นายท่านรองสกุลหลัวฟังแล้วถึงกับหน้าเปลี่ยนสี
นี่เป็นภาพที่เขาไม่อยากเห็นที่สุด
หากต้าหลังมีทายาทสืบสกุล เรื่องทุกอย่างก็จะซับซ้อนขึ้นมาทันที
เขาลุกขึ้นเดินวนเป็นวงกลม แล้วถลึงตาจ้องนางเถียนคราหนึ่ง “เจ้าไปสืบเมื่อคราแรกเริ่มนั้นได้ความมาว่าอย่างไรกันแน่”
เขาเป็นบุรุษ เมื่อเอ่ยถึงเรื่องหาคู่หมายให้ต้าหลังย่อมมิสะดวกไปสืบเสาะสภาพของคุณหนูจวนอื่นๆ เรื่องนี้จึงให้นางเถียนเป็นผู้จัดการ
นางเถียนได้ฟังก็โมโหขึ้นมา จึงเอ่ยโต้แย้งว่า “ท่านพี่เอ่ยเช่นนี้ช่างทำให้ผู้อื่นรู้สึกเสียใจยิ่งนัก ผู้ที่ใช้วิธีนับพันนับร้อยจนสืบทราบมาได้ว่าคุณหนูจวนใต้เท้าหวังป่วยหนัก มิเช่นนั้นนางคงมิล้มป่วยตายหลังจากที่ตกลงหมั้นหมายได้อย่างพอเหมาะพอเจาะเช่นนั้น? ยังมีหลานสาวของใต้เท้าหลี่อีก หากมิใช่ข้าเป็นผู้สืบทราบว่านางลอบมีสัมพันธ์กับชายอื่น สุดท้ายถูกจับได้จึงแขวนคอตายแล้วบอกกับผู้อื่นว่านางเกิดจากโลกนี้ไปอย่างกะทันหัน ต้าหลังจะถูกลือว่าเป็นบุรุษผู้มีดวงพิฆาตภรรยาหรือไม่?”
“แล้วนางเจินเล่า เจ้าจะว่าอย่างไร?” นายท่านรองสกุลหลัวยิ่งคิดยิ่งโมโห
ตั้งแต่นางเจินเข้ามาอยู่ในจวนก็มีแต่เรื่องที่มิได้ดั่งใจ
“นางเจิน…” นางเถียนกัดฟันแน่นคล้ายต้องการกัดให้ชื่อนี้แตกดับไปกระนั้น “ท่านก็ทราบว่าเรื่องนี้มิอาจกระทำเกินสามครั้งได้ หากปล่อยให้ผู้คนกล่าวหาว่าต้าหลังมีดวงพิฆาตภรรยา ฮูหยินผู้เฒ่าคงเกิดสงสัยแน่ ข้าสืบมาแน่ชัดแล้วว่านางเจินเป็นผู้มีอุปนิสัยชอบเอาชนะทั้งยังชอบข่มผู้อื่น จึงใช้วิธีนี้แต่งนางเข้ามา ด้วยอุปนิสัยของต้าหลังแล้วหากมิโวยวายเป็นระกาบินสุนัขกระโดดก็แปลกแล้ว แต่ผุ้ใดจะทราบ ผู้ใดจะทราบว่ากลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”
นายท่านรองสกุลหลัวแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง “เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นคนละคนไปได้ สตรีที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในเรือนหลังมาตลอดเช่นนั้น อาจมีได้มีอุปนิสัยอย่างที่เจ้าสืบมาก็เป็นได้ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วคงทำอันใดมิได้ เจ้าคอยจับตาดูไว้ให้ดี หากถึงที่สุดจริงๆ ก็ทำให้นางมิอาจคลอดบุตรก็ออกมาได้ก็พอ”
ประโยคสุดท้ายที่เอ่ยออกมานั้นเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งก็มิปาน
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ แล้วต้าหลังเล่า ท่านพี่คิดจะทำอย่างไร อย่าลืมว่าเขามีความชอบที่ช่วยองค์จักรพรรดิไว้ ไม่แน่ว่าเขาอาจได้เลื่อนขั้นอีกก็เป็นได้”
นางผู้มีฐานะเป็นฮูหยินผู้หนึ่งนั้นทราบดีว่า ไม่มีคุณความดีใดยิ่งใหญ่ไปกว่าการช่วยองค์จักรพรรดิให้พ้นอันตราย
เกรงว่าภายหน้าท่านพี่คงยากจะจัดการเขาแล้ว
หากต้าหลังมีตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้นางเจินไม่มีบุตรแล้วอย่างไร แค่สาวใช้ทงฝังสักคนคลอดบุตรก็นำมาเลี้ยงก็จบแล้ว ดังนั้นจุดสำคัญก็ยังอยู่ที่ตัวต้าหลังอยู่ดี
“ความดีที่ช่วยองค์จักรพรรดิงั้นหรือ?” นายท่านรองสกุลหลัวยิ้มด้วยแววล้ำลึก “ยามนี้ย่อมต้องงามสง่าหาใดเปรียบยิ่ง แต่ท่านผู้นั้น…อย่างไรก็อายุมากแล้ว”
“มิใช่กล่าวว่าท่านผู้ท่านโกรธเคืององค์รัชทายาทอยู่หรอกหรือ?”
