กำเนิดดาบปีศาจ(BDS) เล่ม1 : บทที่ 17 – สัตว์เวทมนตร์
“หา?”
โนอาห์รู้สึกประหลาดใจตอนแรก แต่ไม่นานเขาก็มีความสุข
เขาเพิ่งมาสังเกตร่างกาย จุดฝังเข็มทั้งเจ็ดกำลังดูดซับ “ลมหายใจ” อย่างเต็มกำลังและขีดจำกัดที่เขารู้สึกเมื่อคืนนี้ก็หายไปแล้ว เขารู้สึกว่าร่างกายเบาลงแต่หนักแน่นและเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง ทั้งนี้ยังดูเหมือนว่าเขามีการรับรู้ “ลมหายใจ” ภายในร่างกายที่ดีขึ้นอีกด้วย เนื่องจากรู้สึกถึงความว่างเปล่าเล็กน้อย
‘ในชีวิตนี้ฉันไม่เคยวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อนและสายตาของฉันก็เหมือนจะดีขึ้น หรือจะสรุปอย่างมีเหตุผลได้ว่า ประสาทสัมผัสของฉันก็น่าจะดีขึ้นด้วยเหมือนกัน’
เขาเอาแต่จ้องมองร่างกายที่มอมแมมด้วยสายตาที่สงสัย เขาต้องเลิกทำตัวให้อาจารย์ต้องต่อว่าได้แล้ว
“แล้วเจ้ายังมัวยืนทำอะไรอยู่อีกล่ะ? ไปอาบน้ำ เจ้าหนูสกปรก!”
วิลเลียมชี้ไปยังประตูตตรงโถงทางเดินขณะใช้มืออีกข้างป้องจมูก
โนอาห์โค้งคำนับอย่างมีความสุขและรีบวิ่งไปที่ประตูบานดังกล่าว ภายในห้อง พบอ่างขนาดใหญ่ที่โนอาห์สามารถใช้เพื่อแช่และมีถังน้ำอยู่รอบๆ อีกหลายใบ
เขาชำระล้างเนื้อตัวด้วยความพิถีพิถันจากนั้นก็หยิบชุดกีโมโนจากกองผ้าตรงมุมห้องขึ้นมาสวมใส่ เมื่อเขาออกมาจากห้อง อาจารย์ของเขาก็กำลังยืนรออยู่ที่โถงทางเดิน เขาอยู่ในชุดออกกำลังกายสีดำรัดรูปพร้อมกับฝักดาบอยู่ด้านหลัง
“ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว เช่นนั้นจงมากับข้า ข้ามีภารกิจต้องไปเก็บสมุนไพรพิเศษ ปัญหาเดียวก็คือกลุ่มของหมาป่าสี่ตาใช้พื้นที่ที่สมุนไพรขึ้นอยู่เป็นรังของพวกมัน พวกมันเป็นเพียงแค่สัตว์เวทมนตร์อันดับหนึ่งและมีระดับที่ต่ำ เช่นนั้นเจ้าสามารถเอาชนะพวกมันได้อย่างง่ายดายแม้จะมีกันถึงสิบห้าตัวก็ตาม จริงๆ ข้าจะรับมือเองคนเดียวก็ได้แต่มันถึงเวลาที่เจ้าต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้จริงด้วยตนเองแล้ว และมันยังช่วยให้เจ้าคุ้นชินกับร่างกายใหม่ร่างนี้อีกด้วย กลับไปห้องของเจ้าและหยิบดาบมา จากนั้นไปพบข้าที่ประตูหลัก”
ความตื่นเต้นของโนอาห์พุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนเกือบจะลืมโค้งคำนับก่อนที่เขาจะจากไป
เขาวิ่งกลับไปที่ตึกอย่างมีความสุขเพื่อหยิบดาบสองเล่มที่เก็บไว้อย่างดีอยู่ในห้องและเนื่องจากเขาไม่มีฝักของดาบทั้งสองเขาจึงมัดดาบแนบไว้ที่เอวด้วยผ้าห่ม
“การต่อสู้เพื่อหมายเอาชีวิต! ครั้งนี้จะแตกต่างจากการที่ต้องต่อสู้กับอาจารย์ และร่างกายของฉันตอนนี้ก็สุดยอดมาก วันนี้ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากวิ่ง แต่กลับไม่มีเหงื่อเลยสักหยด แม้แต่ “ลมหายใจ” ที่กักเก็บอยู่ในร่างกายก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ฉันน่าจะสามารถสู้กับพวกมันได้อย่างน้อยก็เจ็ดครั้งต่อให้ใช้เพียงแค่มือเดียวก็ตาม!”
