กำเนิดดาบปีศาจ(BDS) เล่ม1 : บทที่ 27 – ประลอง
“อย่างที่เจ้ารู้ ตระกูลโชสติปกครองเราและเนื่องจากกบฏเหล่านี้อยู่ในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์บัลวัน พวกเขาจึงสั่งให้เราเป็นผู้รับผิดชอบ”
โนอาห์ฟังคำอธิบายแต่ก็เกิดข้อสงสัยในจิตใจ
“ท่านอาจารย์ ข้าจะต่อกรกับผู้ฝึกตนได้หรือ?”
ความสามารถของเขารับมือกับสัตว์ที่อันดับสูงกว่าเขาได้แต่ท้ายที่สุดก็หนีความจริงที่มันเป็นแค่สัตว์เวทมนตร์ไม่ได้
ร่างกายอันทรงพลังและความสามารถที่พิเศษเหมาะสมกับเคล็ดวิชาอันทรงพลังและกระบวนท่าที่สมบูรณ์แบบ
แต่จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่มีตันเถียนและฝึกฝนเคล็ดวิชาได้ทรงพลังเท่ากันโนอาห์?
“ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็ต้องบอกว่า สู้ไม่ได้ ถ้ากบฏมีความสามารถทัดเทียมกับเจ้า เขาจะเอาชนะเจ้าได้ด้วยปริมาณ “ลมหายใจ” เจ้าอาจทำให้การต่อสู้ตื่นเต้นขึ้นมาโดยการใช้ศิลปะการต่อสู้อันดับสามแต่ไม่นาน “ลมหายใจ” ก็จะหมดไป และหากเขามีศิลปะการต่อสู้อันดับสามเช่นกัน เจ้าทำได้แค่เพียงต้องวิ่งหนี”
โนอาห์รู้สึกหดหู่เมื่อได้ฟังเช่นนั้น
เขาพยายามอย่างหนักก็เพราะจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งคนอื่น ๆ ก็พัฒนาเช่นกันกับเขา และหากเขาต้องต่อสู้กับกบฏเหล่านี้ ความแตกต่างในการใช้เวลาไปกับการฝึกตนจะแตกสลาย
“แล้วทำไมท่านยังให้ภารกิจนี้กับข้ารึ?”
ถ้าเขาไม่สามารถทำอะไรกับสถานการณ์ได้จริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องเดินเข้าไปหาอันตรายถึงที่ เขาชอบต่อสู้ก็จริง แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่
“หน้าที่ของเจ้าคือคอยสนับสนุนเท่านั้น เจ้าจะต้องจัดการกับผู้ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนและมีศิลปะการต่อสู้อันดับหนึ่ง ปล่อยให้การต่อสู้จริงๆ เป็นหน้าที่ของคนอื่นในกลุ่ม”
ก่อนวิลเลียมจะจบการอธิบายเขาก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
“เอ่อ ครั้งนี้เจ้าไว้ในพวกเขาได้ ข้ารับปากเรื่องนั้น”
เขาเผยสีหน้าที่ซับซ้อนขณะพูด ชัดเจนว่าเหตุการณ์ของเบเลอร์ครั้งนั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ในจิตใจของเขา
โนอาห์ยิ้มและพูดให้อาจารย์ของเขาอุ่นใจ
“ไม่ต้องห่วงไปหรอกท่านอาจารย์!”