“ถึงได้บอกว่าสตรีเช่นพวกเจ้าเกศายาวแต่มองการณ์ใกล้ ท่านผู้นั้นให้ความสำคัญกับองค์รัชทายาทมากเสียจนองค์ชายพระองค์มิอาจเทียบได้ติด มิเช่นนั้นสองวันก่อนที่องค์รัชทายาทเฉือนเนื้อป้อนมารดาเลียนอย่างไช่หยวนเผย ท่านผู้นั้นกลับยินดีปรีดาอย่างยิ่ง”
องค์รัชทายาทเป็นทั้งโอรสพระองค์โตทั้งมิใช่โอรสของสนม หากฝ่าบาทมิทรงคิดจะมอบตำแหน่งให้รัชทายาทสืบทอด เช่นนั้นจวนรองเสนาบดีซูคงไม่มีทางมีไท่จื่อเฟยได้
“องค์รัชทายาทถูกตำหนิเรื่องที่เกิดขึ้นในเป่ยเหอ แต่นั่นก็เป็นเพราะมิทันระวังจึงได้ชักนำพยัคฆ์ตัวไปหาท่านผู้นั้น ต้าหลังไม่เพียงจะได้รับรางวัลพระราชทานเท่านั้นแต่ทุกคนต้องกล่าวถึงความชอบของเขาด้วย เช่นนั้นไท่จื่อทรงทอดพระเนตรเห็นแล้วจะเบิกบานพระทัยได้หรือ? เช่นนั้นอนาคต…” นายท่านรองสกุลหลัวเอ่ยถึงตรงนี้เท่านั้น
นางเถียนมิใคร่เข้าใจเรื่องในราชสำนักนัก แต่เมื่อนายท่านรองสกุลหลัวเอ่ยเช่นนี้ กลับเข้าใจอย่างชัดเจนยิ่ง
เรื่องนี้เข้าใจได้ง่ายยิ่ง เพราะเรื่องหากเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นมีคนโชคร้ายและมีคนโชคดี ต่อให้คนที่โชคดีนั้นจะไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับคนโชคร้ายนั้นเลย แต่คนโชคร้ายได้เห็นคนโชคดีคราใดก็คงมิเบิกบานใจนัก
นี่เรียกว่าการพาลโกรธไปเรื่อยนั้นเอง
การถูกผู้ที่ภายหน้าจะกลายเป็นโอรสสวรรค์พาลโกรธนั้น…
“ยามนี้ต้าหลังกำลังรุ่งโรจน์จึงมิอาจไปงัดข้อกับเขาได้ แต่หากอดทนอีกสักหน่อย บางทีต่อไปเราก็อาจจะไม่ต้องลงมือเองด้วยซ้ำ” นายท่านรองสกุลหลัวคิดถึงอนาคตอันงดงาม โทสะที่มีในใจจึงคลายลงไปไม่น้อย
เมื่อวางเรื่องวุ่นวายในใจลงไปได้ นายท่านรองสกุลหลัวก็เอนตัวลงนอน มือวางบนเอวของนางเถียน
นางเถียนหน้าร้อนเห่อขึ้นมาเล็กน้อย แล้วหมุนกายไปหา “ท่านพี่…”