ข้อดีของร่างกายอันดับหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือการบำรุงรักษาที่รวดเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมง
‘อยากรู้จังว่ามันจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกัน ก่อนฉันจะผ่านไปถึงวัฏจักรที่สองได้’
พลังปริมาณมากที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันทำให้โนอาห์เพิกเฉยต่อความเจ็บปวดและอันตรายจากการรักษา เหลือไว้เพียงแค่ความกระตือรือร้นไม่รู้จบที่จะให้ได้มาซึ่งความแข็งแกร่งที่มากขึ้น
เมื่อเขามาถึงประตูหลังของคฤหาสน์ตระกูลบัลวัน เขาพบวิลเลียมกำลังยืนรอด้วยใบหน้าที่เซื่องซึม พร้อมกระเป๋าหนังใบหนึ่งในมือ
เมื่อมองเห็นสภาพกะรุ่งกะริ่งของโนอาห์ที่ผูกดาบคาดเอวไว้ วิลเลียมก็ส่ายหน้า
“นี่เจ้าลืมขโมยฝักดาบจากตึกผู้พิทักษ์ครั้งที่แล้วมาด้วยงั้นหรือ?”
วิลเลียมพูดเยอะเย้ยศิษย์ก่อนจะโยนกระเป๋าหนังลงตรงหน้าเขา
โนอาห์มองข้างในกระเป๋าและรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นฝักดาบสั้นสองฝักข้างใน พร้อมกับสายเข็มขัดหนังเอาไว้ยึดฝักทั้งสอง
‘เขาเองก็คิดถึงเรื่องนี้ด้วยเหมือนกันสินะ’
เขายิ้มเมื่อเห็นว่าอาจารย์ของเขาใส่ใจในรายละเอียดเพียงใด
เขารีบสวมใส่อุปกรณ์ทันที เมื่อเสร็จเขาก็คำนับต่ออาจารย์อย่างสุดซึ้งเพื่อพยายามแสดงความขอบคุณต่อเขาทั้งหมด
วิลเลียมพยักหน้า แม้เขาจะยังเป็นเพียงแค่เด็ก แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับนักรบฝีมือดีคนหนึ่ง
ไม่มีอาจารย์ท่านไหนที่ชอบลูกศิษย์ในสภาพโกโรโกโส รูปร่างหน้าตาของลูกศิษย์สะท้อนถึงตัวตนของผู้เป็นอาจารย์
“ตามมา เราจะวิ่งตรงไปยังรังของหมาป่าทันทีและจัดการพวกมัน”
โนอาห์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เราไม่ใช้ม้าหรือขอรับ?”
ม้าเป็นพาหนะหลักสำหรับการเดินทาง ณ โลกที่ดูเหมือนจะอยู่ในยุคกลางเช่นนี้ และคอกม้าก็ตั้งอยู่ตรงหน้าประตูหลักเพื่อให้ทันต่อความต้องการใช้งานในทันที
“ตอนนี้เจ้าคือผู้ฝึกตน เว้นแต่เจ้าจะเป็นประเภทพวกอ่อนแอ ร่างกายของเจ้าก้าวมาถึงอันดับหนึ่ง ถึงแม้จะเร็วไม่เท่าม้า แต่ก็ยังคงวิ่งได้เร็วอยู่ดี นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าเจ้าคงลืมไปแล้วว่าเรากำลังจะไปต่อสู้กับสัตว์เวทมนตร์ เพียงแค่ม้ามองเห็นพวกมันก็วิ่งเตลิดหนีไปแล้ว ไปเถอะ ข้าจะอธิบายในรายละเอียดเพิ่มเติมขณะที่เราวิ่งไป”
วิลเลียมออกจากประตูและเริ่มวิ่งไปพร้อมกับโนอาห์ผู้ที่พยายามรุดรีบวิ่งตามให้ทัน
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่โนอาห์ได้ออกมานอกบริเวณคฤหาสน์และอดไม่ได้ที่จะมองรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น มีทุ่งหญ้าสีเขียวขนาดใหญ่รายล้อม เห็นเทือกเขาสูงจากระยะไกล และป่าเอเวอร์กรีน
เมื่อวิลเลียมเห็นพฤติกรรมของโนอาห์ก็ยิ้มออกมา ขณะเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เขาจดจ่อกับการวิ่งตามให้ทัน
