[เผ่าพันธุ์] ก็อบลิน
[เลเวล] 15
[คลาส] ลอร์ด , หัวหน้ากลุ่ม
[ทักษะ] <<Ruler of the Horde>> <<ปฏิปักษ์>> <<คำรามอย่างรุนแรง>> <<ความชำนาญการใช้ดาบ B – >> <<ความละโมบที่ไม่สิ้นสุด>> <<การจ้องมองจากปีศาจ>> <<จิตวิญญาณของราชัน>> <<ผู้ควบคุมแห่งปัญญา>> <<ดวงตามรกตของงู>> <<การเต้นรำแห่งความตาย>> <<ดวงตาของงูสีชาด>> <<การจัดการเวทมนตร์>> <<นักรบคลั่ง>> <<Third Impact>> <<สัญชาตญาณ>> <<ผู้ควบคุมแห่งปัญญา II>>
[การคุ้มครองจากพระเจ้า] เทพธิดาแห่งนรก อัลทีเซีย
[แอตทริบิวต์] ความมืด, ความตาย
[สัตว์ใต้บังคับบัญชา] โคโบลชั้นสูง (เลเวล 1) กัสต้า (เลเวล 20) ซินเธีย (เลเวล 20) บุย (เลเวล 36)
◇◆◇
ในถ้ำที่มืดมิดและอับชื้น มีมอสเรืองแสงส่องสว่างไปตามเส้นทาง ด้านบนมีหยดน้ำหล่นลงมาเกิดเสียงสะท้อนในถ้ำที่เงียบสงบ
หลังจากตอบรับคำเชิญของเผ่ากอร์ด็อบ เราก็เดินทางมายังถ้ำแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของเผ่ากันระในเวลาสองวัน
“ทางนี้ขอรับ”
คนที่นำทางพวกเราอยู่ตอนนี้คือเยลโล่ ก็อบลินที่ยืมร่างนกแห่งความชั่วร้าย สกายอูร่ามาใช้
ผมไม่รู้ว่าเขาใช้เวทมนตร์แบบไหน แต่เขาก็สามารถใช้ศพนำทางเราไปรอบ ๆ ได้ ก็อบลินของผมที่มาจากหมู่บ้านทิศตะวันออกต่างระวังตัวด้วยสายตาแปลก ๆ แต่ก็อบลินจากชนเผ่าทั้งหมด ดูจะคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้แล้ว ขณะที่พวกเขาเพียงหัวเราะและพูดว่า ‘พวกเขาก็เป็นแบบนี้แหละ’
ตามมาด้วยหัวหน้าเผ่าเกิร์ดการ์ที่มีตาข้างเดียว ฮีโร่เผ่ากันระ : กาดิเอต้านักธนูคนแรกกิลมิและอดีตหัวหน้าเผ่าที่มีอายุมากที่สุด อลูฮาลิฮาล
ระหว่างทางหัวหน้าดรูอิด ‘กิซาร์’ ได้ตามมาสมทบกับพวกเราด้วย
ในที่สุดเราก็มาถึงเส้นทางคล้ายกับขั้นบันไดลงไปชั้นล่าง แม้มันจะมืดมาก แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางสายตาของก็อบลิน น่าเสียดายที่ทางเดินนั้นแคบเกินไป ในขณะที่ก็อบลินปกติไม่มีปัญหา แต่รัสกาที่ตัวใหญ่เป็นพิเศษกลับพบว่าเส้นทางนั้นเล็กจนน่าอึดอัด
“เส้นทางนี้แคบเกินไป!” เขาบ่น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อลูฮาลิฮาลก็ไม่ได้ละความเมตตา ขณะที่เขาพูดว่า “ทำไมเจ้าไม่กินให้น้อยลงล่ะ?”
