กำเนิดดาบปีศาจ(BDS) เล่ม1 : บทที่ 19 – ขู่ขวัญ
โนอาห์หายใจหอบ
เมื่อการต่อสู้จบสิ้นลงแล้วความเหนื่อยล้าก็เข้าครอบงำร่างกายของเขาทันที
แม้ว่าเขาจะลดปริมาณการใช้ “ลมหายใจ” ลงเพื่อให้คุ้นเคยกับการฆ่าสัตว์ แต่สุดท้ายก็แทบไม่เหลืออยู่ดี
เขาใช้กับขาทั้งสองข้างอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความเร็วและความคล่องแคล่ว และยังเจียกส่วนหนึ่งใช้กับแขนทั้งสองข้างเพื่อเปิดใช้งานความสามารถในการฟันของรูปแบบดาบคู่ด้วย
เขานั่งลงบนพื้นที่มีเลือดนองเพื่อพักเล็กน้อยและเพื่อให้จุดฝังเข็มได้ทำการเติมเต็ม “ลมหายใจ” ในร่างกายอีกครั้ง
“เจ้าทำได้ดีมากสำหรับครั้งแรก”
วิลเลียมเดินมาจากทางด้านหลัง เขายิ้มและในมือกำลังถือดอกไม้บางชนิดอยู่
“ทีนี้เจ้าเข้าใจแล้วนะว่าทำไมข้าถึงพูดว่าเจ้ารับมือผู้เดียวไหว?”
โนอาห์พยักหน้าและตอบกลับสั้นๆ
“ข้าใช้ศิลปะการต่อสู้อันดับสอง ด้วยร่างกายอันดับหนึ่งของพวกมันจึงเป็นการปิดโอกาสไม่ให้พวกมันทำอะไรข้าได้”
วิลเลียมพยักหน้า
“ใช่! ศิลปะการต่อสู้และคาถาเวทมนตร์คือสองสิ่งที่ทำให้มนุษย์อยู่เหนือสิ่งใดทั้งปวง ศิลปะการต่อสู้อันดับสองสามารถสร้างความเสียหายต่อร่างกายอันดับสามได้ เช่นเดียวกับเวทมนตร์อันดับหนึ่ง แน่นอนว่าหากเจ้าไม่มีความสัมพันธ์ของ ปริมาณ และคุณภาพ ของ “ลมหายใจ” ก็ย่อมไม่สามารถงัดเอาศักยภาพทั้งหมดของเคล็ดวิชาออกมาใช้ได้ และเจ้าจะถูกจำกัดในการใช้สิ่งเหล่านี้”
โนอาห์ทบทวนการต่อสู้ที่เขาเพิ่งประสบในจิตใจขณะที่กำลังรอร่างกายฟื้นฟูกลับสู่สภาพปกติ
‘จริงๆ แล้วฉันเสีย “ลมหายใจ” ไปมากระหว่างการต่อสู้เมื่อกี้และไม่มีหมาป่าตัวไหนที่ตามจับความเร็วฉันได้ทัน มันเลยดูเหมือนการรังแกคนที่ไม่มีทางสู้ แต่ฉัน “ลมหายใจ” ฉันอาจจะหมดไปหากศัตรูเอาแต่หลบการโจมตี โดยเฉพาะกับศัตรูที่เป็นสัตว์เวทมนตร์ แล้วหากเป็นกับผู้ฝึกตนที่มีอันดับศิลปะการต่อสู้เท่ากับฉันมันจะเป็นยังไงนะ?’
