บทที่ 276 – ทำไมมีแค่ฉันล่ะ (2)
“นี่มันบ้าอะไรกันเนี้ย? มีคนมาจากต่างโลกตั้งแสนกว่าคน!”
เลียร่ามองผ่านไหล่ยูอิลฮานไปได้เห็นภาพคนที่อยู่เต็มพื้นที่ ก่อนที่เธอจะแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา ยูอิลฮานก็ได้แต่หยักไหล่ตอบกลับไป
“เธอก็เป็นคนพาคนพวกนั้นกลับมาเหมือนกันนี่”
“นั่นก็จริง แต่ว่า…”
“ตลกจังเลยที่พวกเขาขยับช้าม๊ากมาก~ อิลฮานนายควบคุมความเร็วของเวลาไม่ได้หรอ? ความเร็วน่ะ!”
“ตอนนี้มันยังไม่มีฟังก์ชั่นขั้นสูงแบบนั้นหรอก แล้วก็ทุกคนปล่อยฉันได้แล้ว”
“อ๊าาา”
พรรคพวกของยูอิลฮานทุกๆคนได้มารวมตัวกันแล้ว ทุกๆคนต่างก็เข้ามาเกาะเขาเหมือนกับจะมาขอลูกอมจากเขาทำให้ยูอิลฮานรู้สึกรำคาญมากก่อนที่จะดันทุกๆคนถอยกลับไป จากนั้นก็หันไปถามเอิลต้า
“ไม่มีคนที่สามารถจะต้านทานวงเวทย์ได้นอกจากพวกเราใช่ไหม?”
“ตอนแรกก็ใช่ แต่ยังไงก็ตามหลังจากที่มีคนบางส่วนรู้ตัวว่าพวกเราเคลื่อนไหวเร็วเกินไป พวกเขาก็น่าจะสังเกตุเห็นถึงเวทย์ที่ร่ายบนโลกนี้อยู่ แน่นอนว่านั่นก็ไม่ได้เปลื่ยนอะไรหรอก แต่ก็มีอยู่สามคนที่พอจะต่อต้านการเคลื่อนไหวได้ 40%”
สามคนนั้นก็คือคาริน่า มาลาเทสต้าแห่งมาเกีย มิเชล สมิธสันแห่งอัศวินโลหะ และทาคากากิ อสึฮะแห่งจอมเวทย์มังกร
สำหรับคนพวกนี้ยูอิลฮานรู้ว่าอีกไม่นานพวกเขาก็จะต้องมาถึงคลาส 4 ได้ในเวลาสั้นๆแน่นอน เมื่อคำนวนจากการที่ฮานเยรังได้เป็นผู้นำของโลกๆหนึ่งในตอนที่อยู่คลาส 3 แล้ว คนพวกนี้มีความสำเร็จที่น่าทึ่งมาก
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ?”