“ข้าไม่ได้อ้วน ข้าแค่สูงเกินไป!” รัสกาโต้กลับ
เมื่อได้ยินการล้อเลียนระหว่างก็อบลินทั้งสอง กิลมิก็อดไม่ได้ที่จะเข้าร่วมสนุก
“ข้าได้ยินว่าลอร์ดกิโกเป็นนักดาบที่มีประสบการณ์ ทำไมท่านไม่ไปช่วยเขาล่ะ” เขาพูด
“ข้าเข้าใจ” รัสกาพยักหน้า “ยังมีตัวเลือกนั้นด้วย”
ผมไม่ได้พูดอะไร แต่ที่ด้านหลังศีรษะผมโยนมุกสึโกมิว่า’ เจ้าจะตัดเขาตรงส่วนไหน? ขา? หรือว่าหัว? ‘
แต่ผมจมอยู่กับอารมณ์ขันของก็อบลินเหล่านี้ไม่ได้ ผมถามเยลโล่ “เส้นทางยังอีกไกลไหม?”
“ไม่ เราจะไปถึงที่นั่นเร็ว ๆ นี้” เขาตอบห้วน ๆ
นี่เป็นครั้งที่สี่ที่ผมถาม และนั่นเป็นคำตอบเดียวที่เขาตอบกลับมาทุกครั้ง เมื่อเห็นว่าคำถามที่ไร้จุดหมายดำเนินไปเช่นไร ผมก็มองไปรอบ ๆ เพื่อสังเกตเห็นบ้านที่เผ่ากอร์ด็อบใช้ประโยชน์จากถ้ำหินปูน
หินย้อยที่ก่อตัวขึ้นได้รุกเข้าไปในถ้ำเหมือนหน่อไม้ พวกมันยื่นออกมาจากเพดานถึงพื้นอยู่ทั่วทุกที่ มันเป็นภาพที่งดงามอย่างแท้จริง สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นจุดท่องเที่ยว แน่นอนว่าทะเลสาบใต้ดินขนาดเล็กที่กระจายอยู่ทั่วถ้ำก็น่ากล่าวถึงเช่นกัน ในกรณีนี้ผมยังไม่นับหินย้อยประมาณ 4 หรือ 5 ก้อนที่เปล่งประกายสีเขียวจาง ๆ
สถานที่แห่งนี้สวยงามราวกับทุกสิ่งเป็นเพียงภาพลวงตา
ขณะที่ผมกำลังคิดอย่างนั้น ผมสังเกตเห็นบางสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหว เมื่อผมมองไปนั่น ผมเห็นจิ้งจกสีขาวตัวเล็ก ๆ กำลังวิ่งหนีไป
“เรามาถึงแล้ว” นกแห่งความโชคร้ายที่อยู่ตรงหน้าเราก้มหน้า
ข้างหน้าเรามีประตูที่ฉูดฉาด ประตูสีดำที่แสดงถึงลางไม่ดีถูกเปิดขึ้นโดยไม่มีเสียงแม้แต่น้อย อีกด้านหนึ่งของประตูมีก็อบลินสองอยู่ตัว
เมื่อเสียงดังขึ้น นกแห่งความโชคร้ายก็ตกลงมาที่พื้น
“เป็นเกียรติที่ได้พบท่าน ข้าคือเยลโล่และท่านผู้นี้คือหัวหน้าคนปัจจุบันของเรา มาสเตอร์คุซาน”
ก็อบลินก้มหน้าอย่างไร้เดียงสา ผมแอบมองไปที่ดวงตาของคุซาน ผมเห็นบางอย่างที่ใกล้เคียงกับความกลัวและความอยากรู้อยากเห็นในตัวเธอ
“ข้ามาจากหมู่บ้านทางตะวันออก”
เมื่อผมพยายามจะแนะนำตัวสั้น ๆ คุซานก็พยักหน้า
“ขอโทษอย่างสุดซึ้ง มาสเตอร์คุซานเกิดมาโดยไม่สามารถพูดได้”
เมื่อเห็นคุซานโค้งคำนับมา ผมก็โค้งกลับอย่างจริงใจ
“ข้าไม่รังเกียจ สิ่งที่สำคัญคือเราสามารถเข้าใจกันได้ ”
แต่สักพักผมก็รู้สึกแปลก ๆ การปรากฏตัวของสองคนนี้ดูเป็นระเบียบมากเกินไป พวกเขาไม่ได้มีใบหน้าและกล้ามเนื้อที่น่าเกลียดตามปกติของก็อบลิน ดวงตาของพวกเขาโตกว่าปกติและแสดงออกของส่วนใหญ่ของพวกเขาใกล้เคียงกับมนุษย์
