บทที่ 275 – ทำไมมีแค่ฉันล่ะ (1)
กองกำลังพันธมิตรแนวหน้าไม่ใช่ว่าทุกคนจะยินดีกลับมาที่โลก โดยเฉพาะพวกคนที่รู้ถึงศักยภาพถึงสิ่งมีชีชีวิตชั้นสูงดี พวกเขาไม่ชอบการที่จะต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อทำให้โลกลับมาเป็นปกติ
‘ฉันไม่คิดว่าการใช้ชีวิตแบบนี้มันแย่นะ’
นี่… เป็นคำพูดมาจากหนึ่งในสมาชิกของพันธมิตรแนวหน้าที่เขาไม่รู้จักชื่อ เขาคนนั้นได้หยักไหล่และพูดออกมา
“ฉันไม่เห็นรู้สึกว่าฉันจำเป็นต้องเอาชีวีตไปเสี่ยงเลยนี่ โอ้ ฉันไม่ได้จะว่าว่านายเป็นคนโง่หรอกนะ แล้วก็ไม่ได้คิดว่านี่เป็นเรื่องไร้ความหวังนะ แต่ยังไงก็ตาม… มันมีหลายๆอย่างได้เปลื่ยนแปลงไปแล้ว การที่จะทำให้ทุกๆอย่างกลับไปเหมือนเดิมมันก็ดี แต่ฉันไม่มีความสามารถที่จะทำแบบนั้น”
“…”
“ไม่ใช่ว่าทุกๆคนกำลังไปได้ดีในต่างโลกหรอกหรอ? แต่ว่าจากคำพูดของนายไม่ใช่ว่าโลกนี้กลายมาเป็นอันตรายกว่าต่างโลกอีกหรอกหรอ? ถ้าแบบนี้ไม่ใช่ว่าการอยู่ต่างโลกมันจะมีความสุขแล้วก็มีความปลอดภัยกว่าหรอ? พวกเราทุกคนก็คิดกันแบบนี้แหละ”
ใช่แล้ว ยูอิลฮานก็คิดว่าจะต้องมีคนพูดแบบนี้… แต่ว่าเขาก็ได้ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“นายคิดว่าแบบนั้นมันดีแล้วจริงๆน่ะหรอ?”
“…”
หลังจากได้ยินคำพูดของยูอิลฮาน เขาคนนี้ก็ได้เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าหนีและตอบกลับมาเบาๆ
“ดูสิ ฉันไม่ได้แกร่งแบบนายนะ… เพราะแบบนั้นฉันไม่เคยคิดถึงการสู้กับทูตสวรรค์เลย ถ้าฉันมีพลังที่มหาศาลแบบนาย ฉันก็จะทำเท่แบบนายเหมือนกันนั่นแหละ แต่ว่าฉันไม่ใช่ไงล่ะ จะดูถูกฉันยังไงก็ได้นะ… แต่ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่รวมถึงฉันก็มีสิ่งที่เรียกว่าขีดจำกัดในความกล้ากับพรสวรรค์เหมือนกัน”
“…”
ยูอิลฮานได้ล้มเลิกที่จะชักจูงต่อ เขาได้เลือกปล่อยคนพวกนี้เอาไว้และเปิดใช้สกิลข้ามมิติกลับไปสู่โลก
ยูอิลฮานเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมาจากใบหน้าเลย แต่ว่าโอโรจิที่แชร์อารมณ์ที่ซับซ้อนกันนิดๆได้พูดกับยูอิลฮานที่ไม่ปกติเอามากๆในสายตาของเขา
[นายท่านคงไม่ลืมหรอกนะว่านายท่านนั่นเป็นกรณีที่พิเศษ? ปฏิกิริยาของคนพวกนี้เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมากๆ จริงๆแล้วพวกคนที่แปลกน่ะคือคนที่ตามนายท่านโดยไม่ลังเลต่างหาก]
“แน่นอน ฉันก็รู้ว่าฉันโชคดีมากๆ”
แม้ว่าเขาจะไม่อยากนับช่วงเวลาพันปีที่เขาถูกถึงบนโลกว่าเป็นโชคดี แต่ว่าหากไม่ใช่แบบนั้นเขาก็คงอาจจะมาถึงในจุดๆนี้ไม่ได้ เพราะแบบนี้มันก็เลยกวนใจเขาอยู่
ยังไงก็ตามโอโรจิก็ดูจะไม่ชอบในคำตอบของเขาและถอนหายใจออกมา
[ข้าจะไม่พูดอะไรหากว่านายท่านอยากจะบอกว่านั่นคือโชค แต่ว่านายท่านไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเองเลย ข้าคิดว่านายท่านควรจะมั่นใจในตัวเองให้มากกว่านี้นะ]
“ฉันรู้ว่านายอยากจะบอกอะไร… ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันที่ฉันจะพูดคำแบบนั้นได้จะเป็นตอนไหน แต่ก็ขอบคุณนะ”
[ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกๆคนก็จะเปลื่ยนแปลงไป แม้ว่าข้าจะพูดไม่ได้ว่าข้า ‘มีชีวิต’ ก็ตาม… แต่ว่าข้าก็ยังรู้สึกยินดีที่ข้ารู้สึกว่าข้าเปลื่ยนแปลงตัวเองไปเล็กน้อย]
“นี่นายพูดว่า ‘เล็กน้อย’ งั้นหรอ?”
