[เผ่าพันธุ์] ก็อบลิน
[เลเวล] 15
[คลาส] ลอร์ด , หัวหน้ากลุ่ม
[ทักษะ] <<Ruler of the Horde>> <<ปฏิปักษ์>> <<คำรามอย่างรุนแรง>> <<ความชำนาญการใช้ดาบ B – >> <<ความละโมบที่ไม่สิ้นสุด>> <<การจ้องมองจากปีศาจ>> <<จิตวิญญาณของราชัน>> <<ผู้ควบคุมแห่งปัญญา>> <<ดวงตามรกตของงู>> <<การเต้นรำแห่งความตาย>> <<ดวงตาของงูสีชาด>> <<การจัดการเวทมนตร์>> <<นักรบคลั่ง>> <<Third Impact>> <<สัญชาตญาณ>> <<ผู้ควบคุมแห่งปัญญา II>>
[การคุ้มครองจากพระเจ้า] เทพธิดาแห่งนรก อัลทีเซีย
[แอตทริบิวต์] ความมืด, ความตาย
[สัตว์ใต้บังคับบัญชา] โคโบลชั้นสูง (เลเวล 1) กัสต้า (เลเวล 20) ซินเธีย (เลเวล 20) บุย (เลเวล 36)
◇◆◇
เสียงลมพัดดังก้องออกมาจากหลุมอันมืดมิด
มันเป็นความมืดที่แท้จริง ซึ่งแม้แต่ก็อบลินก็ไม่สามารถมองไม่เห็นได้ มีสายลมสีดำพัดปกคลุมไปทั่ว
ราวกับอุโมงค์ที่ทอดยาวกลับไปสู่ครรภ์ของมารดา ผนังของมันก็ดำสนิทเหมือนกับสายลม
“นี่คือเส้นทางที่นำไปสู่ปราการแห่งนรก” ผมพึมพำ
“ท่านกลัวเหรอ?” กิซาร์พูดติดตลก
“ข้ารู้สึกตื่นเต้นต้างหาก” ผมยิ้มตอบอย่างไม่เกรงกลัว
นอกเหนือจากทะเลหมอกอันไร้ขอบเขต เมื่อมองเข้าไปในความมืดมิดแล้วหัวใจของผมก็เต้นรัว ผมจำบางอย่างได้ ตอนนั้นเป็นคืนที่มีพายุฝนกระหน่ำเข้ามาที่หน้าต่าง ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ตอนนั้นรู้สึกเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่จะพลิกความรู้สึกทั่วไปทั้งหมด
ผมสั่นสะท้านเพราะความกลัวที่พาผมไป แต่ผมก็โหยหามันเช่นกัน ผมอยากรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ไม่มีอะไรสามารถอธิบายอารมณ์ที่ปะทะกันภายในตัวผมในตอนนี้
“ข้าเห็นหน้าอกของราชาที่เต้นแรง ตามความคาดหมาย…ราชาของเรา” กิซาร์กล่าวและก็อบลินคนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย
“เราประมาทไม่ได้” เยลโล่กล่าวจากสถานที่ของคุซาน
“อันที่จริงพวกโอเกอร์อาจมีจำนวนไม่มากนัก แต่นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกมันแข็งแกร่งแค่ไหน” ผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหัวหน้าเผ่าทั้งสี่ รัสกาจากเผ่าเกิร์ดการ์อธิบาย
“การมองโลกในแง่ร้าย จะไม่ทำให้เราไปไหน” อลูฮาลิฮาลกล่าว
“ยังดีกว่าตาแก่บางคนที่หมกมุ่นกับการต่อสู้” รัสกาตอกกลับ
“มันคือพลังที่ขับเคลื่อนจากประสบการณ์อันยาวนาน ข้ายังแข็งแกร่งอยู่นะ” อลูฮาลิฮาลตอบ
ขณะที่ทั้งสองโต้แต้งกันไปมา เจ้าหญิงนาร์ซาก็พูดแทรก
“ไม่ว่าจะวิธีใด การต่อสู้คงจะยากลำบากแน่นอน” เธอกล่าว
“อย่ากลัวไป ข้าจะปกป้องท่านเอง” กิลมิกล่าว
“เจ้ากำลังถูกปกป้องมากเกินไป” กิโก อะมัทสึกิแย้ง
“ราชาไปกันเถอะ เราจะไม่มีปัญหาใด ๆ” กิจิผู้ลอบเร้นกล่าว
“เจ้าสบายดี แต่ที่นี่น่ากลัวมาก” กิกิกล่าวอย่างเศร้าโศก ขณะลูบนกกระจอกเทศสองหัวของเขา
“งั้นเราไปกันเลยไหม? ก็อบลินของข้า!”