“บางทีอาจจะเป็นเพราะมีความสำเร็จบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ก็ได้ ตามปกติแล้วต่อให้เป็นคลาส 4 ก็ยังต้านวงเวทย์เวลาไม่ได้เลย แต่ผู้คนบนโลกนี่คงจะประหลาดกันมากๆ”
“มิเชล สมิธสัน หมอนี่เมื่อก่อนดูไม่มีราศรีอะไรเลย แต่ดูเหมือนเขาจะได้ผ่านอะไรมากมาย มนุษย์นี่น่าสนใจมาก”
[เฮ้อ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาต้องปกป้องโลกที่เป็นจุดสนใจของพวกหนอนแมลงทั่วมั้งจักรวาล ที่รักจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดีล่ะ]
“ฉันจะพยายาม”
ยูอิลฮานได้เรียกทั้งสามคนนั้นมา แต่ว่าเพราะทั้งสามคนนี้ก็ยังได้รับผลจากวงเวทย์อยู่ทำให้การคุยกันเป็นเรื่องยากมาก แต่ยูอิลฮานก็ได้อดทนจนถึงขีดสุดเพื่อพูดกับคนพวกนี้ เนื้อหาที่เขาบอกก็ง่ายมากๆ
“พวกนายอยากจะมาฝึกในนาฬิการทรายแห่งกาลเวลากับเราไหม”
“แน่นอนสิ!” (ตอบแบบช้าลง 2.5 เท่า)
ทาคากากิ อสึฮะได้ตอบกลับมาทันที ในขณะที่คาริน่า มาลาเทสต้ากับมิเชล สมิธิสันได้มองกันเองเล็กน้อยก่อนจะหยักหน้าออกมา
“โอเค” (ตอบแบบช้าลง 2.5 เท่า)
“ฉันจะไป” (ตอบแบบช้าลง 2.5 เท่า)
พอได้รับคำตอบมาแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรในต้องลังเล ยูอิลฮานได้สร้างบาเรียครอบทั้งสองป้อมปราการในทันที ในบาเรียนี้มีพรรคพวกของยูอิลฮาน หัวหน้ากิลด์ทั้งสามคน และกองทัพมังกรที่ไม่ได้รับผลจากวงเวทย์เลย
“ว้าว นี่มันกว้างกว่าเมื่อก่อนอีกนะ~”
“แม้ว่าจะอยู่ภายในบาเรียนี่ผลจากวงเวทย์ก็ไม่ได้หายไป หืม ดูเหมือนแรงกดดันบนร่างฉันจะลดลงไปเล็กน้อยนะ”
คิมเยซอลได้พูดออกมาอย่างตรงใจในระหว่างมองไปรอบๆบาเรีย ยังไงก็ตามคนที่ตกใจมากที่สุดก็คือหัวหน้ากิลด์ที่ได้เข้ามาที่นี่
“ฟู่ ในที่สุดตอนนี้ฉันก็ขยับตัวได้ดีขึ้นแล้ว!”
“โอ้ ตอนนี้ฉันพูดได้เร็วขึ้นล่ะ”
“ฟู่ววว”
พวกเขาสามารถจะต้านทานวงเวทย์ได้ระดับหนึ่งอยู่แล้ว และบวกกับอาร์ติแฟคระดับเทพเจ้าที่ช่วยต้านทานผลจากเวทย์อีกทำให้ ตอนนี้พวกเขาสามารถกลับมาพูดตามปกติได้
“อ๊ากกกกกก”
หลังจากที่มิเชล สมิธสันขยับร่างกายได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เขาก็หันหน้าไปหายูอิลฮานและตะโกนออกมาดังๆทันที
“นายทำอะไรกับโลกกัน นายคนลึกลับ! ฉันคิดว่าฉันตามนายทันแล้ว แต่ก็ไม่ทันอยู่ดี!”
“ในเมื่อโลกพัฒนาขึ้นเร็วเกินไป ฉันก็ได้แต่ทำแบบนี้ นายเข้าใจฉันใช่ไหมล่ะ? ถึงจริงๆฉันจะไม่ได้ต้องการให้นายต้องเข้าใจก็เถอะนะ”
“อ๊ากกกก! นายทำให้ฉันต้องหงุดหงิดเสมอเลย!”
ในเวลาเดียวกันทาคากากิ อสึฮะก็ได้ตะโกนมาทางยูอิลฮานด้วยสายตาเป็นประกาย
“น่าทึ่งมากเลยท่านซูซาโนะ! ในตอนนี้ท่านควบคุมมิติเวลาได้แล้ว!”
“ไม่หรอก นี่เป็นพลังของพรรคพวกของฉัน…”
“น่าทึ่งมาก! ฉันรู้อยู่แล้วว่าท่านคือเทพซูซาโนะกลับมาเกิดใหม่”
“เฮ้ นี่เธอไม่ได้ฟังฉันเลยนะ”
“อ๊าา ท่านซูซาโนะ…!”