[ถ้านายท่านรู้ว่าข้าไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะขอบคุณนายท่าน นายท่านก็ควรจะรู้ดีนะว่าการแสดงความขอบคุณของข้าน่ะมันเป็นเรื่องที่ปาฏิหาริย์ในตัวข้าเองมาก ฮ่าฮ่า]
“พรืดดด”
การคุยกับโอโรจิได้ทำให้ยูอิลฮานถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ครั้งหนึ่งเขาเคยสู้เอาชีวิตกับโอโรจิ แต่แล้วนี่มันน่าตลกมาที่พวกเขามาคุยกันอย่างจริงใจในตอนนี้
ทุกๆคนต่างก็เปลื่ยนแปลงไปไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตาม นี่คือสิ่งที่ทุกๆชีวิตต้องเจอและยูอิลฮานก็ไม่เว้น เขาไม่อาจจะจำความรู้สึกในตอนที่เขาโดดเดี่ยวได้แล้ว
ถ้าเขารู้แบบนี้ บางทีเขาก็น่าจะปฏิบัติกับเลียร่าที่อยู่กับเขาในระหว่างพันปีต่างไปจากเดิมนิดๆนะ นี่มันคือสิ่งที่เขารู้สึกเสียใจเรื่องหนึ่งเลย
แต่ว่าชั่งเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้วกัน
“โอโรจิ แล้วนายไม่อยากได้ร่างกายหรอ?”
[สำหรับตอนนี้ ข้ารู้สึกสนุกมากๆแล้วที่ได้อารวาดไปในฐานะอาวุธของนายท่าน เพราะแบบนี้ข้าก็เลยไม่ได้ต้องการแบบนั้น หืมม ข้าเข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะขอทีหลังแล้วกันนะ]
“คราวหลังสินะ โอเค ฉันจะจำไว้”
ยูอิลฮานคิดว่าหากเขาใช้ร่างของอิชจาร์มาก็น่าจะได้รับผลลัพธ์ที่น่าสนใจออกมา แต่ว่าเพื่อที่จะทำแบบนั้นเขาจะต้องยกระดับพลังของโอโรจิขึ้นอีกนิด สำหรับตอนนี้มันยังเป็นไปไม่ได้
[ดูแล้วนี่คนไม่ใช่ความปราณีที่มีต่อข้า แต่เป็นเพราะนายท่านต้องการจะทำอะไรแปลกๆอีกแล้วสินะ]
“ช่วยพูดว่ามันเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวจะดีกว่า”
ในจุดนี้สกิลข้ามมิติได้ถูกใช้งานและพาพวกเขากลับมาที่โลกอีกครั้งหนึ่ง วงเวทย์ก็ได้เริ่มส่งผลกับยูอิลฮานและพรรคพวกของเขาในทันที หากว่าเขาพาคนอื่นกลับมาด้วย ยูอิลฮานก็จะลดความเร็วของป้อมปราการลงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ แต่น่าเสียดายที่คราวนี้เขาไม่ได้พาคนอื่นมาด้วยเลย
“ถ้างั้นเราควรจะไปโลกต่อไปเลยใช่ไหม?”