ผมเดินนำหน้าฝูงชนโดยมีกิกิและกิจิอยู่เคียงข้าง แน่นอนว่ากิซาร์ก็อยู่กับผมด้วย การป้องกันด้านหลังคือกิโก อะมัทสึกิที่จับดาบของเขาอยู่เสมอ ดวงตาของเขามองไปยังพื้นที่โดยรอบ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะฟาดฟัน
ก็อบลินจากหมู่บ้านกิ ทุกคนอยู่ในตำแหน่งโดยที่ไม่ต้องออกคำสั่ง พวกเขารู้ว่าตัวว่าต้องทำอะไร
การสั่งกาตลอดเวลาจะทำให้พวกเขาไม่สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นเมื่อพวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม พวกเขาจะสามารถสู้รบได้ดีที่สุด
พวกเราได้เติบโตขึ้น ไม่ใช่แค่ความรู้ แต่ยังรวมถึงประสบการณ์ และด้วยการเติบโตดังกล่าวเราจึงก้าวเข้าไปในสู่เส้นทางที่ลึกเข้าไปของป้อมปราการ
ส่วนคนอื่น ๆ พวกเขาอยู่ข้างนอก เพื่อเฝ้าทางเข้าของปราการแห่งนรก
เราอาจเป็นแนวหน้า แต่เราจะละเลยด้านหลังไม่ได้ พวกโอเกอร์อาจจะหนีขึ้นไปข้างบนได้ หากพวกเราขับไล่มันออกไป
นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่เราจะถูกโจมตีจากด้านหลัง ถ้าเราเน้นไปที่เป้าหมายเพียงจุดเดียว อย่างน้อยเราต้องการใครสักคนที่จะหยุดพวกโอเกอร์ หากพวกมันไปถึงชั้นบนและออกไปข้างนอกได้
สำหรับสิ่งนั้นผมได้มอบหมายให้กิกูว เวอร์เบนาเป็นผู้นำก็อบลินที่เหลืออยู่
ฮัล หัวหน้าหนุ่มของพาราดัวก็จะรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเขา หลังจากที่ผมเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมจึงเข้าไปในป้อมปราการแห่งนรกพร้อมกับก็อบลิน
◆◇◇
หลังจากเดินไป 20 นาที คุซานก็ดึงแขนของผม
“เราจะไปถึงที่นั่นในไม่ช้า” เยลโล่พูดจากสถานที่ของคุซาน
ยังไม่มีศัตรูโผล่ออกมา นี่เป็นเวลาสักพักแล้วที่เราเดินไปตามเส้นทางนี้ แต่การมองไม่เห็นเป็นเรื่องที่ลำบากจริง ๆ
ในขณะที่เราลงมาเรื่อย ๆ ก็มีแสงส่องสว่างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าปรากฏขึ้นต่อหน้าเรา
“นั่นคงเป็นทางเข้า” ผมพูด
เมื่อแสงนั้นปรากฏขึ้นในความมืด เราก็เดินเข้าไปหามัน ทันใดนั้นกิกิและกิจิก็ส่งเสียง