เขาไม่ชอบคำตอบที่ได้เลย
ขีดจำกัดของการมี “ลมหายใจ” ที่จำกัดมันเป็นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้ว
วิลเลียมส่ายหน้า เขาพอเข้าใจได้ลางๆ ว่าศิษย์ของเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่รู้ตัวว่าไม่มีเด็กคนใดที่อายุเท่าเจ้าจะสามารถสังหารฝูงหมาป่าอันดับหนึ่งได้โดยไม่เจ็บตัว”
‘ใช้ เกือบลืมไปแล้วว่าฉันยังไม่สิบเอ็ด’
เขาลืมอายุจริงของตัวเองในโลกนี้ไปแล้วจริงๆ
กำลังใจของเขาเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
ทั้งคู่รออยู่สิบนาทีก่อนที่โนอาห์จะลุกขึ้นและพยักหน้าให้กับอาจารย์เป็นสัญญาณที่บอกว่าพร้อมเดินทางกลับ
เมื่อพวกเขาเห็นประตูคฤหาสน์จากระยะไกล วิลเลียมก็เข้ามาใกล้โนอาห์และพูดกับเขาเสียงต่ำ
“ข้าเชื่อว่าจุดฝังเข็มของเจ้าจะหยุดทำงานในอีกไม่นานเนื่องจากเจ้ามีความก้าวหน้า ฉะนั้นเจ้าคงพร้อมแล้วสำหรับการรักษาครั้งที่สอง หลังจากที่เจ้าเข้าสู่วัฏจักรที่สอง ข้าจะอนุญาตให้เจ้ารับภารกิจของผู้พิทักษ์ได้”
* * * * *
ภายในตึกของผู้พิทักษ์ บนโต๊ะตัวหนึ่งในลานกล้าง มีชายหาคนและเด็กอีกหนึ่งคนนั่งล้อมเป็นวงกลมอ่านข้อความในกระดาษที่อยู่บนมือ
แน่นอนว่าเด็กคนนั้นคือ โนอาห์
เขาอยู่ในชุดออกกำลังกายสีดำพร้อมดาบสองเล่มที่สะพายอยู่ด้านหลังถูกเก็บแน่นสนิทอยู่ในฝักและผมสีดำเงาของเขาถูกมัดรวบเป็นหางม้าห้อยอยู่ด้านหลัง
ผ่านมาร่วมหกเดือนตั้งแต่ที่เขาต่อสู้กับหมาป่าสี่ตา นอกจากนี้เขากำลังย่างเข้าสู่อายุสิบเอ็ดปีและทั้งนี้ยังผ่านการรักษาครั้งที่สองเรียบร้อยแล้วด้วย
ความสูงของเขายังคงน้อยนิดเนื่องจากร่างกายของเขายังคงเจริญเติบโตแต่ที่ดูจะแข็งแรงเป็นพิเศษก็คือกล้ามเนื้อซึ่งดูขัดกับลำตัวที่เล็กจ้อยของเขาเล็กน้อย
‘แม้ว่าตอนนี้ฉันจะอยู่ในวัฏจักรที่สองในเวลาเดียวกับตอนที่เข้าสู่วัฏจักรแรก แต่จุดฝังเข็มก็ยังคงทำงานได้อย่างเต็มที่ ตอนนี้ร่างกายของฉันน่าจะอยู่ในระดับกลางของอันดับหนึ่ง’
เขาคิดก่อนที่จะจดจ่อกับกระดาษบนมืออีกครั้ง
ข้อความที่ระบุอยู่บนกระดาษคือรายละเอียดของภารกิจและคำชี้แจงถึงเหตุผลที่ผู้พิทักษ์กลุ่มนี้ต้องมารวมตัวกัน
‘หมู่บ้านลิ่วอัน ใช้เวลาเดินทางห้าวันด้วยม้าลงไปทางใต้ ต้องการให้ช่วยเหลือเนื่องจากถูกแมงมุมยักษ์คุกคามอย่างต่อเนื่อง สันนิษฐานว่ารังของแมงมุมเกราะเหล็กอยู่ภายในถ้ำบริเวณใกล้เคียง ภารกิจประกอบด้วยการค้นหาและทำลายรัง’
โนอาห์เลิกสายตายจากกระดาษและมองไปยังใบหน้าเคร่งขรึมของสหายร่วมภารกิจและรอผูนำกลุ่มอธิบายต่อไป
หัวหน้ากลุ่มมีชื่อว่า เมสัน และยังเป็นสมาชิกอาวุโสของผู้พิทักษ์เขตนอกอีกด้วย เขาเป็นชายร่างสูงในวัยห้าสิบปี มีเครายาวสีดำและผมสั้นสีดำ อาวุธคู่กายของเขาคือขนาดสองมือขนาดใหญ่
เมสันรอให้ทุกคนอ่านรายละเอียดภารกิจให้จบก่อนจะพยักหน้าเมื่อเห็นว่าทั้งห้าคนกำลังนั่งจ้องเขาอยู่
“ลำดับแรก พวกเจ้าต้องรู้จักกับแมงมุมหุ้มเกราะเหล็กก่อน มันเป็นสัตว์อันดับสองและนอกจากร่างกายที่แข็งมากๆ แล้ว มันก็ไม่มีความสามารถอะไรที่เด่นชัดอีก ปัญหาเดียวคือพวกมันให้กำเนิดได้รวดเร็วมาก เช่นนั้นรังของพวกมันก็น่าจะเต็มไปด้วยพวกลูกแมงมุมเกิดใหม่อันดับหนึ่ง เราจะดำเนินภารกิจนี้ด้วยวิธีแบบทั่วไป คือ เมื่อไปถึงหมู่บ้าน เราจะตามหาเบาะแสเรื่องรังแมงมุม และกำจัดประชากรแมงมุมไปทีละเล็กทีละน้อย มีคำถามไหม?”
