คนในห้องโถงต่างไม่ทราบว่าบุรุษหนุ่มเอ่ยสิ่งใดกับคนด้านนอก แต่ไม่นานบุรุษหนุ่มก็พาคนทั้งหลายกลับมา เมื่อนั่งลงบนเก้าอีกก็เอ่ยถามว่า “สามีของท่านจะกลับมาเมื่อใดหรือ?”
“ข้าได้ส่งคนไปตามท่านพี่ที่สวนแล้ว อย่างช้าที่สุดคงเป็นเวลาอาหารค่ำ ท่านพี่ก็คงกลับมาแล้ว”
“อืม” บุรุษหนุ่มเอ่ยรับคำไปตามปาก แต่ยังคงนั่งอยู่คุยอยู่เช่นนั้น
นางหูหันไปมองหลัวเทียนเฉิงอย่างไม่รู้ตัวอีกครา นางเพียงรู้สึกว่าเขามีท่าทางคล้ายกับท่านพี่ผู้อยู่ในความทรงจำของนางอยู่หลายส่วน แต่เมื่อมององคาพยพทั้งห้าแล้วก็บอกไม่ถูกว่ามีส่วนใดที่เหมือน
คงเป็นความคล้ายคลึงกันอย่างคนทั่วไปกระมัง นางหูปลอบใจตนเองเช่นนี้ แต่กลับรู้สึกวุ่นวายใจขึ้นมา
คนคล้ายกันได้มิแปลกอันใด แต่บุคคลที่มีความคล้ายคลึงท่านพี่ของนางอยู่หลายส่วนผู้นี้กลับมาหาท่านพี่ถึงที่ แล้วจะมิให้นางคิดมากได้อย่างไร
เวลานี้เอง นางหูก็อยากจะให้สามีมาปรากฏต่อหน้าเหลือเกินจะได้ถามเอาความจริงต่อเขา
ทั้งสามฝ่ายต่างไม่คุ้นเคยกัน การนั่งรออยู่เช่นนี้ช่างน่ากระอักกระอ่วนนัก นางหูจริงเอ่ยว่า “ไม่สู้ให้พวกท่านไปย้ายไปที่ห้องรับรองเพื่อพักผ่อนก่อน รอท่านพี่กลับมา ข้าจะส่งคนไปแจ้ง”
“ไม่ต้อง”
“ดีเช่นกัน”
บุรุษหนุ่มเอ่ยขึ้นแทบจะพร้อมๆ กับหลัวเทียนเฉิง
บุรุษหนุ่มถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างโมโห
ทั้งที่เขาคิดจะฉวยโอกาสนี้พูดคุยสอบถามถึงภูมิหลังของคนผู้นี้สักหน่อยแต่อีกฝ่ายกลับตอบรับการจัดการของนางหูอย่างง่ายดาย?
จักต้องเจตนากลั่นแกล้งเขาแน่ เจ้าคนสารเลวผู้นี้!
หลัวเทียนเฉิงค่อยๆ ยืนขึ้น “เช่นนั้นก็รบกวนหูไท่ไท่แล้ว ท่านเตรียมให้พวกเราเพียงสองห้องก็พอ”
เมื่อบุรุษหนุ่มขึ้นหลังพยัคฆ์แล้วจึงยากจะลง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงฝืนกล่าวออกมาว่า “ข้าไม่เหนื่อย หากจวนท่านมีสวนงามน่าชมก็ให้พวกเราไปเดินรับลมสักหน่อยเถิด”
จินต้าค่อยๆ ก้มหน้าลง เอ่ยในใจว่า ท่านอย่าได้ตบหน้าตนจนบวมเพื่อให้ดูอ้วนท้วนเลย และไม่ควรตัดสินใจแทนพวกเขาด้วย!
เมื่อวานต้องปูผ้านอนในห้องโถงยังไม่พอ กลางดึกยังมีเหตุฆาตกรรมทำให้วุ่นวายอยู่ค่อนคืนมิอาจพักผ่อนอย่างเต็มที่ สิ่งที่พวกเขาอยากทำมากที่สุดในตอนนี้คือการนอนหลับสักตื่นบนเตียงนุ่มๆ ผู้ใดอยากจะออกไปเดินเล่นรับลมกัน!