แสงสว่างที่เราเดินผ่านไป ไม่ใช่สิ่งอื่นนอกจากทางเข้าป้อมปราการ เมื่อเราผ่าน บรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ผมมองเห็นรูปปั้นที่ทำจากหินสีดำ รูปปั้นเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกับรูปปั้นของอัลทีเซีย
เพดานสูงถึงด้านบนและทางเดินกว้างพอที่จะให้ก็อบลิน 10 ตัวเดินผ่านไปได้สบาย ๆ
“นี่คือปราสาทที่แท้จริง” กิซาร์พึมพำ
ผมเห็นด้วย นี่คือป้อมปราการอย่างแน่นอน
“แล้ว…พวกโอเกอร์อยู่ที่ไหน?” ผมถือดาบพาดไหล่ ขณะตั้งคำถามกับคุซาน
จากคำพูดของผมเธอมองไปรอบ ๆ จากนั้นเธอก็ชี้ไปทางขวา
“กิซาร์ เจ้าใช้ทักษะของตัวเองได้ไหม?” ผมถาม
ทุกสายตามารวมกันที่เขา มีเพียงผู้ที่รวบรวมสมบัติทั้งสี่เท่านั้นที่สามารถใช้ทักษะได้
ในกรณีของกิซาร์ ทักษะของเขาคือความสามารถในการควบคุมสายลมอย่างชำนาญ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครรวบรวมสมบัติทั้งสี่ได้นอกจากพวกเรา ดังนั้นจึงไม่สามารถบอกได้ว่า พื้นที่นี้จะส่งผลกระทบต่อเรามากแค่ไหน
“ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาใด ๆ ” กิซาร์หมุนข้อมือของเขา จากนั้นก็ร่ายเวทมนตร์ “เสียงขับขานของวิหคแห่งวายุ (slash) !”
ใบมีดสายลมขูดส่วนหนึ่งของพื้นดินออก ก่อนที่มันจะหายไป
“ข้ารู้แล้ว” จากนั้นผมก็ลองใช้ <<ดวงตาของงูสีชาด>> เพื่อดูค่าสถานะของกิซาร์ แต่ก็เป็นไปตามที่คาดไว้ เขามีเลเวลมากกว่าผม อย่างไรก็ตามความรู้สึกยังคงเหมือนเช่นเคย
ดูเหมือนเราจะไม่มีปัญหาใด ๆ
“ไปกันเถอะ”
เมื่อทุกคนพยักหน้า เราก็เข้าไปในป้อมปราการ
◆◇◇
“จากตรงนี้ เราจะเข้าไปในป่า” เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงของเจ้านายผู้มีชื่อเสียงในฐานะอัศวินแขนเหล็ก พวกเขาก็ยืดหลังของตนทันที ชายเหล่านี้เป็นลูกชายคนที่สองหรือสาม ซึ่งถูกพาตัวมาจากหมู่บ้านใกล้เคียงโดยอัศวินแขนเหล็ก โกเวน เรนิด เขาได้จับคนเหล่านั้นมา เมื่อพวกเขายังเด็กและทำให้พวกเขาเป็นกองทัพส่วนตัว
ทหารหนุ่มกลุ่มนี้จำนวนทั้งหมด 400 นาย