ดูเหมือนจะไม่มีใครมีข้อโต้แย้งใดๆ จนกระทั่งผู้พิทักษ์คนหนึ่งของกลุ่มยืนขึ้นและชี้ไปยังโนอาห์
เขามีดวงตาเพียงข้างเดียวและมีรอยแผลเป็นที่บาดลึกดวงตาที่บุ๋มกลวง ณ ขณะนี้ เขาตัวเตี้ยกว่าเมสันเล็กน้อย หัวโล้น และมีเคราสั้น ถึงแม้เขาจะค่อนข้างสูง แต่รูปร่างอ้วนท้วมและเปรอะเปื้อนด้วยเหงื่อไคล
“ข้ามีคำถามเดียวเมสัน ทำไมเราถึงต้องพาเจ้าเด็กเวรนี่ไปด้วย?”
ผู้พิทักที่เหลือดูจะสนใจในคำตอบของเมสันเนื่องจากชัดเจนว่าพวกเขาก็แครงใจในเรื่องเดียวกัน
โนอาห์ไม่แม้แต่จะแลมองชายอ้วนด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่รอคำตอบจากหัวหน้ากลุ่ม
“ท่านรองสารวัตรส่งเขามา ดังนั้น เขาจะมาช่วยเรา และเบเลอร์ เมื่อภารกิจเริ่มต้น เจ้าต้องเรียกข้าในฐานะหัวหน้ากลุ่ม”
เมสันตอบด้วยน้ำเสียงเรียบแต่คำว่า “ช่วยเรา” ทำให้ชายอ้วนที่ชื่อว่า เบเลอร์ โพล่งเสียงหัวเราะลั่นออกมา
“ข้าว่าอย่างนี้จะดีกว่านะท่านหัวหน้ากลุ่ม ท่านควรพูดว่าส่วนหนึ่งของภารกิจนี้คือการเป็นพี่เลี้ยงเจ้าเด็กนี่เพราะแม่ของเขามัวยุ่งอยู่กับการรับใช้เขตใน ฮ่าๆ ช่วยเรา งั้นรึ?!”
เขาพูดเยาะเย้ยโนอาห์พร้อมใช้แขนคล้องคอเขา
“ไม่ต้องห่วงไปหรอกนะเด็กน้อย เราจะดูแลเจ้าอย่างดี หรือบางทีก็นัดท่านแม่ของเจ้าให้เราเป็นการแลกเปลี่ยน…”
เบเลอร์หยุดพูด หรือจะพูดให้ถูก เขาต้องหยุด
ดาบอีกเล่มหนึ่งจ่ออยู่ที่ดวงตาข้างซ้ายของเขาและเด็กคนที่เขากำลังกอดคอด้วยแขนขวาอยู่นั้นได้หายไป
ไม่นานก็เกิดน้ำเสียงขู่ขวัญดังมาจากด้านข้าง
“อย่าคิดแม้จะแตะต้องตัวข้า เจ้าหมูโสโครก ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้ดวงตาของเจ้ามืดบอดอีกข้าง”
โนอาห์จ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ความเยือกเย็นที่เขากำลังปล่อยออกมานั้นทวีความรุนแรงขึ้นจากพลังงานจิตที่พิเศษของเขา มันทำให้เกิดแรงกดดันที่จะตกอยู่ภายในจิตใจของเบเลอร์ขณะที่ขาของเขาอ่อนแรงลงและคุกเข่าลงกับพื้น แต่ดาบยังคงตามติดดวงตาข้างที่เหลือราวกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
โนอาห์จดจ้องเขาพร้อมใช้แรงกดดันทางจิตกับจิตใจของเบเลอร์
จากนั้นเขาก็เคลื่อนดาบไปหาผู้พิทักษ์ที่ไร้ทากสู้และถอนดาบกลับเมื่อดาบเกือบจะเฉือนเนื้อเขา
หลังจากนั้นโนอาห์ก็นั่งลงที่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น