‘นี่จะเป็นการต่อสู้ครั้งแรกของเจ้า และแทนที่จะรู้สึกเป็นกังวลเจ้ากลับเสียเวลาไปกับการชมทิวทัศน์รอบๆ เจ้ายังคงเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำจริงๆ’
โนอาห์และวิลเลียมเพิ่มความเร็วตรงไปยังทิศทางของป่าที่จะใช้เวลาถึงสามวันหากขี่ม้า
หลังจากวิ่งมาราวสิบห้านาที ก็ห่างไกลออกมาจากคฤหาสน์ได้ระยะหนึ่งแล้ว จากนั้นวิลเลียมก็เริ่มอธิบาย
“หมาป่าสี่ตาเป็นสัตว์เวทมนตร์ที่มีขนาดสามเมตร มีขนสีเหลืองซีด และตามชื่อของมัน สี่ตา โดยที่คู่หนึ่งอยู่ที่ด้านข้างศีรษะ การโมตีของมันมีทั้ง การข่วน การกัดเช่นหมาป่าทั่วไป และคลื่นกระแทกทางจิตเพื่อเขย่าขวัญศัตรูชั่วขณะ ด้วยจิตใจที่มั่นคงของเจ้า จงยืนหยัดเพื่อรับการโจมตีนั่นให้เหมือนกับการเดินเล่นในสวน เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล”
โนอาห์ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อบดบังสีหน้าที่ซับซ้อนของตน
เหตุผลคือ ไม่ว่าอาจารย์ของเขาจะมีพลังงานจิตระดับไหนก็ตาม เขาจะมีมากกว่าที่คิดเสมอ
‘ฉันรู้ว่าฉันไว้ใจเขาได้ แต่การที่ได้มาอยู่กับเขากลับไม่มีข้ออธิบายถึงเหตุผลได้เลย ฉันจะต้องทำให้เขาคิดว่าฉันพยายามอย่างมากและมีความชำนาญที่สูง’
วิลเลียมไม่ทันสังเกตสีหน้าอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของลูกศิษย์และยังคงอธิบายต่อไป
“ก่อนหน้านี้ที่ข้าพูดว่าหมาป่าสี่ตาเป็นสัตว์เวทมนตร์อันดับหนึ่ง ฉะนั้นข้าคิดว่าคงถึงเวลาที่ต้องอธิบายเรื่อง อันดับ ของสัตว์เวทมนตร์ มนุษย์เป็นผู้กำหนดอันดับให้กับสายพันธุ์ของสัตว์เหล่านี้โดยพิจารณาจากคุณลักษณะที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกมัน ตัวอย่างเช่น หมาป่าสี่ตามีร่างกายอันดับหนึ่ง แต่การโจมตีทางจิตต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ดังนั้นที่จัดให้สายพันธุ์ของมันอยู่อันดับหนึ่งเพราะพิจารณาจากร่างกายของพวกมัน”
โนอาห์รู้สึกสนใจกับคำอธิบายส่วนนี้มากๆ เนื่องจากเขาไม่เคยอ่านรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับโลกแห่งผู้ฝึกตนมาก่อนเนื่องด้วยความจริงที่ว่าตำราทุกเล่มที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ล้วนอยู่ในห้องสมุดของตึกเขตใน
เขากำลังจะถามว่ามังกรที่เคยโจมตีคฤหาสน์เมื่อสิบปีก่อนจัดอยู่อับดับที่เท่าไหร่ แต่วิลเลียมกลับพูดขึ้นก่อน
“แต่สวรรค์และโลกยังคงยุติธรรม และเนื่องจากมนุษย์มีสติปัญญาที่สูงกว่าจึงสามารถสร้างเคล็ดวิชาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่มากกว่า สัตว์เวทมนตร์จึงมีกระบวนการเจริญเติบโตที่ง่ายกว่า นอกจากเรื่องการดูดซับ “ลมหายใจ” โดยธรรมชาติแล้วพวกมันจะแข็งแกร่งขึ้นโดยกลืนกินชีวิตที่เต็มไปด้วย “ลมหายใจ” เช่นสัตว์เวทมนตร์หรือผู้ฝึกตน สิ่งนี้ทำให้เกิดความก้าวร้าวโดนสันดานในพฤติกรรมของพวกมัน และมักทำให้เกิดการกินเนื้อเป็นอาหารขึ้นภายในกลุ่ม”