บุรุษหนุ่มนำผู้รับใช้เดินออกไปรับลมหนาวในสวน
เมื่อเข้าไปในห้องรับรองแขก เจินเมี่ยวก็เท้าคางมองหลัวเทียนเฉิงไม่วางตา
หลัวเทียนเฉิงถูกนางมองจนรู้สึกประหม่า จึงกระแอมไอเสียงหนึ่ง “อาซื่อ เจ้ามองอันใดหรือ?”
เจินเมี่ยวขยับเข้ามาใกล้ นางลูบไล้นิ้วมืออันเรียวยาวของอีกฝ่าย “จิ่นหมิง วันนี้ท่านช่างดูสง่างามน่าเกรงขามยิ่ง”
นิ้วเรียวนี้ลูบอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่ามีอันใดแปลกไป แต่เหตุใดถึงได้บิดดาบเล่มใหญ่นั้นหักได้เล่า?
นิ้วมือของเจินเมี่ยวเนียนนุ่มขาวผ่องดั่งหัวหอมฉ่ำน้ำกระนั้น แม้นมิได้ทาสีตกแต่งเล็บแต่เล็บกลับมีสีอมชมพูอย่างคนมีสุขภาพดี ทั้งยังน่ารักอีกด้วย
เมื่อค่อยๆ ลูบไล้เช่นนี้ หลัวเทียนเฉิงก็รู้สึกว่านิ้วมือตนกลับเกิดอาการสั่นระริก อาการสั่นนี้ทะลุผ่านนิ้วมือแผ่กระจายไปทั่วร่างเกิดเป็นคลื่นโหมระลอกหนึ่งทำให้ร่างกายเกิดอาการขมวดเกร็งขึ้นมา เขาพลันชักมือออก
เจินเมี่ยวมึนงงไปชั่วขณะ
“อย่าดื้อ…” หลัวเทียนเฉิงใบหูแดงเรื่อขึ้นมา แล้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตำหนิ
“หืม?” เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจยิ่ง
“หากเจ้าคิดจะ…อย่างไร…อย่างไรก็ต้องรอให้ระดูมาก่อนค่อยว่า…” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยตะกุกตะกักออกมา
หากสาวใช้ทงฝังทั้งหลายของเขาคิดจะรั้งเขาไว้ในห้องก็มังจะสัมผัสเขาทั้งใช้สายตานับถือพร้อมป้อนคำหวานเช่นนี้เหมือนกัน
เขาในชาติก่อนชื่นชอบเสียจนโง่หัวไม่ขึ้น แต่หลังจากที่ฟื้นคืนมาเขากลับเหลือเพียงความรังเกียจและรำคาญเท่านั้น
ไม่เคยคิดเลยว่าการบอกใบ้เช่นเดียวกันนี้ เจี๋ยวเจี่ยวเพียงแค่ลูบไล้นิ้วมือเขาเท่านั้น เขากลับใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างยากจะควบคุม แต่ตัวเขาเองก็ยังแตกตื่น
“ข้าคิดอันใดหรือ? แล้วเกี่ยวอันใดกับระดูเล่า?” เจินเมี่ยวฟังแล้วรู้สึกดั่งมีเมฆหมอกปกคลุมเหนือหุบเขาก็มิปาน
หลัวเทียนเฉิงคิดว่าสามีภรรยาที่ร่วมทุกข์กันมาตลอดทางนั้น หากมีอันใดก็พูดกันได้ตามตรง เขาจึงกระแอมเสียงหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ตอนเข้าพิธีมงคล ข้าก็เคยพูดแล้วว่า เราจะไม่ร่วมหอกันจนกว่าระดูเจ้าจะมา แม้นเจ้าอยากจะทำเช่นนั้นอย่างมากแต่ก็อดทนไว้ก่อนจะดีกว่า”
“ห๊ะ?” เจินเมี่ยวยังคงมีสีหน้าดุจถูกฟ้าผ่าเช่นนั้นอยู่นาน จึงหยิบหมอนขึ้นมาตีไปที่ใบหน้าหลัวเทียนเฉิง
“หลัวเทียนเฉิง ข้าอยากฆ่าท่าน ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!”
เขาใช้หัวแม่เท้ามองหรือไร? ถึงเห็นความชมชอบของนางได้
หลัวเทียนเฉิงจับหมอนใบนั้นไว้ เอ่ยบ่นอย่างคนไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า “สตรีมักปากไม่ตรงกับใจ ทั้งที่เวลาพวกเจ้าอยากจะทำเช่นนั้นก็มักทำเช่นนี้แท้ๆ”
เจินเมี่ยวแทบจะกลั้นโทสะเอาไว้ไม่ได้แล้ว
ผู้ใดบอกนางหน่อยเถิดว่า นางอยากจะทำอันใดหรือ!