รอยยิ้มของโนอาห์หายไปและเปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชาขณะเดินออกจากห้อง
‘ฉันจะไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นนอกจากลิลลี่และอาจารย์ ฉันควรซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ กงเล็บของคาไมทาจิเองก็ต้องถูกเก็บเป็นเคล็ดวิชาลับเช่นกัน’
ตอนที่เบเลอร์หักหลังเขา มันทำให้เขาหวนนึกถึงความโหดร้ายของมนุษย์ ซึ่งเขาลืมไปเสียสนิทเนื่องจากมีชีวิตที่เป็นเด็กมาโดยตลอด
เขากลับมาที่ห้องและฝึกฝนอีกครั้งในทุกประเภทของศิลปะอันดับสาม จากนั้นเขาก็ตั้งสมาธิ
ความอ่อนแอทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่าย
ยิ่งเขาได้เห็นโลกมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เขาเข้าใจถึงอันตรายของโลกใบนี้ได้มากขึ้น
ในตอนที่รับหน้าที่กำจัดรังสัตว์เวทมนตร์ก็ทำให้เขาเกิดความคิดว่าโลกใบนี้มีประชากรของสัตว์เวทมนตร์มากเพียงใด แต่มนุษย์ก็ยังคงอยู่เหนือสุดของห่วงโซ่อาหารอยู่ดี นั่นหมายความว่าพลังของพวกเขานั่นเกินกว่าที่จะจินตนาการได้
‘ในขณะที่ฉันเพิ่งก้าวออกมาจากก้มบึ้งของพลังมนุษย์ได้เพียงสองก้าว ฉันก็สามารถเหนือกว่าคนทั่วไปแล้วก็ทหารทึ่มพวกนั้นแล้ว’
ในความคิดของเขา ทหารที่มีเคล็ดวิชาอันดับหนึ่งคือทหารทึ่ม
ความขุ่นเคืองของเขาสะท้อนออกมาระหว่างการฝึกฝนอักษรรูนช่วงกลางคืนจนเขาเกือบจะหมดสติไปหลังจากที่ฝืนตัวเองนั่นมองรูนเป็นระยะเวลาตลอดเจ็ดชั่วโมงติดต่อกัน!
หลังจากการฝึกฝนแบบไม่หยุดยั้งมามากกว่าหนึ่งปีครึ่ง รูปร่างที่คลุมเครือของรูนปรากฎอยู่ในทะเลแห่งสติของเขา เขามั่นใจว่าคงเวลาอีกไม่นานก่อนที่เขาจะกลายเป็นจอมเวทย์อันดับหนึ่ง
‘ฉันควรเริ่มสร้างข้ออ้างเพื่อให้พลังงานจิตก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว อยากรู้จังว่าอาจารย์จะทำหน้ายังไงถ้าฉันไปถึงสถานะ จอมเวทย์ฝึกหัด ก่อนอายุสิบสาม’
เขายิ้มเมื่อจินตนาการถึงใบหน้าที่ประหลาดของอาจารย์ แต่หลังจากนั้นคลื่นความเจ็บปวดในศีรษะของเขาก็เข้ามา จึงบังคับให้ตัวเขาต้องหยุดและไปพักผ่อน
เช้าวันต่อมา เขาพบอาจารย์อยู่ในลานพร้อมกับชายอีกสามคนและหญิงอีกหนึ่งคน พวกเขาต่างกำลังรอโนอาห์อยู่
“โนอาห์ พวกเขาคือสมาชิกในกลุ่มที่จะไปทำภารกิจร่วมกับเจ้า”
“เขาเองรึ?”
ชายร่างสูงใหญ่ในกลุ่มพูดขึ้นมา เขาไม่มีเครา มีผมดำสั้นพร้อมกับดาบสองมือที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับแผ่นหลังของเขา
เขาจ้องโนอาห์ขณะปล่อยแรงกดดันทางจิตใส่จิตใจเขาด้วย
‘นี่เขากำลังทดสอบฉันอยู่หรือ?’