“ลูกแม่ ไม่ใช่ว่ามันใกล้ถึงเวลาที่รู้จะใช้นาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาแล้วหรอกหรอ?”
“รอเดี๋ยวนะครับ”
ยูอิลฮานได้ตรวจดูนาฬิการทรายแห่งกาลเวลา เนื่องจากว่าเขาได้ไปโลกต่างๆมาโดยที่ไม่ใช่โลกของเขาทำให้ระยะเวลาของนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาได้ลดลงโดยที่ไม่ได้รับผลของเวลาที่ช้าลง และจากที่เห็นดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลาอีก 4 วันเขาถึงจะใช้มันได้อีกครั้งหนึ่ง
“ดีล่ะ ในระหว่างนี้ผมคิดว่าผมน่าจะได้โลกอื่นได้อีกประมาณ 30 ที่”
[ฟู่ว ที่รักขยันจังเลยนะ ที่รักไม่อยากจะไปเดทกันหน่อยหรอ?]
“อย่าฝันเลยน่า ยูอิลฮานทนได้แม้แต่การยั่วยวนจากเลียร่านะ”
[แต่ฉันไม่ได้เป็นพวกอดีตทูตสวรรค์พวกนั้นนี่ ที่รักมาเล่นกับฉันไหม?]
“ฮึ่ม”
ยูอิลฮานได้ดันหน้าของเฮเรียน่าถอยไปหลังจากที่เธอได้ตอกกลับเอิลต้าและเข้ามาหาเขา จากนั้นเขาก็ดูว่าเจตจำนงผู้พิทักษ์ยังคงอยู่ดีไหม และยังไปดูอาร์ติแฟคนับล้านที่กระจายอยู่ทั่วโลก ก่อนที่จะข้ามมิติไปสู่อีกที่หมายหนึ่ง
ในโลกต่อมาที่เขามาเป็นโลกที่อยู่ในหายนะ
“ให้ตายสิ นี่ดูแย่กว่าที่กุนเดียอีก”
[ที่รัก ผู้คนบนโลกของที่รักล่ะ…?]
ยูอิลฮานได้ลงไปในที่ที่มีอารยธรรมที่ถูกเผาข้างล่างและเปิดใช้สกิลบันทึก หลังจากที่เขาได้รับข้อมูลมาช้าๆ เขาก็ยักไหล่และส่ายหัวออกมา
“ไม่มีคนของโลกฉันเหลือรอดอยู่ที่นี่เลยแม้แต่คนเดียว แล้วก็พวกกิลด์ที่แข็งแกร่งก็ด้วย…”
“คนของโลกเรา? งั้นลูกก็หมายความว่ายังมี… คนอื่นๆอยู่?”
“ใช่ครับ”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับมาจากข้อสังเกตุของคิมเยซอลและเปิดใช้งานสกิลข้ามมิติอีกครั้งหนึ่ง หากไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่หากเขารู้ ยูอิลฮานก็ไม่ใช่คนที่จะเมินเฉยต่อคนที่กำลังเอาชีวิตรอดอย่างยากลำบากได้ เพราะแบบนี้เขาก้เลยคิดจะทำทุกอย่างที่ทำได้ก่อน
เมื่อเขาได้ข้ามมิติมา เขาก็ได้อยู่ในสงครามระหว่างมนุษย์กับมอนสเตอร์
“อ๊ากกกกกก!”
“ทุกคน….. หนี!”
[ก๊าซซซซซซซซซ!]
[มนุษย์น่ารังเกียจ ทั้งรสชาติแย่แล้วก็อ่อนแอ]
[ทำลายมันให้หมด! ทำลายมนุษย์ให้เกลี้ยง!]
มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่มีใครเข้าใจภาษาของมอนสเตอร์ได้เลย แต่ไม่ใช่กับยูอิลฮาน ยิ่งเขาได้ยินคำพูดของมอนสเตอร์พูดเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนเขาก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจพวกมัน!