“อืม ดูท่าท่านพี่คงมีประสบการณ์มามาก?”
หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า “เฉินอวี๋ ลั่วเยี่ยนและคนอื่นๆ ก็มักทำเช่นนี้ทุกครั้ง”
เหลือเกินจริงๆ เชียว! เจินเมี่ยวกำหมัดแน่น
มีสามีที่ทึ่มทื่อปานนี้ นางว่านางควรตายก่อนเขาจะดีกว่า
นางโยนหมอนอิงทิ้งไว้ด้านข้างด้วยโทสะ แล้วนอนลงหันหลังให้เขาทันที
โกรธหรือ?
เมื่อนางนอนตะแคงข้างเช่นนี้กลับยิ่งขับให้ส่วนเว้าส่วนโค้งนั้นเด่นชัดขึ้นมา หลัวเทียนเฉิงรู้สึกว่าใจตนอ่อนยวบไปหมดทั้งดวงแล้ว เขายื่นมือไปวางทาบลงบนเอวคอดนั้นพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เจี๋ยวเจี่ยว แต่เจ้าไม่เหมือนกันกับพวกนาง”
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงบรรดาสาวใช้ทงฝัง เจินเมี่ยวก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าใด
แต่นางก็ทราบดีว่า การมีอยู่ของคนเหล่านี้ ในยุคสมัยนี้ มันสมเหตุสมผลและถูกต้อง หากนางเกิดความสงสัยขึ้นมา นางไม่ยอมรับ เช่นนั้นนางก็จะถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด
ท่าทีที่เจินเมี่ยวมีต่อสาวใช้ทงฝังเหล่านั้นคือหากพวกนางไม่ปรากฏอยู่ต่อหน้าก็เท่ากับพวกนางไม่มีตัวตน นางคงมิใช้ชีวิตอย่างไร้ความสุขเพียงเพราะคนเพียงไม่กี่คนกระมัง โลกนี้มิได้มีแค่เรื่องเล็กน้อยอย่างเช่นความรักระหว่างชายหญิงสักหน่อย
ทว่าสามีแสนทึ่มทื่อของนางกลับกลัวว่าตนจะลืม จึงได้คอยเอ่ยถึงบรรดาสาวใช้ทงฝังขึ้นมาเพื่อให้นางรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกนางกระนั้นหรือ?
เมื่อหันไปมองท่าทีที่อยากจะปลอบโยนนางอย่างจริงใจนั้นแล้วก็อดกุมขมับไม่ได้
หากสามารถให้คะแนนการเอาใจสตรีได้ คนผู้นี้จักต้องได้คะแนนนับหมื่นแต้มเป็นแน่!
“ไม่เหมือนที่ตรงใดหรือ?” อยากจะดูอีกสักหน่อยว่าเขาจะทึ่มไปได้อีกเท่าใดกัน
หลัวเทียนเฉิงครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วเอ่ยว่า “ตอนที่พวกนางต้องการเช่นนั้น ข้ารู้สึกรำคาญยิ่ง แต่ยามที่เจ้าต้องการบ้าง ข้ากลับไม่รู้สึกรำคาญ…”
นางไม่ควรทดสอบเขาในเรื่องพวกนี้เลยจริงๆ!
