เวลาผ่านไปสักพัก หลังผมบอกฮยอนซึงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพัคฮเยยอง
แน่นอน ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป เช่น “จองจินโฮน่าสงสัย” หรือ “ผู้ชายคนนั้นเป็นฆาตกร”
มันขึ้นอยู่กับคิมฮยอนซึงเอง ไม่ใช่ผมที่ต้องสรุปว่า ‘จินโฮคือคคนร้าย’
ผมไม่จำเป็นต้องโน้มน้าวเขาด้วยซ้ำ มันเพียงพอแล้วในตอนนี้ ที่จะทำให้จินโฮตกเป็นผู้ต้องสงสัย
‘นั่นจะดีสำหรับพวกเราทุกคน’
ฮยอนซึงเป็นหุ้นส่วนที่สมเหตุสมผลของเรา เขาต้องสงสัยจินโฮมากกว่าผมในสถานการณ์เช่นนี้ ความชั่วร้ายที่เขาจะทำในอนาคต มันช่วยไม่ได้ที่คิมฮยอนซึงจะได้ข้อสรุปเช่นนั้น
เมื่อเวลาผ่านไป คิมฮยอนซึงมักจะใช้เวลาอยู่คนเพื่อเดียว เพื่อสังเกตการณ์และตรวจสอบ
เขาเฝ้าดูจองจินโฮอย่างระมัดระวังและบางครั้งก็สังเกตผมเงียบ ๆ แต่ผมรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ในขณะที่เขาทำเช่นนั้น
เมื่อใดก็ตามที่เขาแสดงสีหน้าเย็นชา ผมคิดว่าคิมฮยอนซึงกำลังหาวิธีฆ่าจองจินโฮ
‘เขาคือศัตรูในอนาคต นักฆ่าผู้คิดคำนวณ ฆาตกรที่ฆ่าพัคฮเยยอง’
ไม่มีเหตุผลที่คิมฮยอนซึงจะย้ายจินโฮออกจากที่พักทันที ไม่ว่าเขาจะมีความเมตตาต่อผู้อื่นในระดับพระเจ้าหรือไม่ แต่เขาก็ต้องกำจัดสิ่งที่จะกลายเป็นศัตรูในอนาคตอย่างแน่นอน
แต่เขาจะกำจัดปัญหานี้ได้ยังไง?
จากมุมมองของคิมฮยอนซึง เขาต้องจัดการกับมันให้เร็วที่สุด แต่เขายังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากที่ต้องกังวล ดูเหมือนมันยากที่จะหาโอกาสอันเหมาะสมและมีหลายสิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนหน้านั้น
ตัวอย่างเช่นปัญหาเรื่องดันเจี้ยน
“แล้วเราจะลงไปชั้นล่างด้วยได้กันยังไง?”
“ด้วยกัน…คุณหมายถึง?”