ในหัวพลันปรากฏภาพคนผู้หนึ่งที่แสนบริสุทธิ์งดงามขึ้นมาวูบหนึ่ง นายท่านรองสกุลหลัวจึงหมดอารมณ์ตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด จึงเอ่ยเพียงว่า “นอนเถิด”
ตั้งแต่ซูเหนียงถูกขายออกไป เรือนที่ตรอกซิ่งฮวานั้นเขาก็ยังคงเก็บไว้เช่นนั้น มิอาจบอกได้ว่าเพราะเหตุใด แต่บางคราก็อดเดินเล่นที่นั่นสักครู่มิได้
บางทีอาจเป็นเพราะหญิงงามล้ำที่อยู่เรือนข้างเคียงนั้นกระมัง
นายท่านรองสกุลหลัวคิดแล้วไฟเร่าร้อนในทรวงก็ลุกโหมขึ้น แต่เมื่อมองคนที่นอนอยู่ข้างตนแล้วก็คร้านจะเคลื่อนไหวร่างกายจริงๆ
นางเถียนรู้สึกดั่งถูกตบหน้าฉาดใหญ่
นางอายุเพียงสามสิบห้า สามสิบหกเท่านั้นซึ่งเป็นวัยที่รู้งานทุกอย่างดียิ่ง แต่ท่านพี่กลับมิได้ชิดใกล้กับนางมานานมากแล้ว
หรือ…หรือเขายังคงคิดถึงอนุนอกเรือนที่ถูกขายทิ้งไปแล้วผู้นั้นอยู่?
ยิ่งคิดก็ยิ่งมีโทสะ นางเถียนผุดลุกขึ้นนั่งทันที
“ท่านพี่ ท่านหมายความว่าเช่นไร?”
“หมายความว่าเช่นไรอันใด? รีบนอนเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว” นายท่านรองสกุลหลัวหลับตาลง
นางเถียนหยิกเอวเขาคราหนึ่ง “เหนื่อยแล้วอันใดเล่า ท่านยังคงคิดถึงนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั้นอยู่อีกใช่หรือไม่?”
“นางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อันใด นางมิใช่เสียหน่อย!” คราแรกที่นายท่านรองสกุลหลัวนึกถึงคือเยี่ยนเหนียงผู้งดงาม
นางเถียนพลันโมโหขึ้นมา นางหยิกแขนนายท่านรองสกุลหลัวคราหนึ่ง เสียงที่เอ่ยแหลมสูงขึ้นทันที “หากมิใช่ตัวอัปรีย์นั้นมีครรภ์แล้วยังมิรู้จักเจียมตัว เว้าวอนให้ท่านพาไปวัดหวารั่ว ช่างไม่กลัวว่าจะเผยร่างอันแท้จริงต่อหน้าพระโพธิสัตว์สักนิด!”
เมื่อเอ่ยถึงซูเหนียงที่ถูกขายออกไปก็ทำให้นายท่านรองสกุลหลัวมีโทสะขึ้นมาเช่นกัน
สตรีที่น่ารักอ่อนหวานเช่นนั้น ทั้งยังตั้งครรภ์เลือดเนื้อของเขา หากมิใช่เพราะภรรยาใจร้ายผู้นี้ นางไหนเลยจะต้องถูกขายไปเช่นนี้!