นอกจากนี้พวกเขายังมีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับก็อบลินทั่วไป ยิ่งเมื่อเทียบกับเผ่ากันระอย่างกิลมิ คุซานมองไปรอบ ๆ ด้วยดวงตากลมโตคู่นั้นของเธอ อาจเป็นเพราะพวกเขาอาศัยอยู่ห่างจากแสงแดดเป็นเวลานาน แต่ผิวของพวกเขาซีดมาก เมื่อเห็นว่าพวกเขาดูแตกต่างกันอย่างไร ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจเล็กน้อย
พูดตามตรง พวกเขาดูเหมือนคนแคระมากกว่าก็อบลิน
พวกเขาดูเหมือนจะทำงานที่ใช้แรงไม่ได้
“แล้วเรื่องที่พวกเจ้ายอมจำนน…”
ด้วยคำพูดของผม เยลโล่ก็ก้มตัวลงตัวเองลงและคุซานเองก็ให้ความสนใจ
“ข้ากำลังรอโอกาสที่จะได้พูดคุยกับท่านเกี่ยวกับการเป็นราชา”
ผมฟังคำพูดนั้นด้วยความงุนงง โดยมีคุซานเงยหน้าขึ้นมอง แต่นั่นไม่ใช่การมองผม เธอกำลังมองอะไรบางอย่าง ใบหน้าของเธอสงบนิ่งโดยไม่มีการขยับสีหน้าแม้แต่น้อย
ถ้านี่ไม่ใช่กับดัก แสดงว่าก่อนหน้านี้พวกเขาวางแผนที่จะทดสอบผม?
นั่นหมายความว่าความแข็งแกร่งของผมถูกยอมรับ หลังจากการต่อสู้กับรัสกา?
“อาการป่วยของคุซานคืออะไร?”
พวกเขาเสนอให้เราย้ายมายังพื้นที่อาศัยของเผ่า ผมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่และฟังเรื่องราวของพวกเขา
ผมต้องการจัดการปัญหาทั้งหมดก่อนที่จะเป็นราชา
“อย่างที่ท่านสังเกตเห็น ผิวของเราแตกต่างจากก็อบลินตัวอื่น ๆ ”
จากเรื่องราวของเยลโล่ กอร์ด็อบเป็นชนเผ่าที่ได้รับมอบหมาย ให้ปกป้องทางเข้าของป้อมปราการแห่งนรก
“นั่นเป็นความจริงเหรอ?” ผมถามก็อบลินตัวอื่น ๆ แล้วพวกเขาก็พยักหน้า
“ว่ากันว่า เมื่อผู้ที่จะกลายเป็นราชาของเราปรากฏตัว ประตูจะเปิดขึ้น…” กิลมิพูด
คุซานเองก็เอียงศีรษะที่ดูเหมือนจะเป็นทุกข์
“แต่ข้าเคยเห็นป้อมปราการแห่งนรกและดูเหมือนจะเข้าไปได้”
กิซาร์พูดด้วยความสับสน
“นั่นเป็นเพราะเราสามารถเข้าไปในอาคารที่เรียกว่าป้อมปราการแห่งนรกได้ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น กิซาร์ป้อมปราการที่ท่านพูดถึง คือป้อมปราการที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปทางเหนือหนึ่งวันใช่หรือไม่?”
กิซาร์พยักหน้า
“แน่นอนว่ามันเป็นโครงสร้างที่ยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีสิ่งที่เหมาะสมกับราชาจะอาศัยอยู่ที่นั่น”
กิซาร์เคยเรียกป้อมปราการแห่งนั้นว่าเป็นสัญลักษณ์การรวมตัวกันของก็อบลิน ผมไม่คิดว่าเขาจะพูดแบบนั้น เพราะมันมีอิทธิพลแปลก ๆ เขาอาจพูดเพราะวิจารณญาณหรืออคติของตัวเอง …บางทีอาจจะเป็นงานอดิเรกของเขา?