“ครับ ฮยอนซึง จองฮายันกำลังจะเสร็จสิ้นการเปลี่ยนคลาสเป็นวิซาร์ด…ถ้ารวมจินโฮเข้ากับเราด้วย ผมคิดว่าเรามีโอกาสมากพอที่จะโจมตี ดูเหมือนว่าซอกวูจะมีคลาสแล้วด้วย …ผมก็อยากจะก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง แต่ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว เพราะอาหารที่เรามีกำลังจะหมดลง และตั้งแต่แรก จุดประสงค์ของเราคือการโจมตีมอนสเตอร์ชั้นล่าง”
“ครับ…”
“เราไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดไป แม้ผมจะกังวล แต่ผมว่าเราควรจะลองดู “
ดูเหมือนเขาจะปวดหัวเล็กน้อย เมื่อผมยื่นข้อเสนอนี้
เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องโจมตีดันเจี้ยนด้วยปาร์ตี้นี้ อันที่จริงผมต้องจัดฉากให้เขา โดยมีคิมฮยอนซึงที่เป็นคนตัดสินใจ
เขาต้องมั่นใจว่าเราจะฝ่าดันเจี้ยนชั้นล่างร่วมกับพวกเขาได้หรือไม่ จากนั้นก็ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลัง
หากคิมฮยอนซึงมั่นใจ สถานการณ์นี้ก็จะกลายเป็นสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด
‘พวกเราสามารถนำไปสู่การโจมตีดันเจี้ยน พร้อมกับจัดฉากการตายของฆาตกรที่ฆ่าพัคฮเยยอง’
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราสามารถใช้จองจินโฮได้จนถึงไขกระดูกของเขา
หากเขากำลังจะถูกฆ่า ผมก็ควรใช้เขาให้เต็มที่
“มันเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้ร่วมกับคนที่มาใหม่ เราไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์เหมือนกับพัคฮเยยองเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่…แต่ผมก็ไม่คิดว่า การออกไปข้างนอกครั้งเดียว เพื่อกวาดล้างเสบียงแทนที่จะรอแบบนี้เป็นความคิดที่ดีกว่า ทั้งอาหารและน้ำดื่มที่ขาดแคลน หากเราเลือกที่จะปักหลักอยู่ที่นี่โดยไม่ออกไปข้างนอก ต่อไปจะเป็นเราที่ต้องตาย”
“…”
คิมฮยอนซึงค่อนข้างระมัดระวังตัว
ดูเหมือนเขาจะคิดว่ามันอันตรายเกินไปที่จะทำตามแผนดังกล่าวกับจินโฮที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้แบบนั้น บางทีเขาอาจคิดว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการกับจองจินโฮ ในขณะที่อยู่กับเรา
เมื่อผมกำลังจะเติมไฟอีกครั้ง คิมฮยอนซึงก็ตอบกลับช้า ๆ
“ผมคิดว่ามันคงไม่เป็นไร ถ้าเราจะออกไปข้างนอก”
“ได้ใช่ไหมครับ?”
“ครับ การลงไปในดันเจี้ยนชั้นล่าง คุณอาจยังมีเวลาเตรียมตัวอีกหน่อย เรายังไม่เคยทำงานร่วมกับปาร์ตี้ของจองจินโฮ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายควรจะฝึกซ้อมร่วมกัน “
“ครับ ผมก็คิดเหมือนกัน”
ผมเกลียดที่จะต้องลดการเฝ้าระวังต่อหน้านักฆ่า คิมฮยอนซึงก็เหมือนกัน
“ผมจะไปเรียกจินโฮ ฮายันและด็อกกูมาพร้อมกัน”
“คุณช่วยแจ้งให้ฮายันและด็อกกูทราบเรื่องนี้แทนผมได้ไหม?”
“ครับ” ผมอยากจะบอกพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด ผมคิดว่านี่อาจเป็นข่าวดี ดังนั้นผมจึงอาสาที่จะบอกพวกเขาด้วยตัวเอง
ขณะที่ผมรีบเดินไปหาพวกเขา ผมก็เริ่มสังเกตเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามรอบ ๆ จากนั้นผมก็เห็นภาพอันอบอุ่น ที่ผมไม่เคยเห็นในที่พักพิงเมื่อเร็ว ๆ นี้
“ขอบคุณนะจินโฮ”
“ขอบคุณค่ะพี่จินโฮ”
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ พวกเราทุกคนต้องช่วยกันเพื่อมีชีวิตต่อไป”
จองจินโฮพยายามสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนที่อ่อนแอกว่า
แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีความหมาย เขาแค่พยายามเอาชนะใจพวกเขา ด้วยความคิดที่ไร้จุดหมายโดยสิ้นเชิง
“หากคุณต้องการความช่วยเหลืออะไร พวกคุณสามารถบอกผมได้เสมอ”
“ปกติเราต้องออกไปข้างนอกเพื่อหาอาหาร แต่ตอนนี้เรามีอาหารที่คุณมอบให้เราแล้ว คุณจินโฮไปพักก่อนเถอะ เดี๋ยวเราจะแจกอาหารให้คนอื่น ๆ เอง”
“ให้ผมช่วยเถอะ นี่ไม่ใช่งานที่ยากและจะดีกว่า ที่ทุกคนจะดำเนินชีวิตภายใต้ความรู้สึกเสียสละร่วมกัน”
‘มันฟังดูตลกดี’
ผมไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะกับคำพูดของเขาได้
‘คนโง่พวกนี้…’
ในโลกนี้ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือฟรี ๆ มันมีราคาเสมอ
บางทีคิมฮยอนซึงก็ช่วยคนเหล่านี้ เพราะความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
สิ่งที่คิมฮยอนซึงกังวล สถานการณ์ในศูนย์พักพิงก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
อย่างไรก็ตามจากมุมมองของผม สิ่งที่จองจินโฮต้องการคือ ชีวิตและลำคอของคนที่กำลังหัวเราะและพูดคุยกับเขาในตอนนี้
แต่ต้องขอบคุณเขา การจ้องมองอันชั่วร้ายที่ปาร์คด็อกกูและผมดึงดูด ตั้งแต่เราแสดงเจตจำนงจะเคลื่อนไหว ตอนนี้กลายเป็นเรื่องที่ชัดเจนขึ้น
ผู้คนเริ่มเปรียบเทียบระหว่างเรากับจองจินโฮ
‘พวกแกคิดว่าตัวเองเป็นใคร’
ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่พวกเขาคิดเกี่ยวกับเราในตอนนี้
จองจินโฮไม่เพียงแต่แบ่งปันอาหารที่นำมา แต่ยังทำงานเล็กน้อยอื่น ๆ ด้วย เขาแตกต่างจากเราที่เก็บส่วนแบ่งอาหารไว้กับตัวเอง มันคงไม่แปลกที่พวกเขาจะเปรียบเทียบเขากับเรา
ผม ปาร์คด็อกกูและจองฮายันดูเหมือนจะเห็นแก่ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสายตาพวกเขา แต่ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องเลียนแบบจองจินโฮผู้เจ้าเล่ห์
อำนาจในการควบคุมผู้คนไม่ได้มาจากการทำประโยชน์ต่อคนที่อ่อนแอเหล่านี้
อำนาจไม่ได้มีสัดส่วนกับความใกล้ชิด นั่นคือสิ่งที่ผลักดันคนประเภทนี้
อันที่จริงมันอาจไม่ใช่แค่การกระทำที่ไร้ความหมายของเขาเท่านั้น อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจว่าเขามุ่งเป้าไปที่อะไร เมื่อมองการกระทำของเขา