“พวกเจ้ามีคำถามเพิ่มเติมไหม? ” โกเวนถาม
ด้วยการหวีผมสีเงินที่เกือบจะเป็นสีขาวของเขา และหนวดที่สวยงามนั้น ทำให้โกเวนดูไม่เหมือนว่า เขากำลังจะเข้าสู่ป่าแห่งความมืด
ในความเป็นจริง ถ้าเขาบอกว่าพวกเขากำลังจะไปร่วมงานเลี้ยงยกับพระราชา ใคร ๆ ก็คงเชื่อเช่นนั้น
“งั้นเราไปกันเถอะ” สายตาอันเย็นชาของโกเวนมองไปยังพื้นที่ที่ไม่มีใครอยู่ อัศวินแขนเหล็กโกเวน เข้ามาในป่าอย่างสง่าผ่าเผยและสมกับเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่มีอายุมากที่สุด
เส้นทางการเข้าป่ามีหลายวิธี
วิธีที่หนึ่งคือการใช้เส้นทางที่มีมนุษย์เคยผ่าน ถึงป่าแห่งนี้อยู่นอกเหนือพรมแดนที่มีอารยธรรม แต่ก็ยังมีความอุดมสมบูรณ์ อาหาร สมุนไพรหรือส่วนผสมจากการล่ามอนสเตอร์
ผู้คนที่โหยหาความมั่งคั่งจะยอมรับอันตรายและมาที่ป่าแห่งนี้ คนเหล่านี้เหยียบย่ำแผ่นดินและสร้างเส้นทางที่ปราศจากต้นไม้ เส้นทางดังกล่าวมีหลายทางในพื้นที่ของโกเวน
วิธีที่สองคือใช้เส้นทางที่ยังไม่ได้สำรวจ
วิธีนี้ยากกว่ามากเมื่อเทียบกับวิธีแรก แต่มันจะสามารถเลือกใช้เส้นทางตามความต้องการได้
อาจจะมีข้อจำกัดบางอย่างเกี่ยวกับป่า เพราะอาจจะเจอพืชที่มีพิษ ต้นไม้และพืชต่าง ๆ ที่เติบโตขึ้นอย่างหนาแน่นในเส้นทาง
วิธีนี้ดีกว่ามากสำหรับการค้นหาในป่า แทนที่จะต้องไปใช้เส้นทางไกล ๆ
วิธีที่สามคือขอความช่วยเหลือของเอลฟ์
ในฐานะผู้ที่อาศัยอยู่ในป่า พวกเอลฟ์มีวิธีการเข้าออกที่แปลกประหลาดของตัวเอง มันรู้จักกันในชื่อ “เส้นทางของเอลฟ์” ทำให้เอลฟ์สามารถเดินทางผ่านช่องว่างมิติได้ทันที อย่างไรก็ตามแม้แต่เอลฟ์เองก็ยังเสี่ยงที่จะจบชีวิตลงในทางเหล่านั้น ดังนั้นมันจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเขาต้องรู้ว่าทางเข้าออกอยู่ที่ใด
แต่ไม่ว่าเส้นทางใด ก็ไม่ใช่วิธีที่มนุษย์ปกติจะสามารถใช้ได้
อัศวินแขนเหล็กโกเวนใช้วิธีแรก
อัศวินพายุกัลแลนเลือกใช้วิธีที่สองตามแบบฉบับของนักผจญภัย
และยีนซึ่งสามารถหาทาสเอลฟ์บางคนได้ ใช้วิธีที่สาม
◆◇◇
“แล้วตอนนี้…เรามาที่ไหนกัน?”
