“เสียงรถม้าไม่ขาดตอน ฝีเท้าม้าไม่ขาดสาย พลทหารสะพายพร้อมด้วยธนูไว้ที่เอว ภรรยาอีกทั้งครอบครัวตามมาส่ง มีฝุ่นผงไม่เห็นสะพานเสียนหยาง ยื้อยุดฉุดรั้งน้ำตาริน เสียงร้องไห้ดังไม่สิ้นถึงสวรรค์”
ในใจท่องบทกวี “ปิงเชอสิง” ของตู้ฝู่เพื่อปลุกอารมณ์สักเล็กน้อย อีกประเดี๋ยวท่านย่าจะต้องร้องไห้แบบไม่คิดชีวิตเป็นแน่ อวิ๋นเยี่ยต้องระงับความปีติยินดีในใจและแสดงท่าทีอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไป
ที่บ้านเงียบสงบมากและไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย วั่งไฉยืนสะบัดหางตากลมเย็นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่เท้ามีลูกหมูน้อยของเสี่ยวยานอนอยู่
คำสั่งทางทหารมาถึงบ้านแล้ว ท่านย่าก็ต้องได้เห็นแล้ว ภาพความวุ่นวายที่จินตนาการไว้ไม่ปรากฏขึ้น มีเพียงความเงียบสงบที่ผิดปกติ
กลัวว่าท่านย่าจะร้องไห้จนมีผลต่อสุขภาพ จึงรีบเดินไปที่โถงด้านหลัง เห็นท่านย่า อาหญิงและป้าสะใภ้กำลังเตรียมเก็บสัมภาระให้ตัวเอง ท่านย่ากางชุดเกราะเหล็กบนตั่งนอน เช็ดด้วยผ้าไหมอย่างระมัดระวัง แล้วจึงลงเทียนไข สีหน้าเรียบเฉย อาหญิงและป้าสะใภ้ใช้ด้ายไหมห้าสีเพื่อถักพู่ของชุดเกราะ ข้างกายวางไว้ทั้งหมดหกเส้น เหล่าพี่สาวหยิบเสื้อผ้าออกมาจากตู้ทีละชุดๆ ปรึกษากันอยู่ว่าต้องนำชุดไหนไปจึงจะเหมาะสม
“เตรียมแค่เสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวเท่านั้นอย่างอื่นไม่ได้ใช้ ไม่จำเป็นต้องเลือกที่ดูดีเพียงแค่ใช้ได้จริงก็พอ” การศึกครั้งนี้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปี เพียงแค่ฤดูหนาวเดียวเท่านั้นก็จบลงแล้ว ราชวงศ์ถังประสบภัยพิบัติจากตั๊กแตนไม่สามารถทนต่อสงครามยืดเยื้อได้
“เสี่ยวเยี่ย ทำไมย่าจึงรู้สึกว่าเกราะของเจ้าเบาเช่นนี้ ไม่เหมือนของพวกจวงซันถิง เกราะของพวกเขาหนักยี่สิบสามสิบกิโลกรัม ไม่อย่างนั้นเจ้าก็เปลี่ยนเป็นเกราะหนัก สวมชุดเกราะแบบนี้ย่าไม่สบายใจ ได้ยินว่าลูกธนูในสนามรบลอยมาเหมือนสายฝน เกราะที่เป็นแผ่นเหล็กบางๆ เช่นนี้จะกันได้ได้อย่างไร”
“ท่านไม่ต้องกังวล แม้เสื้อเกราะของหลานจะเบา แต่ใช้เหล็กไป่เลี่ยนกังที่ดีที่สุด ไม่เกิดความเสียหายง่ายๆ ซึ่งไม่ใช่ว่าชุดเกราะของพวกเหล่าจวงจะเทียบได้ ท่านวางใจเถอะ หลานเองก็ไม่ต้องไปออกรบ เพียงแต่อยู่เบื้องหลังคอยรักษาทหารที่ติดโรคระบาดและดูว่าพวกชาวทูเจวี๋ยจะใช้เชื้อโรคหรือไม่ เตรียมป้องกันไม่ให้พวกนั้นทำเรื่องเลวร้าย เกราะชุดนี้ก็เพียงพอแล้ว”