ขณะที่ผมนึกถึงสีหน้าที่เจ็บปวดของเรเชีย ผมก็ยิ้มอย่างบิดเบี้ยว
…ผมกำลังชอบผู้หญิงคนนั้นมากขึ้นเหรอ?
“แม้ว่าจะเป็นความจริงที่ป้อมปราการที่ว่า อาจเหมาะสมกับการอาศัยอยู่ แต่สิ่งที่พวกเราชนเผ่าต่างมองหา คือสิ่งที่อยู่ข้างหลังประตู”
ดูเหมือนว่าเรากำลังเข้าสู่จุดสำคัญของเรื่อง
“เจ้าหมายถึงอะไร?” ผมถาม
“อีกด้านหนึ่งของประตูเป็นสถานที่ที่ลอร์ดแห่งความเสื่อมโทรม ‘ดิสโคโลราโด’ อาศัยอยู่ และเป็นเพราะพิษที่ซึมออกมาจากอีกด้านหนึ่ง ทำให้พลังชีวิตของเราอ่อนแอลง ดังเช่นอาการป่วยของลอร์ดคุซาน เธอไม่สามารถโดนแสงแดดได้”
อืม …ถ้าเขาพูดความจริง คุซานก็ไม่สามารถมาหาได้อย่างแน่นอน
สิ่งที่เขาทำได้มากที่สุด คือเชิญผมมาที่ถ้ำนี้
“ตอนนี้ข้าเข้าใจเรื่องอาการเจ็บป่วยของเจ้าแล้ว เงื่อนไขในการยอมรับข้าเป็นราชาของพวกเจ้าคืออะไร? ข้าจำเป็นต้องปราบลอร์ดแห่งความเสื่อมโทรมนั่น?”
ครู่หนึ่งพิชแบล็ค (เวริด) ที่ขดตัวรอบแขนขวาผมสั่น
“ไม่ ไม่ใช่อย่างแน่นอน! พวกเราเป็นผู้พิทักษ์ของลอร์ดแห่งความเสื่อมโทรม ทำไมเราถึงต้องโจมตีเขาด้วย?”
เขาดูค่อนข้างจริงจัง คุซานส่ายหัวและเยลโล่ก็ตื่นตระหนกจริง ๆ
จากเรื่องราวทั้งหมดจนถึงตอนนี้มีเรื่องโชคร้าย แต่ดูเหมือนว่าพวกเขายังวางแผนที่จะปกป้องเขา แม้ผมจะโกรธ แต่ไม่มีอะไรที่ผมทำได้ในตอนนี้
“เงื่อนไขในการเป็นราชาคือการเอาชนะพวกโอเกอร์ในป้อมปราการ”
โอเกอร์เหรอ? …
“ถ้าท่านทำเร็จ เราก็จะได้ยินเสียงของลอร์ดแห่งความเสื่อมโทรมอีกครั้งและท่านจะกลายเป็นราชาที่แท้จริง”
เรื่องนี้มันแปลก
ถ้าพวกเขามีปัญหาขนาดนั้น ทำไมพวกเขาไม่ขอความช่วยเหลือจากเผ่าอื่น ๆ จากสิ่งที่ผมได้เห็นรัสกา อลูฮาลิฮาลและกิลมิต่างก็กังวลเช่นเดียวกันกับคุซาน
“เรื่องราวของเจ้ามันแปลก”
เริ่มจากคุซาน จากนั้นผมก็มองไปที่หัวหน้าทุกคนรอบตัวแล้วพูด
“อย่างแรก ทำไมรัสกาถึงโจมตีเผ่ากันระ? ถ้าเป็นคนที่แข็งแกร่งพอ ๆ กับรัสกาแล้ว การกำจัดพวกโอเกอร์ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา”
รัสกาขมวดคิ้ว
“เจ้าพูดตั้งแต่แรกใช่ไหมกิลมิ? นั่นเป็นเพราะมีคำสาปมาตั้งแต่โบราณสำหรับเผ่าทั้งสี่ ราชาจะกำเนิดขึ้นเพื่อให้เผ่าทั้งสี่คุกเข่า”
กิลมิพยักหน้าด้วยสีหน้าแข็งกระด้าง
“อลูฮาลิฮาล ในฐานะหัวหน้าที่เก่าแก่ที่สุดในสี่เผ่า เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับราชาบ้าง?”