พลังงานจิตใจของเขารุนแรงและกำลังกดดันทรงกลมในทะเลแห่งสติของโนอาห์ แต่ความรุนแรงนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาผงะได้
โนอาห์ใช้โอกาสนี้ทำให้ทรงกลมแข็งขึ้นเนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้รับแรงกดดันจากภายนอกทรงกลมและหลับตาเพื่อเพ่งสมาธิ
ชายคนนั้นเข้าใจการกระทำของเขาผิดไปขณะพยายามต่อต้านแรงกดดันและรู้สึกถูกท้าทายจนตัวเองเริ่มจนมุม
โนอาห์มุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างกำแพงจิตใจให้แข็งแกร่งขึ้นในขณะผู้พิทักษ์ดังกล่าวก็คอยเพิ่มแรงกดดันทางจิตให้สูงขึ้นเพื่อเอาชนะการประลองกันในจิตใจ
หลังจากนั้นสิบนาที มีเลือดไหลออกมาจากจมูกของผู้พิทักษ์คนนั้นและเขาก็พยายามดิ้นรนเพื่อส่งแรงกดดันต่อ
หญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มเห็นเลือดจึงตบเข้าที่หลังศีรษะของเขาเพื่อหยุดการตั้งสมาธิและการปลดปล่อยแรงกดดันทางจิต
“อีธาน หยุด เด็กคนนี้ไม่ใช่เพื่อนเล่นของเจ้า”
ชายคนดังกล่าวชื่ออีธานกำลังจะหันไปสวนคำพูดเมื่อเขาถูกตบเข้าที่ศีรษะอย่างรุนแรง แต่จากนั้นคำพูดที่ออกมาจากปากหญิงสาวก็ทำให้เขามองโนอาห์อย่างระมัดระวัง
โนอาห์ยังคงหลับตาและเผยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า เมื่อเขาลืมตก็แสดงออกมาถึงความไม่พอใจจากนั้นก็เห็นว่าทุกคนกำลังจ้องมองมาที่เขา
“ข้าสาบานเลยว่าเขาเกือบฆ่าข้าแล้ว ข้าพนันได้เลยว่าถ้าเจ้าปล่อยให้เขาทำต่ออีกหนึ่งชั่วโมงเขาฆ่าข้าสำเร็จแน่นอน!”
กำปั้นจากใครบางคนพุ่งเข้าชนศีรษะของโนอาห์ขณะที่วิลเลียมขยับเข้ามาที่ข้างหลังและวางมือบนไหล่เขา
“เจ้าเด็กที่เจ้ากำลังพูดถึงอยู่นี้คือลูกศิษย์ของข้า โนอาห์ จงให้ความสนใจเสมอเมื่อเจ้าคิดที่จะลองภูมิกับเขา เพราะเขาจะพูดและทำทุกอย่างเพื่อเรียนรู้ให้มากขึ้นเกี่ยวกับพลังของเจ้า”
โนอาห์เงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ที่ยืนอยู่ข้างหลังอีธาน
“โถ่ท่านอาจารย์ มันไม่ยุติธรรมเลยที่ท่านออกตัวคุ้มครองข้าก่อน ท่านอย่าไปฟังเขา ข้าน่ะบริสุทธิ์และใสซื่อ…”
อีธานไม่เชื่อคำพูดนั้น หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจขณะที่ชายอีกสองคนต้องกลั้นการที่พวกเขาจะโพล่งหัวเราะออกมา
พวกเขาไม่เคยเห็นใครก้าวร้าวใส่รองสารวัตรเช่นนี้มาก่อนและจากสิ่งที่เห็น วิลเลียมละสายตาจากการจ้องมองพฤติกรรมศิษย์ของเขา
“ฮ่าๆ เจ้าหนู ยอดเยี่ยมไปเลย ข้าชื่อ แซนฟอร์ด หรือจะเรียกว่าแซนดี้ก็ได้”
“ภารกิจนี้ต้องสนุกแน่ใช่ไหมแซนดี้? ฮ่าๆ ข้าชื่อ มาร์ค เราต้องเข้ากันได้ดีแน่พ่อหนุ่ม”
ชายสองคนหัวเราะจนไม่อาจหยุดได้ขณะกล่าวทักทายโนอาห์
หญิงสาวนวดขมับพร้อมถอนหายใจออก
“อย่าไปฟังเจ้างั่งสองคนนั่นเลย ข้าชื่อ ซูซาน เป็นหัวหน้าของภารกิจนี้และเป็นพี่เลี้ยงเจ้าเด็กอมมือพวกนี้ ชายคนนี้ชื่อ อีธาน โง่เขลาที่สุด เอาล่ะ ไปหาที่ส่วนตัวสักแห่งเพื่อตัดสินใจว่าจะบรรลุภารกิจนี้ยังไงกันเถอะ”