“ในสนามรบ เจ้าฆ่าข้าข้าฆ่าเจ้า ใครจะรู้ว่าสงครามจะไปถึงขั้นไหน เสี่ยวเยี่ยอายุยังน้อย กองทัพก็ใจดำพอที่จะส่งเจ้าไป หากเป็นอะไรไป ทั้งครอบครัวจะมีชีวิตได้อย่างไร” เพียงแค่ป้าสะใภ้ร้องไห้ก็ถูกท่านย่าถีบจนหล่นจากตั่งนอน
“เจ้านี่ปากเสีย ใครให้เจ้าพูดเรื่องอัปมงคล” แม่เฒ่าเตะแล้วยังไม่พอใจ ทั้งยังปาแท่งขี้ผึ้งในมือใส่ศีรษะนางด้วยความโกรธมาก
ป้าสะใภ้ถูกตีแต่ก็ไม่กล้าตอบโต้ ได้แต่นั่งสะอื้นอยู่บนพื้น
อวิ๋นเยี่ยพยุงป้าสะใภ้ขึ้นแล้วพูดกับท่านย่าว่า “นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลานไปสนามรบเสียหน่อย คราวนี้สบายกว่าครั้งที่แล้วอีก ได้ยินว่าได้พักในเมือง ไม่มีอันตรายใดๆ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วง ป้าสะใภ้ก็อายุสี่สิบปีแล้ว ท่านอย่าโทษนางเลย หลานจะได้ไม่ต้องคอยเป็นห่วงครอบครัวขณะที่อยู่นอกบ้าน”
ท่านย่าถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นลูกชายโทนเพียงคนเดียวของครอบครัว เรื่องการไปรบเดิมก็เป็นหน้าที่ของผู้ชาย ผู้หญิงทั้งครอบครัวไม่มีใครสามารถช่วยเจ้าแบ่งเบาได้แม้แต่น้อย ทั้งยังก่อความวุ่นวายให้ด้วย เจ้าก็ลำบากใจมากแล้ว อายุเพียงแค่นี้ก็ต้องเลี้ยงดูคนทั้งครอบครัว ลำบากหลานชายที่น่าสงสารของข้า”
ท่านย่าเข้มแข็งเกินกว่าที่คิดไว้ ไม่มีการร้องไห้โวยวายเหมือนเมื่อก่อน หญิงผู้ยากจนที่เข้มแข็งกลับมาแล้ว
นับแต่สมัยโบราณ ทหารของราชวงศ์ฉินต้องทำศึกด้วยความทุกข์ยาก แดนกวนจงแต่ไหนแต่ไรมาเป็นสถานที่สำคัญสำหรับการหาทหารรับจ้างของแต่ละยุคแต่ละสมัย
เมื่อเป็นทหารย่อมต้องมีผู้ที่รบจนตัวตาย การไว้ทุกข์ของครอบครัวในแดนกวนจงไม่ใช่เพียงครั้งหรือสองครั้งแล้ว ซึ่งสิ่งนี้หล่อหลอมให้หญิงแดนกวนจงมีนิสัยที่ดุดันและเข้มแข็ง ที่บ้านไม่มีผู้ชาย มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่ต้องดูแลครอบครัว แม่เฒ่าเองตอนนี้ก็กำลังทำสิ่งนี้อยู่ หลังจากอวิ๋นเยี่ยออกเดินทางแล้ว บางทีนางอาจร้องไห้คนเดียวอยู่ในห้อง นางจะไม่มีวันหลั่งน้ำตาแม้สักหยดก่อนที่อวิ๋นเยี่ยจะออกเดินทาง