ผมมองไม่เห็นการแสดงออกของเขา
“และสุดท้ายคุซาน …หรือข้าควรถามเจ้าแทน เยลโล่? เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรกันแน่? ชนเผ่าอื่น ๆ แสดงความเคารพต่อเจ้าอย่างชัดเจน ถ้าเจ้าจัดการมันตั้งแต่แรก จุดเริ่มต้นแห่งความยุ่งเหยิงนี้ก็ไม่ควรจะเกิดขึ้นใช่ไหม?”
ผมรู้ว่ามันเหมือนการซักไซ้ แต่ผมจำเป็นต้องทราบแรงจูงใจของพวกเขา
ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะก่อกบฏต่อผม แต่ดูเหมือนคำว่า ‘ราชา’ จะมีอะไรมากกว่าที่คิด ผมอยากรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงโกหกผม
คุซานยืนขึ้นด้วยความงุนงง นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอมองมาที่ผม
ในขณะที่เธอคุกเข่าลงข้างหนึ่งเข้าหาผม เยลโล่ก็พูดขึ้น
“…เป็นอย่างที่ท่านบอก แท้จริงแล้วเราปกปิดบางสิ่งเกี่ยวกับราชา ท่านรู้เกี่ยวกับสมบัติที่พวกเราทั้งสี่เผ่าครอบครองอยู่หรือไม่?”
ผมรู้จักธนูดาวตกของกัเผ่านระ
“นอกเหนือจากกันระ แล้วเกิร์ดการ์ยังมีสร้อยแห่งโทสะ’ไวดอลอมูเล็ท’อยู่กับพวกเขา เผ่าพาราดัว มีหอกนาคา’โอเกอร์แลนซ์’และพวกเราเผ่ากอร์ด็อบก็มีลูกแก้วแห่งความตาย’เดทคริสตัล’ หากไม่มีสมบัติทั้งสี่นี้ การเอาชนะพวกโอเกอร์ก็ไม่อาจเป็นไปได้”
ผมขมวดคิ้วตามคำพูดของเยลโล่ ไม่ว่าพวกโอเกอร์จะเก่งแค่ไหน แต่สมบัติทั้งสี่มีส่วนช่วยยังไง? ธนูดาวตก’ยูเน่’ที่ผมเห็นก็ไม่ได้ทรงพลังขนาดนั้น
“มันเป็นเพราะพรของอาวุธ อีเธอร์และทักษะภายในจะไม่สามารถใช้ในป้อมปราการแห่งนรกได้”
ผมขยับสายตาจากเยลโล่ที่ก้มลงไปยังกิซาร์ แต่เขาแค่ยักไหล่ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน
“สิ่งเดียวที่จะทำให้ไม่สูญเสียมันไป คือการรวบรวมสมบัติทั้งสี่นี้ ดังนั้นหากขาดสมบัติชิ้นใดชิ้นหนึ่ง ก็จะไม่มีใครกลายเป็นราชา นี่เป็นสาเหตุที่ลอร์ดรัสก้าโจมตีเผ่ากันระ เพราะพวกเขาไม่อาจส่งธนูดาวตกให้คนอื่นง่าย ๆ”
อืม…ตอนที่เขาพูดถึงมัน เป็นเพราะนิสัยหวาดระแวงทำให้ผมสงสัย
“ลอร์ดอลูฮาลิฮาลตกลงที่จะร่วมงานกับรัสกา เพราะพิษที่มาจากป้อมปราการแห่งนรกกำลังลดจำนวนสัตว์อสูรลง ถ้าเป็นแบบนี้ชนเผ่าพาราดัวจะสูญเสียสัตว์ขี่และอาหารไป”
อลูฮาลิฮาลพยักหน้า
“สำหรับเรื่องราวของลอร์ดกิลมิ เกี่ยวกับคำสาปนั้น ย้อนกลับไปที่เรื่องราวของรัสกา ลอร์ดกิแลนน่าจะจงใจทำให้เขาเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น”