เขาสะบัดมือที่จับรั้งไว้ของนางเถียนโดยแรง อาจเพราะออกแรงมากเกินไปทำให้นางเถียนตกลงมาจากเตียงทันที
เสียงโครมครามดังขึ้น นางเถียนกลิ้งตกลงมาผมเผ้ายุ่งเหยิง อารมณ์โมโหที่มากเกินคณนานั้นทำให้นางมีท่าทีดุร้ายดุจไก่ชน นางปีขึ้นไปบนร่างนายท่านรองสกุลหลัวอย่างรวดเร็ว แล้วข่วนที่ใบหน้าเขาอยู่หลายที
เหล่าสาวใช้ได้ยินเสียงอึกทึกดังขึ้นจึงรีบเข้ามาในห้อง แต่ละคนต่างตกตะลึงอึ้งงันไป
นายท่านรองสกุลหลัวคำรามขึ้นด้วยความรีบร้อนทั้งโมโหยิ่ง “ยังมิรีบไสหัวไปอีก!”
บรรดาสาวใช้ต่างรีบถอยออกไป
นายท่านรองสกุลหลัวผลักนางเถียนออกโดยแรงแล้วใส่เสื้อคลุมเดินตรงไปยังห้องตำราโดยไม่สนใจเสียงร่ำไห้ที่ด้านหลังแม้แต่น้อย และในราตรีนั้นเองเขาจึงหลับนอนกับสาวใช้ที่ยกถ้วยยาไปให้เขา
สาวใช้ผู้นั้นคือหลี่ว์เอ๋อร์ สาวใช้คนสนิทของนางเถียนนั้นเอง
วันต่อมานางเถียนจึงทราบเรื่อง แล้วก็โวยวายขึ้นมาทันที
บนใบหน้านายท่านรองสกุลหลัวยังมีรอยขีดข่วนสีแดงเป็นทางอยู่เลย จึงเขียนใบลาต่อศาลาว่าการไว้ก่อนแล้ว เมื่อนางเถียนโวยวายขึ้นเขาจึงเตะนางไปคราหนึ่ง “นางเถียน สตรีขี้อิจฉาริษยาเช่นเจ้าคิดจะกระทำผิดหลักเจ็ดประการของภรรยาหรือ แม้แต่จะนอนกับสาวใช้ยังทำไม่ได้หรือ?”
นางเถียนมองหน้าที่ถูกข่วนเป็นลายของนายท่านรองสกุลหลัวแล้วรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยจึงมิกล้าต่อปากอีก
เมื่อเห็นนางเถียนอ่อนลง นายท่านรองสกุลหลัวก็แค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง “ต่อไปก็ให้ หลี่ว์เอ๋อร์ไปอยู่ห้องตำราคอยรับใช้ข้า”
สตรีผู้นี้นับวันยิ่งเหิมเกริม หากเขาปกป้องไม่ได้แม้แต่สาวใช้ทงฝัง แล้วยังจะมีความอันใดอยู่กัน!
หลี่ว์เอ๋อร์ที่คุกเข่าอยู่ด้วยความกลัวมาตลอดนั้นค่อยๆ หยักยกมุมปากขึ้น
ตั้งแต่นางรับหน้าที่แทนจูเหยียน ฮูหยินรองก็คอยแต่เอานางไปเปรียบกับจูเหยียน ประหนึ่งว่า จูเหยียนเป็นเมฆที่ลอยอยู่บนนภา นางเป็นเพียงโคลนดำบนดินกระนั้น!
ล้วนเป็นสาวใช้ทั้งสิ้นจะมีผู้ใดเหนือกว่าใครเล่า นางก็เป็นคนเช่นกัน!
ในเมื่อเจ้านายไม่เห็นนางเป็นคน นางก็คงทำได้แต่เพียงพยายามเพื่อให้ตนได้กลายเป็นเจ้านายคนหนึ่งเท่านั้นแล้ว
เรื่องที่นางเถียนข่วนหน้านายท่านรองสกุลหลัวและนายท่านรองสกุลหลัวก็ได้ร่วมหลับนอนกับสาวใช้ของนางเถียนได้แพร่ไปรวดเร็วดุจสายลมหอบหนึ่ง พริบตาก็กระจายไปทั่วจวนกั๋วกง
ตอนที่นางเถียนเดินไปเรือนอี๋อานระหว่างนางก็รู้สึกว่าบ่าวไพร่มองนางด้วยสายตาแปลกประหลาดอยู่ตลอดทาง
ฮูหยินผู้เฒ่าก็พูดคุยเรื่องทั่วไปอย่างที่เคยผ่านมา
“เจ้าสี่ ต้าหลัง วันนี้พวกเจ้าต้องวังด้วยกันใช่หรือไม่?”