ปู้ฉวี่ เป็นทหารส่วนตัวของแม่ทัพแห่งราชวงศ์ถังซึ่งก็คือทหารคนสนิท โดยร่วมเป็นร่วมตายกับแม่ทัพ ตระกูลอวิ๋นมีทหารผ่านศึกสูงอายุเพียงห้าสิบคน อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจคำเกลี้ยกล่อมของท่านย่า ยืนกรานจะนำทหารผ่านศึกที่อายุค่อนข้างน้อยเพียงสิบสี่คนไปยังแนวหน้า
ก่อนออกเดินทางเป็นเรื่องปกติที่จะจัดการเรื่องทุกอย่างในสำนักศึกษาให้เรียบร้อยโดยให้หลี่กังเป็นผู้ดูแล ซึ่งอวิ๋นเยี่ยก็วางใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชื่อเสียงหรือความสามารถ ตาเฒ่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ตัวเองนั่งคิดคำนวณเองว่าจะไปเพียงเก้าเดือนเท่านั้น
“การเดินทางไปแนวหน้าครั้งนี้ของโหวเหยีย ข้าไม่มีคำพูดอื่นใดที่จะพูดเพียงหวังว่าเจ้าจะดูแลตัวเองให้ดีคว้าชัยกลับมา เรื่องสำนักศึกษาเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะคืนสำนักศึกษาคืนให้ถึงมือในสภาพที่สมบูรณ์” หลี่กังพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและรับประกันกับอวิ๋นเยี่ยทุกๆ คำพูด
“เพราะมีท่านอยู่ในสำนักศึกษา ข้าจึงกล้าไปหาเงินทุนในกองทัพได้อย่างสบายใจและถือโอกาสแสดงอานุภาพที่เหนือผู้อื่นของสำนักศึกษาเราให้คนอื่นได้เห็น มนุษย์เราแม้บอกว่าชอบและอยากได้เครื่องมือใหม่ที่ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้นและง่ายขึ้น แต่กลับดูถูกคนที่คิดค้นสิ่งเหล่านี้ นี่คือความขัดแย้งกัน สำนักศึกษาข้าจะต้องผู้ริเริ่มเป็นแห่งแรกในใต้หล้านี้ โดยเริ่มจากการค่อยเป็นค่อยไปวันหนึ่งจะให้พวกเขาเข้าใจว่าความรู้มีหลายประเภท ไม่ได้มีเพียงแต่โคลงฉันกาพย์กลอนเพียงเท่านั้น”
“ฮ่าๆ เจ้ามีความทะเยอทะยานก็ดี ข้าหวังว่าจะรอได้จนถึงวันนั้น”
“เจ้าหนุ่ม พวกเราคงจะไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว อย่างไรเสียในกองทัพก็มีคนรู้จักของเจ้า ดูแลตัวเองด้วย” บรรดาอาจารย์กลับเป็นฝ่ายประสานมือคารวะ นี่เป็นครั้งแรก
“ข้าเองก็อยากไปกองทัพ ข้าก็อยากจะเห็นท่าทีอันยิ่งใหญ่ของต้าถังเรา” หลี่เค่อรำกระบี่สั้นพลางพูดไม่ยอมหยุด ยังโชคดีที่คนที่เหลือของสำนักศึกษายังอยู่ในช่วงพักร้อนไม่เช่นนั้นพวกที่เลือดร้อนขึ้นหน้าคงไม่ได้มีหลี่เค่อเพียงคนเดียว
“เจ้าจะไปทำไม จะให้ทหารคอยปกป้องเจ้าหรือเข้าสู่แนวหน้าฆ่าศัตรูดี สร้างอาคารของเจ้าต่อไป ข้ากลับมาจะดูหากสร้างไม่เสร็จ เจ้าก็รู้ผลที่จะตามมา” ไม่มีเวลาให้ความสนใจกับเด็กน้อยนี้ เสี่ยวชิวที่อยู่ตรงนั้นผลุบๆ โผล่ตรงมุมกำแพงหลายครั้งแล้ว