ผมกังวลว่าตัวเองจะเดินไปขวางทางนักฆ่าโรคจิตจองจินโฮ ที่ทำให้เขาโกรธตั้งแต่แรกหรือไม่ เพราะเป็นไปได้ว่าเขาไม่ได้ก่ออาชญากรรมใด ๆ ด้วยซ้ำ บางทีเขาอาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ในขณะที่ระงับนิสัยดั้งเดิมของตนไว้
ยังไงก็ตาม ลูกเต๋าได้ถูกโยนออกไปแล้ว
“มากินข้าวกันเถอะ”
“อา!พี่ซอกวูขอบคุณครับ”
ยูซอกวูผู้ประสบความสำเร็จในการได้คลาสระหว่างเดินทาง ก็มากับพวกเขาด้วยเช่นกัน ดูเหมือนเขาตัดสินใจที่จะออกไปกับปาร์ตี้ของจองจินโฮ แม้บางครั้งเขาจะดูกังวล แต่เขาก็ได้รับสิ่งที่ต้องการอยู่ดี ตอนนี้เขามีสถานการณ์ที่ดีในที่พักพิงอันต่ำต้อยนี้
ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันไปมองคนเหล่านี้ ที่ไม่ตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงของการทำงาน
แต่ผมก็ไม่อยากดูฉากอันอบอุ่น ซึ่งมีการสาปแช่งผมแฝงอยู่
พอเดินไปอีกหน่อย ผมก็เห็นจองฮายันและปาร์คด็อกกูอยู่ด้วยกัน
“ฮายัน”
“โอ้ พี่คะ”
เมื่อผมเข้าไปใกล้จองฮายันที่กำลังทดสอบเวทมนตร์ เธอก็วิ่งมาโดยไม่ลังเลและคว้าเสื้อผมไว้
ปาร์คด็อกกูยิ้มเมื่อเห็นสิ่งนี้
‘ดี…’
“เราจะไปข้างนอก”
“อะไรนะ?เราเพิ่งจะ…”
เรายังไม่ได้ออกเดตและไม่มีความสัมพันธ์อะไรแบบนั้นด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนว่าผู้คนในศูนย์พักพิงจะยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างจองฮายันและผมในฐานะที่มั่นคงแล้ว
ไม่ว่าเธอจะรู้ตัวหรือไม่ จองฮายันก็จับมือและเข้าใกล้ผมบ่อยขึ้น
ผมรู้สึกมีกำลังใจ เมื่อเพื่อนของผมเหล่านี้ไม่ได้แสดงอาการปฏิเสธมากนัก ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ในที่พัก แน่นอนว่าผมยังมีปัญหาเพราะเธอ ตอนที่คนอื่นหลับอยู่
หัวใจของผมเต้นแรงทุกครั้งที่ตื่นขึ้นในภาพแปลกประหลาด ฮายันเริ่มกล้ากับการกระทำของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ
ถ้าไม่ใช่สำหรับปาร์คด็อกกู พวกเราคงจะใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม
“พี่ไม่ได้บอกว่าจะไปหาคิมฮยอนซึงก่อนเหรอ?ผมคิดว่าพี่กลับมาก่อนเวลา…”
“ฉันเพิ่งกลับมาหลังจากพบเขานั่นแหละ ดูเหมือนว่าเราจะมีอะไรให้ทำอีกมากมาย…นายยังมีเวลาว่างมั้ย?”
“ยังมีเวลาเหลืออีกหน่อยพี่”
“แต่ผมถามได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“อืม เราจะลงไปในดันเจี้ยนชั้นต่อไป”
“ในที่สุดเราก็จะลงไปแล้ว?”
“ตอนนี้ฉันยังไม่รู้อะไรมาก แต่ฉันคิดว่าจะมีคนติดตามจินโฮมากขึ้น”
“อืม…พวกเขาคงไม่ชื่นชมเขานานนักหรอก…”
“ฉันก็คิดเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะการโจมตีร่วมกันก็เป็นสิ่งสำคัญ ฮยอนซึงตระหนักถึงความสำคัญของการโจมตีครั้งนี้ด้วย”
“ยังไงก็ตาม พวกเราจะประสบความสำเร็จในการโจมตีใช่มั้ย?”
