าเจ้ายังยืนกรานไม่ยอมจำนน…”
คังชอลอินแสยะยิ้มร้ายอีกครั้งก่อนจะปล่อยหมัดฮุคใส่คิมูระอีกเป็นครั้งสุดท้าย
“ข้าจะโจมตีจนเหมือนว่าเจ้ากำลังถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณู… แต่เดี๋ยวก่อน นั่นมันความสามารถพิเศษของเจ้าอยู่แล้วไม่ใช่รึ? เจ้าเป็นคนเดียวในโลกที่ได้รับสิ่งนั้น สองลูกจาก…คนที่เจ้าก็รู้ดีกว่าใคร พวกแมลงสาบอมตะ”
คิมูระไม่สามารถตอบโต้กลับไปได้
แม้คังชอลอินจะจุดชนวนเพิ่มความโกรธอย่างไรแต่มันก็เป็นความจริงที่เขาไม่มีทางปฏิเสธได้เลย
ญี่ปุ่นเป็นชาติแรกและชาติสุดท้ายที่ถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูบนโลก
“ลิตเติ้ลบอย” ระเบิดปรมาณูที่ทำจากยูเรเนียมและ “แฟตบอย” ระเบิดปรมาณูที่ทำจากพลูโทเนียมเป็นหนึ่งในความอัปยศอดสูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับชาวญี่ปุ่น
“ข้าจะฆ่าแก ไอ้นรก!”
คิมูระที่โกรธเคืองจนถึงขีดสุดระเบิดเสียงคำราม
“เช่นนั้นก็ลองทำดู”
คังชอลอินเย้ยหยัน
“แต่ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าจะสามารถมาฆ่าข้าได้จริงหรือไม่”
ขณะนั้นคิมูระรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังสั่งการเขาอยู่ในหัว เขาตะคอกคำสั่งออกไปด้วยความว้าวุ่น
“โจมตี!”
คิมูระบัญชาทัพ
“เดี๋ยวนี้! ไปเอาตัวมันมาให้ข้า! โจมตี! ข้าสั่งให้โจมตีมัน!”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสงคราม
ภายใต้การนำของคิมูระ ทหารของเบอร์โรลเริ่มพุ่งตรงไปที่กำแพงปราสาทของลาพิวต้า
การล้อมดินแดนได้เริ่มขึ้นแล้ว
“ท่านโชกุน!”
ทิโมธีหลับตาลงแน่นเนื่องด้วยสถานการณ์ที่น่าหดหู่
แม้เขาจะพ่ายแพ้ให้กับการต่อสู้ทางวาจา แต่ราชันย์ที่ล้มลงได้ง่ายดายเพียงการเย้ยหยันของคังชอลอินนั้น สำหรับทิโมธีผู้ซึ่งอยู่กลางดินแดนของศัตรูรู้สึกเขินอายจนเขาอยากจะซ่อนตัวลงในหลุมเสีย
“เจ้ายังภักดีต่อคนที่โง่เขลาขนาดนี้ได้อยู่อีกหรือ?”
เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ คังชอลอินก็โยนคำถามกลับไปที่ทิโมธีอีกครั้ง
“โปรดระวังคำพูดด้วยขอรับ ถึงทิโมธีผู้นี้จะถูกท่านโชกุนถูกทอดทิ้งแต่ข้าก็ยังมีความภักดีต่อท่าน”
“งั้นรึ?”
คังชอลอินเอ่ยถามด้วยความสนใจ
“ถ้าอย่างนั้น …”
เขายิ้ม มันเป็นยิ้มดั่งเช่นรอยยิ้มปีศาจ
“จงเพลิดเพลินไปกับการดูศึกครั้งนี้เสียเถอะ”
และในตอนนั้นเอง เหล่าทหารของเบอร์โรลก็เริ่มปีนไต่กำแพงเมืองขึ้นมา
.
.