‘ข้าทายถูกอีกแล้ว’ เจินเมี่ยวค่อยๆ เบี่ยงหน้าหนี แล้วเผลอหลับไปพร้อมอารมณ์อันเบิกบานและเบื่อหน่ายไปพร้อมกัน
หลัวเทียนเฉิงนั่งมองอยู่นาน ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าภรรยาตนช่างงามนักจึงยื่นมือเข้าไปโอบกอดนาง แล้วหยักยกมุมปากขึ้นยิ้ม
ไม่ทราบว่านอนหลับไปนานเท่าใด เจินเมี่ยวจึงได้ยินเสียงเคาะประตู นางจึงลืมตาตื่นทันที
หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจรู้ได้ เขานั่งครุ่นคิดอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวข้างหน้าต่าง
เจินเมี่ยวจัดการตนเองเรียบร้อยแล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงออกไปเปิดประตู
อาซิ่งยืนอยู่ด้านนอกนั้น “คุณชาย นายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
หลัวเทียนเฉิงมีท่าทีนิ่งขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด เขาหันไปเอ่ยว่า “อาซื่อ เราออกไปกันเถอะ”
เมื่อถึงห้องโถงก็เห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนหันหลังอยู่ เขากำลังพูดบางอย่างกับนางหู
หลัวเทียนเฉิงกระแอมไอคราหนึ่ง
นางหูเงยหน้าขึ้นมองแล้วเอ่ยกับบุรุษผู้นั้นว่า “ท่านพี่ คุณชายท่านนั้นมาแล้ว”
หลัวเทียนเฉิงใจเต้นแรง ความรู้สึกตึงเครียดอันไร้รูปร่างนั้นส่งผ่านไปยังเจินเมี่ยว เจินเมี่ยวใช้แขนเสื้อบังไว้แล้วตอบหลังมือเขาเบาๆ คราหนึ่ง
บุรุษผู้นั้นหันหลังกลับมา มันเป็นเพียงการเคลื่อนไหวอันแสนธรรมดา แต่ในสายตาหลัวเทียนเฉิงกลับรู้สึกว่าการหมุนตัวของเขาช่างเชื่องช้ายิ่ง ทำให้เขาทั้งร้อนใจและประหม่า ทว่าในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าเขาหมุนกายเร็วเกินไปทำให้เขาไม่มีเวลาได้เตรียมใจ
เมื่อเทียบกับความว้าวุ่นใจของหลัวเทียนเฉิง เจินเมี่ยวกลับเยือกเย็นได้มากกว่า นางมองดูด้วยท่าทางนิ่งขรึม พลันภาพบุรุษท่าทางดุดัน หนวดเคราเต็มหน้าก็ปรากฏขึ้น
เจินเมี่ยวประคองคางตนที่แทบจะร่วงตกลงมาไว้
นี่ นี่คือท่านอาสี่ที่สามีนางเอ่ยถึงหรือ?
ท่านอาสี่ที่คล้ายกับเขายิ่งงั้นหรือ?
แล้วก็ต้องสั่นสะท้านขึ้นมาเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้อันน่าหวาดกลัวอย่างหนึ่ง
หลังจากนี้อีกสิบปี สามีผู้ยิ่งใหญ่ที่งดงามปานต้นหลานจือหยกจะกลายเป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือ?
โหดร้ายอันใดปานนั้น จักต้องจำผิดคนเป็นแน่
เจินเมี่ยวมองหลัวเทียนเฉิงด้วยน้ำตาคลอเบ้า
หลัวเทียนเฉิงกลับมองบุรุษไว้เครายาวผู้นั้นอย่างเหม่อลอย
ในขณะที่สบตากันนั้น เขาทั้งรู้สึกคุ้นเคยและแปลกหน้าไปพร้อมกัน สุดท้ายจึงกลายเป็นความไม่แน่ใจ
แววตาของบุรุษหนาวเครายาวผู้นั้นดูมึนงง
หลัวเทียนเฉิงจ้องมองเขาเขม็งเพื่อหาค้นหาความจริงในก้นบึ้งนัยน์ตานั้น แต่กลับพบเพียงปากบ่ออันเงียบสงบไร้คลื่นซัด
หลัวเทียนเฉิงเดินก้าวยาวเข้าไปหา
บุรุษหนวดเครายาวจึงมีสติคืนมา เขาผลิยิ้มทันที “คุณชายท่านนี้…”
ตามติดด้วยเสียงร้องโหนสูง “อ๊าก…”
มันควรต้องร้องออกมาจริงๆ เพราะหลัวเทียนเฉิงเดินเข้าไปกระชากเสื้อด้านหลังของเขาออกจนแผ่นหลังขาวสะอาดนั้นปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนโดยไม่เอ่ยวาจาใดๆ สักคำ
นางหูก็ตกใจจนกรีดร้องตามไปด้วย
อาซิ่งที่เป็นผู้นำทางคนทั้งสามมาที่ถึงกับตกตะลึงตาค้างกับเหตุการณ์อันไม่น่าเชื่อนี้ หลังจากนั้นก็ได้แต่เกาศีรษะไปมา
นางรู้สึกดั่งลืมอันใดบางอย่างไป
แต่นั้นมิสำคัญ ความปลอดภัยของนายท่านต่างหากที่สำคัญที่สุด!