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะพอมองออกว่าเธอมีโอกาสแบบนี้ แต่ว่าเธอก็ยังเก็บมันเอาไว้อยู่ แต่หลังจากเธอได้เห็นยูอิลฮานข้ามมิติไปมาและร่ายเวทย์แบบส่งผลทั่วทั้งโลกแบบนี้ได้ทำให้สายตาที่เธอมองเขาเปลื่ยนไป ในตอนนี้สายตาของเธอไม่ต่างกับพวกเอลฟ์เลย สายตานี้มันมากยิ่งกว่าแค่ชื่นชมแล้ว
“ท่านซูซาโนะเท่จัง”
“จริงๆสินะ ผู้หญิงคนนี้ก็หมดหวังไปแล้ว”
เขาได้บ่นออกมาแล้วก็หันไปหาคนสุดท้ายนั่นคือคาริน่า มาลาเทสต้า และเขาก็ได้เห็นเธอกำลังสูดหายใจเข้าลึกๆอยู่
“เฮ้ ทำไมเธอถึงสูดหายใจ… โอ้”
“ฮ่าห์!”
“คุณมาลาเทสต้า? อั๊ก”
คาริน่า มาลาเทสต้าได้เข้าไปจู่โจมมิเชล สมิธสันก่อนที่ยูอิลฮานเข้าไปห้ามทัน การโจมตีนี้ของเธอไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรมากนัก เธอได้ใส่เข่าเข้าที่ท้องของมิเชลจนเขาล้มลงและจัดการโจมตีลงไปด้วย ‘จูบ’ แล้วก็เพราะเข่าของเธอมีเวทย์อัมพาตอยู่ทำให้มิเชล สมิธสันไม่อาจต่อต้านได้เลยสักนิดเดียว
“อุ๊บบ! อุ๊บบบบ!?”
“อยู่นิ่งๆ”
“…ดูเหมือนเธอจะเคลียดมามากสินะ”
ยูอิลฮานได้ตัดสินใจปล่อยแม่เสือสาวคาริน่า มาลาเทสต้ากับกระต่ายน้อยน่าสงสารมิเชล สมิธสันเอาไว้เพียงลำพังซักพักหนึ่ง คนที่กำลังมองฉากที่น่าตกใจก็มองได้ไม่นานเพราะได้มีบาเรียโผล่ขึ้นมาปิดกั้นเอาไว้ทำให้พวกเขาต้องไอแห้งๆและหันหน้าไปทางอื่น
“ถ้างั้นเราไปทำงานของเรากันดีกว่า”
“พ่อครับ ผมต้องทำอะไรหรอ?”
“มิลแค่ไปกินเนื่อมังกรแล้วก็แช่อ่างแห่งปาฏิหาริย์ก็พอแล้วลูก ถ้าลูกเบื่อก็ฝึกใช้สกิลแล้วกันนะ”
“ได้เลยครับผม!”
ยูอิลฮานได้เอาอ่างแห่งปาฏิหาริย์ที่เต็มไปด้วยเลือดของอิชจาร์มาวางไว้ที่มุมหนึ่ง เขาได้อธิบายให้กับพรรคพวกของเขาที่กำลังมองมาที่อ่างแห่งปาฏิหาริย์อย่างเป็นประกาย
“นับจากนี้เราทุกคนจะแบ่งกันใช้อ่างนี่ เรามีคนเยอะกันมากเพราะแบบนั้นในตอนที่อาบน้ำเราที่มีเพศเดียวกันก็น่าจะต้องไปพร้อมๆกันหลายๆคน เด็กๆกองทัพมังกรก็ยังตัวเล็กกันอยู่เพราะงั้นพวกเขาน่าจะลงไปอาบได้ทีล่ะหลายๆคนนะ”
[อาบน้ำรวมกับที่รักงั้นหรอ? น่าสนใจจริงๆ]
“ฉันบอกว่าแยกตามเพศไงล่ะ”
เขาได้ขัดเฮเรียน่าและอธิบายต่อไป
“ถึงฉันจะไม่มั่นใจ แต่ก็คิดว่ามีโอกาศสูงที่อ่างแห่งปาฏิหาริย์จะนำเราไปสู่เส้นทางของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงได้ ต่อให้มันไม่ใช่แบบนั้น ฉันก็เชื่อว่าหากฉันผสานเลือดมังกรกับอ่างนี้ได้สำเร็จฉันก็น่าจะได้ความสามารถใหม่ๆแน่นอน เพราะงั้นทุกๆคนควรจะมาอาบมันเป็นระยะๆนะ”