เมื่อเล่นกับผมยาวของเขาและดาบในมือ ริมฝีปากของยีนก็เหยียดเป็นรอยยิ้ม
เบื้องหน้าของเขาคือฝูงกึ่งมนุษย์
ครึ่งคนครึ่งม้า ‘เซนทอร์’ ถือดาบไว้เหนือไหล่ แมงมุมที่มีขาและลำตัวของมนุษย์ ‘อาราเนีย’ และครึ่งคนครึ่งสุนัข’มนุษย์หมาป่า’ ยีนและทาสของเขาพบว่าตัวเองอยู่ตรงกลางระหว่างกึ่งมนุษย์ทั้งสามเผ่า เมื่อพวกเขาออกจากเส้นทางของเอลฟ์
หลังจากมองไปรอบ ๆ ตัว ยีนก็ได้ข้อสรุป
นี่ต้องเป็นหมู่บ้านของกึ่งมนุษย์
“มาสเตอร์ยีน” ทาสการต่อสู้ทั้งสองเปล่งเสียงออกมาอย่างกังวล
“ไม่ต้องกังวล นี่เป็นโอกาสหายากที่จะล่ากึ่งมนุษย์ด้วยตัวเอง หากจะมีสิ่งใดที่ต้องทำ พวกเจ้าควรจะดีใจ “
นอกจากทาสเอลฟ์ เขายังมีทาสเผ่ามนุษย์ทั้งสองที่พบว่ามันไม่ใช่เรื่องขบขันนัก เมื่อพบว่าตัวเองถูกล้อมรอบไปด้วยกึ่งมนุษย์ พวกเขาอาจไม่ชอบเจ้านายของตัวเอง แต่พวกเขาทั้งหมดอยู่บนเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต่อสู้
ในทางตรงกันข้าม เอลฟ์เซเลน่าแอบดีใจที่เส้นทางของเอลฟ์พาตนไปถึงหมู่บ้านกึ่งมนุษย์
ใครจะรู้ล่ะ? บางทีพวกเขาอาจจะช่วยเธอได้
แม้เธอไม่สามารถเปล่งเสียงนั้นออกมา แต่หัวใจของเธอยังคงยึดมั่นกับเศษเสี้ยวแห่งความหวัง
เอลฟ์และกึ่งมนุษย์เข้ากันได้ดี หรืออย่างน้อยที่สุดก็ควรจะมากกว่ามนุษย์ แน่นอนว่าด้วยกึ่งมนุษย์จำนวนมากขนาดนี้ แม้แต่ยีนที่เป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่น่าจะมีชีวิตรอดออกไปได้ใช่มั้ย?
และถ้าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้น เธอก็อาจเจรจาเพื่อปลดปล่อยตัวเองได้
เธอเต็มไปด้วยความหวัง ขณะมองไปยังเซนทอร์ข้างหน้า
“เจ้ามาที่นี่เพื่ออะไรมนุษย์?”
ด้วยความเยาว์วัย ร่างกายที่ผอมเพรียวและการแสดงออกที่น่าประทับใจ เซนทอร์ตัวนั้นเป็นเหมือนนักรบผู้กล้าหาญอย่างแท้จริง
“มันเป็นเรื่องบังเอิญ ข้าให้ผู้หญิงคนนี้ใช้พลังของตัวเอง แต่โชคร้ายที่เราลงมาสถานที่ผิด “
ยีนดึงโซ่ขณะที่เขาพูด ทำให้เซเลน่าครางเบา ๆ
“เจ้ากล้ากดขี่เอลฟ์!?”
เมื่อเห็นใบหูที่ถูกผ่าครึ่งของเธอ เซนทอร์ก็ลืมตาขึ้นด้วยความไม่อยากเชื่อ จากนั้นเขาก็ส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้ากล้าทำให้พวกเราเสียชื่อเสียงในป่า!? ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้!”
“ข้าจ่ายเงินเพื่อซื้อผู้หญิงคนนี้มา ถ้าเจ้าต้องการก็จ่ายเงินคืนให้ข้า” ยีนหัวเราะเบา ๆ
ไม่มีความรู้สึกถึงอันตรายในสายตาและเขายังใช้ปากที่ยังเหน็บแนมตามปกติ ลิ้นของเขายื่นออกมาจากปาก ขณะที่มันเลียริมฝีปากของตัวเอง
“อย่ามาล้อเล่นกับข้า!”
“การเจรจาจบลงแล้วเหรอ?”