“มันเป็นโอกาสดีที่เราจะต่อสู้ ฉันคิดแบบนั้นนะ”
คิมฮยอนซึงเชื่อว่าเราสามารถโจมตีสถานที่แห่งนั้นได้แน่นอน
“ฉันไม่ต้องบอกเพราะนายก็ดูเหมือนจะรู้อยู่แล้ว แต่เราควรเว้นระยะจากกลุ่มที่ติดตามจองจินโฮไว้ แน่นอนว่าภายนอกนายจะเล่นบทจริงใจกับพวกเขาก็ได้…”
“ได้เลย แต่พี่ไม่ต้องกังวลกับพวกเรามากหรอก”
“ฮายันก็เหมือนกันนะ”
“ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว … ฉันจะไม่โดนเขาหลอก”
มันฟังดูน่าตลก แต่เธอคงโดนเขาหลอกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ปาร์คด็อกกูดีขึ้นเล็กน้อย แต่ในกรณีของจองฮายัน ไม่มีใครรู้เลยว่าเธอจะทำอะไรเมื่อไหร่ เธอเป็นเหมือนกับระเบิดเวลา ดังนั้นเธอจึงจำเป็นที่จะต้องถูกจัดการอย่างใกล้ชิดและรอบคอบ
ถ้าเธอทำสิ่งที่เกิดขึ้นกับพัคฮเยยองอีกครั้ง ผมคงจะทำอะไรไม่ได้
“อย่ากังวลกับยูซอกวูมากเกินไปล่ะ”
“ฉันไม่ได้สนใจเขาแม้แต่นิดเดียวเลยค่ะ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีนะพี่”
โดยมีปาร์คด็อกกูเป็นผู้นำ ผมค่อย ๆ เดินไปตามทาง และอีกครั้งสายตาของผมก็จับจ้องไปยังกลุ่มคนโง่ที่อยู่รอบ ๆ จินโฮ
คนที่ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากกินอาหารที่จองจินโฮมอบให้ กำลังมองมาที่เราด้วยสีหน้าแปลก ๆ
ผมคิดว่าเรากำลังถูกเปรียบเทียบ
ผมจึงต้องทำตัวสบาย ๆ ต่อหน้าพวกเขา
มันยังไม่เกิดอะไรขึ้น ก่อนผมจะได้พบกับคิมฮยอนซึงอีกครั้ง
หลังจากเพิกเฉยต่อสายตาของพวกเขา ผมก็เริ่มมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่คิมฮยอนซึงอยู่ ไม่นานผมก็เห็นเขาหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋า
อารมณ์ของผมสูบฉีด หน้าต่างสถานะมีคำว่าอุปกรณ์อันว่างเปล่าที่ผมกังวลอยู่เสมอ ในที่สุดมันก็กำลังจะเติมเต็มด้วยบางสิ่ง
ผมนึกว่าวันหนึ่งผมจะได้เห็นหรือสวมใส่อุปกรณ์ที่มีค่าสถานะ แต่โอกาสนั้นมาถึงเร็วกว่าที่ผมคิด
พวกเราทุกคนต้องได้รับการอัพเกรด ก่อนจะลงไปชั้นล่าง
คิมฮยอนซึงจัดการพวกมันเพียงเพื่อคลายความกังวลของตน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ให้พวกเราไปเพื่อการโจมตีดันเจี้ยนเท่านั้น แต่ยังต้องการเอาชนะจองจินโฮ หากเราต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา
คิมฮยอนซึงพยายามเพิ่มจุดแข็งของเรา เพื่อรับมือกับสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมาย
“ผมมีบางอย่างจะให้พวกคุณ”
“คุณซ่อนสิ่งนี้ทำไมเหรอ แต่การแสดงออกของพี่ เหมือนคุณยายที่แจกของเล่นเก่า ๆ”
‘ไอ้หมูบ้านี่…’
แม้ผมอยากจะตะโกนออกไป แต่ผมก็รู้ว่าผมทำอย่างนั้นไม่ได้ คิมฮยอนซึงก็รู้สึกอายเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม
“สิ่งเหล่านี้จะช่วยคุณได้”
จากนั้นผมก็แน่ใจ
ริมฝีปากของผมบิดโค้งเป็นรอยยิ้ม นี่ไม่ใช่สิ่งของอย่างดาบ หอกหรือโล่ทั่วไป
สิ่งที่เขาหยิบออกมาจากกระเป๋าคือสร้อยข้อมือและแหวนสองวง พวกมันดูเก่า แต่ผมรู้สึกถึงพลังเวทย์ที่เล็ดลอดออกมา
‘ขอบคุณนะฮยอนซึง ด้วยสิ่งเหล่านี้เราจะแข็งแกร่งขึ้น’
ผมคิดว่าเราคือหลักประกันที่ถูกลากไป แต่กลับกลายเป็นว่าเขาดีกว่าที่ผมคิดไว้มาก