“ข้าได้ยินเรื่องนี้จากมาสเตอร์ย์กิแลน แต่…”
“และสุดท้ายเกี่ยวกับคำถามของท่าน เผ่ากอร์ด็อบสามารถดึงดูดความสนใจของชนเผ่าอื่น …แต่เราไม่สามารถรวมพวกเขาได้”
“ทำไม?” ผมมองไปยังเยลโล่ที่เสียงสั่น
“เพราะพวกเราอ่อนแอ ในการที่จะรวมเผ่าต่าง ๆ เข้าด้วยกัน …พลังเป็นสิ่งสำคัญ”
เป็นเหตุผลง่าย ๆ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมเห็นด้วย
“แด่ราชาที่เราเฝ้ารอมาตลอด ได้โปรดช่วยพวกเราที่อ่อนแอและเปราะบางด้วย”
หลังจากแสดงความเคารพ คุซานก็เดินเข้ามาหาผม เธอจับมือของผมและวางฝ่ามือทั้งสองข้างลง
“…ราชาก็อบลินผู้มีหัวใจของมนุษย์”
ผมไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับคำพูดเหล่านั้น นับตั้งแต่วันที่ผมได้ถือกำเนิดมาบนโลกใบนี้ ความรู้สึกที่เคยมีครั้งหนึ่งมีในฐานะมนุษย์ได้หลุดลอยจากผมไปในแต่ละวัน
“โปรดยกโทษให้เราด้วย”
นี่เป็นเสียงที่ดังก้องกังวานของเด็กผู้หญิง
“ข้ารู้ว่าไม่มีกรรมใดระหว่างเรา แต่ได้โปรด…ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย”
เมื่อผมมองเข้าไปในดวงตาของคุซาน สิ่งที่ผมเห็นคือสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก
พวกเขาทุกข์ทรมานมานานจากพิษ ร่างกายของพวกเขาจึงอ่อนแอลง และตอนนี้มันใกล้จะถูกทำลาย เธอต้องการให้ผมช่วยพวกเขาจากสิ่งนี้
เมื่อฝ่ามือของเราแยกจากกัน คุซานก็แสดงความเคารพต่อผมอีกครั้ง
” กิลมิไปเรียกเจ้าหญิงนาร์ซา และบอกให้เธอนำธนูดาวตกมา ข้าจะเปิดเส้นทางสู่ป้อมปราการแห่งนรก”
ผมเรียกพิชแบล็ค (เวริด) ในใจ งูสองหัวในตำนานที่ทำให้น้ำเหือดแห้ง คือร่างที่แท้จริงของลอร์ดแห่งความเสื่อมโทรม’ดิสโคโลราโด’?
แต่คำตอบที่กลับมาคือเสียงหัวเราะเบา ๆ
โอ้ มันช่างน่าคิดถึง ช่างน่าคิดถึง ––– ใช่ไหมน้องชายของข้า
ขณะที่เวริดหัวเราะ ผมรู้แล้วว่าเขาอยู่ข้างผม
ความโกรธปะทุขึ้นจากภายใน
ผมจะประณามอัลทีเซีย! เธอกล้าทิ้งให้พวกเขาทรมานขนาดนี้ได้ยังไง! ?
ความทุกข์เหล่านี้! ? เป็นสิ่งที่เทพเจ้าควรจัดการไม่ใช่เหรอ! ?
ถ้าเธอกล้าเรียกตัวเองว่าพระเจ้า อย่างน้อยเธอก็ควรนำความสุขมาสู่ผู้คนของเธอสิ!
◆◇◇◆◆◇◇◆
อ่านนิยายล่วงหน้าได้ในกลุ่ม ที่เพจ Koel-Translate นิยายแปล (ตอนนี้แปลถึงตอน 400 กว่าแล้วนะครับ)
https://www.facebook.com/pg/Koel-Translate-%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5-111530443746222/posts/