เซนทอร์ที่คำรามขณะพุ่งไปหายีน พลังของเขานั้นเพียงพอที่จะบดขยี้ได้แม้แต่ดับเบิ้ลเฮด
“เร็วกว่าฟ้าผ่า” ยีนพูดคำเหล่านั้นด้วยความรัก
ทันทีหลังจากนั้น เซนทอร์ที่พุ่งเข้าหาเขาก็ล้มลง ทุกคนยกเว้นยีนไม่เชื่อสายตาของตัวเอง
“ข้ายังไม่ได้แนะนำตัว ข้าคือยีน มาร์ลอนอัศวินสายฟ้าที่กล่าวได้ว่ารวดเร็วราวกับสายฟ้า …นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เหนือกว่า ยินดีที่ได้พบพวกเจ้า”
รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของยีนนั้นเต็มไปด้วยความปีติยินดี
ทุกคำพูดที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากนั้นทำให้ความหวังของเซเลน่ากลับกลายเป็นสิ้นหวัง
ในวันนั้น หนึ่งในหมู่บ้านของกึ่งมนุษย์ก็ถูกทำลายลง
◇◇◇◇◆◆◆◆
ค่าสถานะ
[ชื่อ] ยีน มาร์ลอน
[เผ่าพันธุ์] มนุษย์
[เลเวล] 87
[อาชีพ] อัศวินศักดิ์สิทธิ์,อัศวินสายฟ้า
[ทักษะ] <<การจัดการเวทมนตร์>><<ความชำนาญการใช้เรเปียร์ A+>> << พรสวรรค์โดยกำเนิด >> << ดวงตางูผู้ชั่วร้าย >><<ผู้สังหารปีศาจนับร้อย>> <<การอวยพรของเทพเจ้าไฟ>><<การอวยพรของเทพเจ้าสายฟ้า>><<ฆ่าทันที (แทง) >><<ซาดิสม์>>
[การคุ้มครองจากพระเจ้า] เทพเจ้าแห่งไฟ,เทพเจ้าแห่งสายฟ้า
[แอตทริบิวต์] ไฟ,สายฟ้า
[อาวุธ] เร็วกว่าสายฟ้า (ฟิไฟร์)
[ผู้ใต้บังคับบัญชา] ทาสเซเลน่า; ทาสนักรบชูเมอา; ทาสนักรบโยชู
◇◇◇◇◆◆◆◆
หมายเหตุผู้แต่ง:
มาพูดถึงระดับของอาวุธกัน
เกี่ยวกับอาวุธมีสี่ระดับ
หากคุณต้องการอาวุธจำนวนมาก นั่นคืออาวุธระดับฟอร์จ
หากคุณต้องการอาวุธที่ดีกว่าเล็กน้อย นั่นคืออาวุธระดับเฟรมเบลด
อาวุธที่ได้รับพรจากสปิริตหรือเทพเจ้าคือระดับเอนเชียนท์
อาวุธที่สร้างโดยเทพเจ้าเท่านั้น คืออาวุธระดับพระเจ้า
ระดับฟอร์จและเฟรมเบลดนั้นไม่จำเป็นต้องมีเวทมนตร์ก็สามารถใช้ได้ แต่การสร้างอาวุธที่เริ่มต้นจากระดับอาร์ติแฟคนั้นค่อนข้างยาก ดังนั้นเพื่อให้สามารถยืมพลังของสปิริตได้ง่ายขึ้น ภาษาสปิริต (คาถา) หรือภาษาโบราณ (คาถา) จะถูกสลักลงไป หากปรารถนาพลังที่มากขึ้น การผนึกพลังของสปิริตหรือเทพเจ้าไว้ในอาวุธจะกลายเป็นสิ่งที่จำเป็น
เทพเจ้าหรือสปิริตยังเปลี่ยนอาวุธให้กลายเป็นระดับเอนเชียนท์หรืออาวุธระดับพระเจ้าได้ หลังจากใช้มันเป็นเวลานาน
ส่วนอาวุธที่ยีนใช้คือ อาวุธระดับเอนเชียนท์
◆◇◇◆◆◇◇◆
อ่านนิยายล่วงหน้าได้ในกลุ่ม ที่เพจ Koel-Translate นิยายแปล (ตอนนี้แปลถึงตอน 400 กว่าแล้วนะครับ)
https://www.facebook.com/pg/Koel-Translate-%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5-111530443746222/posts/