ก่อนที่นายท่านสี่สกุลหลัวจะหายตัวไป เขามีตำแหน่งเป็นขุนนาง เมื่อครานี้กลับมาแล้วก็ต้องเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิเช่นเดียวกัน
แต่เจินเมี่ยวยังสามารถพักผ่อนอยู่ในจวนได้ก่อนเพราะหวงโฮ่วยังไม่รับสั่งให้เข้าเฝ้า
“ขอรับ บุตรกำลังจะไปขอรับ”
รอกระทั่งบุรุษทั้งหลายไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงมองไปที่นางชี “นางชี เมื่อวานเจ้าสี่พูดอันใดกับเจ้าบ้างหรือ?”
ใบหน้านางชีทาเคลือบแป้งประทินผิวไว้บางๆ ทำให้ดูดีเป็นพิเศษ เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะแผ่วเบาพลางเอ่ยว่า “ช่วงเวลาที่ท่านพี่หายตัวไปนั้นต่างเล่าให้สะใภ้ฟังหมดแล้ว หูอี๋เหนียงช่วยท่านพี่ไว้ สะใภ้รู้สึกซาบซึ้งยิ่ง หากเมื่อใดที่ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าเวลาเหมาะสมแล้วก็ไปรับเอาหูอี๋เหนียงและจังเกอมาเถิดเจ้าค่ะ พวกเขาจะได้มิต้องกังวลใจอันใดอีก”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว อย่างไรจังเกอก็เป็นเลือดเนื้อของเจ้าสี่ ส่วนนางหู นางช่วยชีวิตของเจ้าสี่ไว้ ข้าเองก็ซาบซึ้งใจยิ่ง แต่ในเมื่อเข้ามาอยู่ในจวนของจวนกั๋วกงของเรา เจ้าเองก็ต้องจัดสรรทุกอย่างให้ดี อย่าได้ปล่อยนางกระทำการตามใจเพียงเพราะมีบุญคุณช่วยชีวิตไว้ จนภรรยามิเป็นภรรยา อนุมิใช่อนุ นั้นแลจึงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตระกูลต้องพังพินาศ”
“เจ้าค่ะ สะใภ้ทราบแล้ว”
นางเถียนฟังก็ลอบเบ้ปาก
ฮูหยินผู้เฒ่าช่างลำเอียงนัก มิน่าเล่าแต่ก่อนท่านพี่จึงมักพูดว่าฮูหยินผู้เฒ่ารักเอ็นดูนายท่านสี่สกุลหลัวมากที่สุด แม้แต่สะใภ้ก็ยังปกป้องถึงเพียงนี้
ฮึ เมื่อวานนางถูกตบหน้าอย่างแรง เหตุใดจึงมิเห็นพูดจาแทนนางบ้างสักคำ
คิดถึงตรงนี้ก็เผยรอยยิ้มจอมปลอมออกมา “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านคิดว่าควรไปที่อำเภอเป่าหลิงเมื่อใดจึงเหมาะสม สะใภ้จะได้ไปจัดการเตรียมไว้ก่อนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าชำเลืองมองนางเถียนครู่หนึ่ง “เรื่องนี้ยังไม่รีบร้อน รออีกสักหน่อยค่อยว่ากันเถิด”จวนกั๋วกงมิใช่ไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณคน แต่ก็มิอาจให้ผู้อื่นใช้บุญคุณมาข่มเหง
หากรีบร้อนไปรับ นางหูผู้นั้นคงได้ใจมากกว่านี้เป็นแน่
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นบุคคลที่แบ่งแยกบุญคุณความแค้นอย่างชัดเจน กับนางหูนางรู้สึกซาบซึ้ง แต่ไม่คิดจะให้รับรู้ถึงความซาบซึ้งใจของตน
ความคิดของสตรีที่ทำการค้า นางรู้ดีอยู่แก่ใจ
ส่วนนางเถียน ฮูหยินผู้เฒ่าก็ต้องถอนหายใจ
เจ้าสี่กับต้าหลังเพิ่งจะกลับมาถึง พวกเขาสองคนก็ทะเลาะกันขึ้นมา ทำให้นางไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดดี
โชคดีที่เจ้าสี่กลับมาแล้ว จวนกั๋วกงแห่งนี้มีเขาและต้าหลังคอยดูแล ย่อมไม่มีทางล้มลงไปก่อนที่นางจะสิ้นใจเป็นแน่
ฮูหยินผู้เฒ่ามองไปที่เจินเมี่ยวอีกครา “หลานสะใภ้ ข้าเห็นสีหน้าเจ้าไม่สู้ดีนัก ยังมิดีขึ้นหรือ?”