“ช่วย…”
เมื่อกำลังจะแหกปากร้องก็มีคนเข้ามาปิดปากนางไว้
เจินเมี่ยวฝืนยิ้มคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวก่อน รอให้สามีข้าอธิบายก่อน”
หลัวเทียนเฉิงกลับจ้องมองแผ่นหลังของบุรุษผู้นั้นนิ่ง
แผ่นหลังอันขาวสะอาดนั้นมีผีเสื้อเขียวเข้มตัวหนึ่ง
หลัวเทียนเฉิงได้ยินเสียงเด็กน้อยผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้นข้างหูว่า “ท่านอาสี่ เหตุใดแผ่นหลังของท่านจึงมีผีเสื้ออยู่ตัวหนึ่งเล่า?”
“เจ้าเด็กดื้อ กล้ามาแอบดูอาสี่อาบน้ำหรือ!”
เด็กน้อยเบ้ปาก “ข้ามิได้ดูอาสะใภ้สี่อาบน้ำเสียหน่อย ท่านอาสี่จะโกรธอันใดเล่า?”
บุรุษผู้นั้นหันกลับมา แต่ใบหน้ากลับเลือนรางไม่ชัดเจน “เจ้าเด็กดื้อ หากกล้าดูอาสะใภ้สี่อาบน้ำ ข้าคงต้องตีเจ้าจนก้นลายแน่!”
“เช่นนั้นท่านอาสี่บอกข้ามาเถิด ว่าเหตุใดแผ่นหลังของท่านถึงมีผีเสื้อด้วย?”
บุรุษหนุ่มเห็นว่าขู่อย่างไรหลานชายก็มิยอมไป จึงเอ่ยอธิบายอย่างจนใจว่า “ก่อนหน้านี้ได้ติดตามบิดาเจ้าไปออกรบจึงได้แผลเป็นกลับมา หากแต่งอาสะใภ้สี่ของเจ้าเข้ามาแล้วนางเห็นเข้าจะหวาดกลัวเอาได้ จึงไปสักรูปผีเสื้อตัวนี้แทน”
“ฮ่าๆๆ ที่แท้ท่านอาสี่ก็ทำเพื่อเอาใจสตรีนั้นเอง” เสียงอันสดใสดังระฆังทองของเด็กน้อยค่อยๆ เลือนหายไป
ในแววตาของหลัวเทียนเฉิงคล้ายยังมีความสงสัยเคลือบอยู่หลายส่วน แต่ปากกลับเอ่ยพึมพำออกมาว่า “ท่านอาสี่…”
รอยยิ้มที่ดูเกรงอกเกรงใจของบุรุษหนวดเครายาวถูกแช่แข็งไว้ที่มุมปาก
คำสามคำนั้นคล้ายอัสนีที่ฟาดผ่าลงมากลางศีรษะเขา เกิดเป็นลมพายุฝนโหมกระหน่ำ
‘ท่านอาสี่ จู่ๆ ท่านปู่ตกม้าได้อย่างไรหรือ? ฝีมือการควบม้าของท่านปู่เชี่ยวชาญเก่งกาจถึงเพียงนั้น’
‘เจ้าสี่ เรื่องที่บิดาเจ้าตกจากหลังม้าย่อมต้องมีสาเหตุแน่ เจ้าไปตรวจสอบให้ละเอียด จำไว้ว่าอย่ากระโตกกระตากให้ผู้อื่นรู้’
‘ท่านพี่ จะออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือ เดี๋ยวก่อน คอเสื้อยังพบไม่เรียบร้อยเลย ให้ข้าทำให้ก่อน’
พวกเขาเป็นใคร?
ข้าคือผู้ใด?
บุรุษหนวดเครายาวรู้สึกคล้ายมีมีดแหลมทิ่มแทงเข้าใส่ศีรษะ เจ็บปวดอย่างที่สุด แล้วเขาก็ล้มลงไปทั้งยืนเช่นนั้น
ภายในห้องเกิดความวุ่นวายขึ้นทันที
“พ่อบ้านหู รีบ…รีบไปแจ้งความเร็ว!” นางหูร้องเสียงสูงขึ้น
พ่อบ้านหูวิ่งออกไปด้านนอกทันที แต่มีวัตถุบางอย่างแฉลบผ่านข้างหูเขาไปฝังลึกลงตรงขอบประตูพอดี เมื่อมองให้ชัดจึงเห็นว่าเป็นก้อนเงินเบี้ยก้อนหนึ่ง
เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าพ่อบ้านหูทันที
ไม่มีผู้ใดเคยบอกเขาว่า การเป็นพ่อบ้านนั้นต้องเสี่ยงชีวิตถึงเพียงนี้!