บางทีที่พวกมันไม่ได้ต่างกันเลยก็เพราะพวกมันไร้ความคิดที่สร้างสรรค์ก็ได้ – ยูอิลฮานได้คิดแบบนี้ขึ้นพร้อมกับหยิบเอาอาร์ติแฟคออกมา กลุ่มอาร์ติแฟคที่เขาได้เอาออกมานี้ได้จัดการกวาดล้างมอนสเตอร์ออกไปจนดูเหมือนกับกองทัพวัลคิรี่ที่ทำตามคำสั่งเทพ
“ไม่จำเป็นต้องซ่อนแล้ว กวาดล้างพวกมันไปให้หมด!”
[ที่รักอยากให้ช่วยไหม?]
“ถ้าเธอช่วยฉันก็ยินดี รีบๆจัดการมันให้จบๆเถอะ”
ทันทีที่ได้รับคำอนุญาติจากยูอิลฮาน เฮเรียน่าก็ได้กางปีกบนขึ้นมาในทันที เอิลต้ากับคิมเยซอลก็ยังได้ใช้ความสามารถของพวกเธอกวาดล้างมอนสเตอร์รอบๆออกไปด้วย หลังจากเห็นแบบนี้เหล่าคนที่กำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์อยู่ก็ได้แต่ตกตะลึง
[ติดคริติคอล!]
[ติดคริติคอล!]
“มอนสเตอร์…”
“กำลังหายไป”
[ติดคริติคอล!]
[ติดคริติคอล!]
[ติด…]
“พวกเขาเป็นใครกัน”
“อะ อ่าาา”
“…เทพ”
มอนสเตอร์ในบริเวณนี้ได้ถูกกวาดล้างออกไป และยูอิลฮานก็ไม่ได้หยุดแค่นี้ เขาได้ให้ป้อมปราการผู้พิทักษ์ไปกวาดล้างมอนสเตอร์ในพื้นที่ต่างๆเช่นกัน คนอื่นๆที่เห็นกันแบบนี้ก็ได้กระซิบกันด้วยความกลัว
“เขาคือเทพ”
“ใช่ เขาจะต้องเป็นเทพแน่”
“เทพเจ้าได้ลงมาในโลกที่ทูตสวรรค์ทอดทิ้งด้วยตัวเขาเอง”
ยูอิลฮานตอนนี้กำลังตั้งสมาธิไปกับการล่ามอนสเตอร์โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเหล่าผู้คนกำลังมองเขาเป็นเทพ เขาไม่ได้คิดจะกวาดล้างมอนสเตอร์ทั้งหมดในโลกใบนี้ แต่ว่าอย่างน้อยเขาจะกำจัดพวกมอนสเตอร์อยู่ที่ในระแวกที่มนุษย์อาศัยอยู่ออกไป
เพราะแบบนี้หลังจากผ่านไปประมาณ 3 ชั่วโมงการกวาดล้างของเขาก็ได้จบลง ยูอิลฮานกำลังจะข้ามมิติไปต่อโดยที่ไม่สนใจคนที่กำลังมองมาที่ป้อมปราการด้วยความสับสนเลย ยังไงก็ตามในตอนนี้เองเฮเรียน่าได้จับมือเขาเอาไว้เบาๆ
[ที่รัก ดูเหมือนว่าคนพวกนี้มีอะไรอยากจะพูดนะ]
“อะไรนะ?”
เขาได้ยินเสียงที่คนพวกนี้ตะโกนบางอย่างออกมาแน่นอน เขาอยากที่จะไม่สนใจคนพวกนี้แต่ว่า…. เขาได้ยักไหล่ขึ้นมาและลดระดับป้อมปราการผู้พิทักษ์ลงไป เมื่อเขาได้เข้ามาใกล้เสียงที่ได้ยินก็ชัดมากขึ้น
“ได้โปรดอย่าทิ้งเราไป!”
“ได้โปรดให้เราได้อยู่เคียงข้างท่าน!”
“โอ้ ท่านเทพผู้ปกครองได้โปรด!”
“…อะไรนะ?”