เจินเมี่ยวรีบเอ่ยต่อว่า “ท่านย่า หลานสะใภ้สบายดีเจ้าค่ะ”
เมื่อวานหลัวเทียนเฉิงได้กำชับนางไว้อย่างหนักแน่นว่าเรื่องที่ระดูมานั้นจักต้องเก็บเป็นความลับสักระยะ
เมื่อผ่านคลื่นพายุฝนก่อนหน้านี้มาได้ทำให้นางเริ่มมองออกแล้วว่าชีวิตนั้นไม่ง่าย การระแวดระวังไว้ก่อนย่อมเป็นการดีกว่า
ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นเทียบเชิญปึกหนึ่งให้นาง “เป็นเทียบที่จวนต่างๆ ส่งมาเชิญเจ้าหรือไม่ก็เทียบขอมาเยี่ยมเจ้าที่จวน ในช่วงสองวันนี้เจ้าคงต้องได้เข้าวัง หาผ่านสองวันนี้ไปเจ้าก็จัดการวางแผนตามอัธยาศัยเถิด ยังมีรายการของขวัญที่จวนต่างๆ ส่งมาให้อีก ประเดี๋ยวจะให้คนส่งไปที่เรือนชิงเฟิง”
“ขอบพระคุณท่านย่ามากยิ่งเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ายกชาขึ้นดื่ม ผู้คนทั้งหลายค่อยๆ ทยอยสลายตัว
ระดูเจินเมี่ยวมา อาหลวนจึงค่อยประคองนางเดินไปอย่างช้าๆ เพราะมิใคร่สบายตัวนัก
นางชีจูงมือคุณชายหกเดินไปเชื่องช้าอยู่ด้านหลัง
“อาสะใภ้สี่ มีเรื่องอันใดหรือไม่เจ้าคะ?”
คล้ายว่านางชีได้ผ่านวันเวลาอันเศร้าหมองมานานเกินไป แม้นยามนี้จะสดใสขึ้นมาก แต่เวลาเพียงไม่นานก็มิอาจคุ้นชินกับการทักทายปราศรัยกับผู้อื่นเท่าใดนัก แต่เมื่อเจินเมี่ยวเผยยิ้มเช่นนี้ออกมาก็ทำให้ความลังเลที่มีแต่เดิมหายไปจึงเอ่ยปากถามว่า “หลานสะใภ้ นางหูผู้นั้นเป็นบุคคลเช่นใดหรือ?”
เจินเมี่ยวครุ่นคิดคราหนึ่งจึงเอ่ยว่า “ฉลาด”
ฉลาดหรือ นางชีก้มหน้าลงพึมพำออกมาคราหนึ่ง แล้วจึงเผยรอยยิ้มบางเบาออกมา “ขอบใจเจ้ามาก อาสะใภ้ยังมิเคยได้เอ่ยขอบใจเจ้ากับต้าหลังที่พาท่านอาสี่กลับมาเลย”
ระหว่างเดินทางไปที่วังหลวง นายท่านสี่สกุลหลัวและหลัวเทียนเฉิงก็เอ่ยสนทนากันไปเรื่อย
ก่อนจะลงจากม้า นายท่านสี่สกุลหลัวก็พลันถามขึ้นประโยคหนึ่งว่า “หลายปีมานี้ พี่รองดีต่อเจ้าหรือไม่?”