“ครับ”
“เข้าใจแล้ว”
สิ่งต่อมาแน่นอนว่ามันคือสิ่งที่ทุกๆคนต้องทำนั่นคือการฝึก ภายในบาเรียที่สร้างจากนาฬิกาทรายแห่งนี้เป็นที่ที่เดียวที่พวกเขาสามารถจะฝึกได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอะไร
“การที่เราได้เวลาสองเดือนมาในขณะที่ข้างนอกผ่านไปไม่ถึงวินาที นี่มันคืออาร์ติแฟคที่น่าทึ่งจริงๆ…”
“อืมม ฉันก็ไม่มั่นใจหรอกนะว่ามันจะแค่สองเดือนน่ะ”
ยูอิลฮานได้แย้งคังมิเรย์ที่พึมพัมกับตัวเองออกไป เขาได้มองไปที่นาฬิกาทรายแห่งการเวลา หลังจากบาเรียได้ถูกใช้งานนาฬิกาทรายแห่งการเวลาก็ได้ผลิกกลับและทรายเริ่มหล่นลงอีกครั้งหนึ่ง ยังไงก็ตามความเร็วในการร่วงหล่นของมันช้ามากๆแล้วจากที่เห็นมันไม่นานจะร่วงหมดจนครบภายในแค่สองเดือนแน่
“อิลฮาน นี่คือ…”
“ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ เวทย์ชะลอเวลาที่ถูกร่ายไว้ทั่วโลกได้ทำให้ระยะเวลาคูลดาวน์ของนาฬิกาทรายช้าลงไปด้วย นี่แหละเป็นเหตุผลที่ทำไมฉันถึงคิดว่าระยะเวลาของบาเรียถึงจะได้รับผลไปด้วยแล้วก็นะ… แล้วก็ดูเหมือนฉันจะคิดถูกล่ะ”
“นี่มัน…ข้อผิดพลาด”
เลียร่าได้แต่พึมพัมกับตัวเอง ยูอิลฮานได้หยักหน้าเห็นด้วยกับเธอ เอิลต้าก็คิดว่านี่มันบ้ามากๆเหมือนกัน
“เวทย์นี่ได้ผลกับอาร์ติแฟคระดับพระเจ้าด้วยงั้นหรอ!? ถ้าแบบนี้ฉันชักจะสงสัยแล้วว่าเราเคลื่อนไหวตามปกติภายใต้ผลจากเวทย์นี่ได้ไงกัน!”
“อืมม นั่นก็คงเพราะความหัวดื้อแล้วก็ดื้อรั้นล่ะมั้ง”
“ถ้านายจะธิบายทุกๆอย่างด้วยคำพูดแบบนี้ล่ะก็มันผิด!”
“เธอก็ชอบพูดเรื่องผิดๆให้ฟังฉันบ่อยๆนี่”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ของยูอิลฮานได้ทำให้เอิลต้าโมโหขึ้นมา เธอได้พับแขนเสื้อขึ้นมาทันที ท่าทางนี้ของเธอดูน่ารักมาก
“แต่ว่ามันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ”
“ใช่แล้ว ตอนนี้มันกำลังเป็นไปด้วยดี”
“อ๊าาาาา”
ระหว่างเอิลต้ากำลังสับสนอยู่ ยูอิลฮานก็ยกนิ้วขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“มีความหัวรั้นให้ตัวเธอมากขึ้นเลยน้า!”
“เงียบไปเลย”
[แล้วถ้างั้น?]
เฮเรียน่าที่ดูใจเย็นกว่าคนอื่นๆได้มองไปที่ยูอิลฮานและถามออกมา
[บาเรียนี่ที่รักจะคิดว่ามันจะอยู่นานแค่ไหน?]