เทพ เขาเนี้ยนะ ยูอิลฮานได้กลายมาเป็นสับสนเมื่อเขาไม่อาจจะทำความเข้าใจได้เลย เฮเรียน่าได้หัวเราะออกมาทันทีที่เห็นแบบนี้ จากนั้นเขาก็จ้องไปที่เฮเรียน่าและพูดออกมา
“ฉันเป็นมนุษย์”
“พวกเราไม่สนว่าท่านจะคิดว่าท่านเป็นอะไร แต่สำหรับเราท่านคือเทพ”
“ได้โปรดช่วยเราด้วย!”
“เอาแบบนี้เลยงั้นหรอ?”
“ท่านเทพ ได้โปรดเถิด!”
คนพวกนี้คิดเองเออเองไปเสร็จสรรพเลย แน่นอนว่ายูอิลฮานก็รู้ว่าคนพวกนี้ต่างก็ลำบากมาและหวังที่จะขว้างฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ แต่ว่ายูอิลฮานไม่ได้กำลังเล่มเกมซิมอยู่ซักหน่อย
“ฉันเสียใจด้วยนะ แต่ว่าฉันก็จำเป็นต้องปกป้องโลกของฉันเองเหมือนกัน ฉันมาหาที่นี่เพื่อหาบางอย่างแต่ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ฉันกำลังจะไปแล้ว”
“ถ้างั้นได้โปรดพาเราไปด้วย!”
ยูอิลฮานได้ตอบกลับไปอย่างเย็นชา
“โลกที่ฉันอยู่มันเลวร้ายกว่าที่นี่จนเทียบกันไม่ติดเลยนะ ต่อให้พวกนายจะตามฉันมา สิ่งที่จะรอพวกนายอยู่ก็มีแต่ความโหดร้าย เพราะงั้นอยู่ที่นี่ไปดีแล้ว”
“แต่ว่าที่นั่นมีท่านเทพอยู่นี่”
“ได้โปรดช่วยเราด้วย!”
“ท่านเทพได้โปรด!”
ในท้ายที่สุดผู้คนก็คุกเข่าก้มหัวลงกับพื้นจนทำให้ยูอิลฮานตกตะลึง เขาเริ่มรู้สึกว่านี่มันคล้ายๆกับที่เขาเคยเจอเมื่อนานมาแล้ว…
[เป็นไปด้วยดีเลยนี่ที่รัก]
เฮเรียน่าก็เอาแต่ยิ้มออกมา ยูอิลฮานรู้สึกเจ็บใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะหาทางทำอะไรกับเพราะแบบนี้เขาก็เลยได้แต่ตอบรับคนพวกนี้
หลังจากนั้นยูอิลฮานก็ได้ไปท่องโลกต่างๆอีก แต่ว่าก็มีโลกส่วนหนึ่งที่เจอหายนะหรือกำลังมุ่งสู่หายนะ ผู้รอดชีวีติส่วนใหญ่จะขอติดตามยูอิลฮานมาและเขาก็พาคนพวกนั้นกลับมาที่โลกทั้งๆที่เขาเองยังไม่รู้เลยว่าคนพวกนี้จะตามเขามาทำไม
คังมิเรย์กับพรรคพวกของเธอก็ได้เจอกับเรื่องที่คล้ายๆกัน และได้นำผู้คนมาที่โลกโดยที่คนพวกนั้นต่างก็ก้มหัวให้กับยูอิลฮานและคนอื่นๆทั้งๆที่เคลื่อนไหวช้ามากๆจากผลของวงเวทย์
“พวกกกกกกกกกกกกเราาาาาาาา จะะะะะะะะะ-“
“…เอาเถอนะ”
ยูอิลฮานได้ยักไหล่ออกมาเมื่อมองไปที่คนที่ทำเหมือนเล่นตลกเหล่านี้
“นี่มันเป็นชีวิตของพวกเขา ในเมื่อพวกเขาตัดสินใจแล้วก็ตามใจพวกเขาเถอะ”
4 วันต่อมาในที่สุดยูอิลฮานก็ใช้นาฬิการทรายแห่งกาลเวลาได้ จำนวนโลกที่เขาได้ไปมาในระหว่างนั้นก็คือ 42 โลก และเขาได้เจอเข้ากับโลกที่เจอหายนะอยู่ 4 แห่ง
เพราะแบบนี้ทำให้จำนวนคนจากต่างโลกที่เขารับมามีมากกว่าแสนคนซะอีก