“จากที่ดูสภาพของนาฬิกาทรายในเวลานี้ ดูเหมือนจะมีเวลาอยู่ประมาณปีครึ่ง”
[บาเรียจะใช้งานได้ในทุกๆสองเดือนเพราะที่รักจะคอยไปตระเวนอยู่ที่โลกอื่น เพราะงั้นเราน่าจะมีโอกาสอีกมากที่จะเข้ามาอยู่ภายในบาเรียนี่ก่อนโลกจะกลายเป็นโลกระดับสูง]
“อ่า ใช่แล้ว”
[ที่รัก… น่าทึ่งจริงๆ]
นี่คือข้อดีแรกที่ยูอิลฮานได้รับมานับตั้งแต่ที่ได้ใช้ชีวิตบนโลกเพียงลำพังเป็นพันปี ภายในบาเรียนี่อย่างน้อยที่สุดเลยเขาก็จะมีเวลาในการฝึกฝนความเชี่ยวชาญสกิลแล้วก็ทำหัตถรรมมานา
เมื่อยูอิลฮานใกล้จะอธิบายเรื่องระยะเวลาของบารียจบลงและให้ทุกๆคนไปทำหน้าที่ของตัวเอง ในที่สุดแล้วคาริน่า มาลาเทสต้าก็ได้ปล่อยมิเชล สมิทสันออกมาอย่างพึงพอใจ
“ฟู่่”
แม้ว่าเธอจะเพิ่งจู่โจมชายคนหนึ่งมาแต่เธอก็ยังคงเลียริมฝีปากอย่างใจเย็น เธอดูน่ากลัวมากๆ ยูอิลฮานได้รู้สึกสงสารมิเชล สมิธสันเป็นครั้งแรกเมื่อเขาได้เห็นมิเชล สมิธสันยืนตัวสั่นอยู่
“คะ คุณมาลาเทสต้า…”
“เรียกฉันว่าคาริน่า เข้าใจไหม?”
“…คาริน่า”
“เยี่ยมมาก มีเพียงแค่คนในครอบครัวของเรา แล้วก็อาจารย์เท่านั้นที่เรียกชื่อนี้ ในตอนนี้ครอบครัวของฉันกับอาจารย์ได้กระจัดกระจายไปต่างโลกบนแล้ว เพราะงั้นบนโลกใบนี้มีแค่นายคนเดียวที่ชื่อฉัน จำเอาไว้ให้ดีล่ะ”
“ขะ เข้าใจแล้ว ช่วยเรียกฉันว่ามิเชลเหมือนกันนะ”
“นั่นแหละคือคำตอบที่ฉันอยากจะได้ยิน”
สีหน้าของคาริน่า มาลาเทสต้าได้สดใสขึ้นราวกับเธอได้รับชัยชนะในอะไรบางอย่างมา บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าหลายปีที่เธอถูกส่งไปต่างโลกจะทำให้เธอเจอเรื่องยากลำแบกแล้วแกร่งขึ้นมาก็ได้! ในอดีตมิเชล สมิธสันมักจะดูชอบพอคังมิเรย์ แต่ว่าพอมาดูในตอนนี้ดูท่าแล้วการเข้าหาที่รุนแรงของคาริน่า มาลาเทสต้าจะได้ผลเป็นอย่างมาก
หลังจากเธอได้จัดการธุระของเธอจบลงแล้ว เธอก็ได้หันกลับมาหายูอิลฮาน
“แม้ว่าฉันจะทักทายช้าไป… แต่ว่าก็ขอบคุณนะคุณยูอิลฮาน ขอบคุณคุณมากๆที่ทำให้ในที่สุดฉันก็ได้มาเจอกับคนที่ฉันรัก”
คาริน่า มาลาเทสต้าดูเหมือนจะทิ้งนิสัยหญิงสาวจอมหยิ่งไปแล้ว เธอได้ก้มหัวให้กับยูอิลฮานอย่างสุภาพ ยังไงก็ตามยูอิลฮานยิ่งมีความรู้สึกยินดีกับความจริงใจของเธอมากกว่าการเปลื่ยนทัศนคติของเธอซะอีก
ในที่สุดแล้วภาระที่อยู่ในใจของเขาหลังจากได้ยินว่าเขาจะต้องปกป้องโลก ในที่สุดก็ลดลงไปเล็กน้อยแล้ว
“เอาเถอะ… ฉันก็ดีใจนะที่ช่วยเธอได้”
“น่าจะมีอีกหลายๆคนที่เป็ฯเหมือนฉัน เหล่าคนที่ทุกข์เพราะเสียคนรักไป เหล่าคนที่แยกไปจากเพื่อนสนิม รวมไปถึงเหล่าคนที่เสียครอบครัวและลูกๆไปด้วย”
ดวงตาคาริน่า มาลาเทสต้าได้เป็นประกาศขึ้นมา
“เพราะแบบนั้นได้โปรดให้ฉันช่วยนายทำให้คนเหล่านั้นได้กลับมาเจอกันอีกครั้งเถอะนะ”
“ได้เลย… ได้แน่นอน นับจากนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ”
“นับจากนี้ฉันก็จะตามนายในฐานะที่นายเป็นผู้นำ เชิญมอบคำสั่งมาเลย”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ยูอิลฮานได้คิดครู่หนึ่งก่อนจะมองไปที่ทาคากากิ อสึฮะกับมิเชล สมิทสันและพูดออกมา
“ถ้างั้นฉันจำทำให้พวกนายเลเวลขึ้นก่อน เลเวลพวกนายยังต่ำเกินไป”
“ฉันก็ได้คลาส 4 มาแล้วนะ ถึงนั่นจะต่ำกว่านาย…. แต่นี่ยังตองเพิ่มเลเวลอีกหรอ? แล้วทำยังไงล่ะ ที่นี่ไม่มีมอนสเตอร์เลยนะ”
ยูอิลฮานได้หันหน้าไปทางหนึ่ง และจากนั้นก็ชี้ไปที่ที่มีแค่เอิลต้าเท่านั้นที่ยืนอยู่
“เอิลต้า เธออัญเชิญมอนสเตอร์มาที่นี่ได้ใช่ไหม? พวกมอนสเตอร์ที่อยู่บนโลกน่ะ”
“นายมาพูดเรื่องไร้ความรับผิดชอบอีกแล้วนะ…”
“ถ้าเธอทำไมได้งั้นก็…”
ยูอิลฮานกำลังจะพูดแผนสองออกมา แต่แล้วเอิลต้าได้ยิ้มตอบกลับเขามาอย่างมั่นใจ
“ฉันทำได้สบายๆอยู่แล้ว”
“เฮๆ นี่เธอหัดจะหลอกคนอื่นแล้วงั้นหรอ”
“ก็มีใครบางคนหลอกฉันมาตลอดนี่นา”
เอิลต้าได้ยกมือขึ้นมาหลังจากที่มองดูเหล่าหัวหน้ากิลด์ที่กำลังตกตะลึงกันอยู่
“เอาล่ะ ถ้างั้นพวกนายทุกคนเตรียมตัวต่อสู้แล้วนะ?”
“เดี๋ยวก่อนสิ พวกเราสามคนไม่เคยสู้ร่วมกันมา…”
“แค่นี้ก็พอแล้ว”
เมื่อเอิลต้าได้สะบัดมือลงขัดคำพูดของมิเชล สมิธสันก็ได้มีมอนสเตอร์ขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมาเบื้องหน้าพวกเขาทั้งสามคน แน่นอนว่านี่คือมอนสเตอร์ปีศาจที่มีเลเวล 200 ปลายๆ จากร่างกายที่สั่นอยู่ของมันทำให้แน่ชัดว่ามันคือปีศาจสั่นสะเทือน
“ตอนนี้พวกนายก็สู้กันได้เลย”
“เธอมันปีศาจจจจจ!!!”
[ก๊าซซซซซซซซซ]
จากแบบนี้การจะยกระดับพวกเขาจึงได้ผ่านไปแล้วอย่างราบรื่น