ซินเย่ว์รู้สึกอายมากและไม่ยอมออกจากห้อง ความใจกล้าที่ปกติมีอยู่ไม่รู้ไปไหนหมด
อวิ๋นเยี่ยยืนยิ้มรออยู่ที่หน้าประตูรอนางออกมา รออยู่เป็นเวลานาน จึงเห็นซินเย่ว์สวมชุดเจ้าสาวสีแดงปักดิ้นสีทอง รูปลักษณ์ของหญิงวัยเยาว์หายไปหมด เกล้าผมเป็นทรงผมของหญิงที่ออกเรือน แต่งหน้าเข้มและในมือยังถือขวดไว้ใบหนึ่ง นี่คือการแต่งกายของเจ้าสาวคนใหม่
อวิ๋นเยี่ยหันกลับมามองอาจารย์อวี้ซันด้วยความตกตะลึง อาจารย์อวี้ซันก็ยืนมองดูหลานสาวด้วยความรักและเอ็นดูอยู่ตรงนั้น แววตาแสดงออกถึงความภาคภูมิใจ
“เจ้าหนุ่ม นี่คือประเพณีของชาวกวนจง หากชายคนหนึ่งต้องไปออกรบ หากมีคู่หมั้นอยู่ เช่นนั้นคู่หมั้นก็สามารถสวมชุดแต่งงานเพื่อส่งได้ นี่เป็นมารยาทสูงสุดที่ฝ่ายหญิงจะแสดงออกถึงความรักของนาง หากเจ้าตายในสนามรบ นางก็ต้องเป็นหม้ายไปตลอดชีวิตเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ” นักพรตซุนที่แต่งกายพร้อมออกเดินทางยืนอธิบายให้อวิ๋นเยี่ยฟังอยู่ข้างๆ
ทุกคนได้จากไปอย่างรู้หน้าที่ พวกเขามาเพื่อเป็นพิธี เสี่ยวชิวปิดประตูเบาๆ ลานบ้านเล็กๆ กลายเป็นสวรรค์บนดิน
“วันนี้เจ้าแต่งตัวงดงามมาก” หลังจากพูดประโยคนี้ อวิ๋นเยี่ยอยากต่อยตัวเอง วันที่ผู้หญิงสวยที่สุดก็คือวันที่ได้สวมชุดแต่งงานไม่ใช่หรือ
“ข้าจะรอเจ้ากลับมา ถ้าผู้หญิงสวมชุดแต่งงานและไม่ได้แต่งงานภายในหนึ่งปี ถือเป็นเรื่องที่ไม่เป็นมงคล” ซินเย่ว์พูดด้วยเสียงที่เบามาก
“ถ้าไม่มีเหตุการณ์เหนือความคาดหมายอะไร เพียงเก้าเดือนข้าก็กลับมาแล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะแต่งงานกับเจ้า ข้าจะไม่ตายอย่างแน่นอน สามารถมีภรรยาที่งดงามเช่นนี้ ถ้าจะต้องตายก็ขอแต่งงานก่อนแล้วค่อยตาย ไม่เช่นนั้นก็ขาดทุนมากเลย”
“คนบ้า เจ้าจะไม่พูดอะไรที่เป็นมงคลเลยหรือ เจ้ามักจะเป็นเช่นนี้กับข้าเสมอ” ซินเย่ว์ไม่ค่อยพอใจกับการแสดงออกของอวิ๋นเยี่ย ทั้งยังวางขวดลงแล้วหยิกเขา
อวิ๋นเยี่ยจึงเอื้อมมือโอบเอวอันอรชรของนางไว้ดึงมากอดในอ้อมแขน ก่อนที่นางจะตั้งตัวได้ก็จูบลงไปอย่างแรง ร่างกายของซินเย่ว์นั้นอ่อนยวบราวกับไม่มีกระดูก อิงอยู่ในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ยอย่างหมดแรง ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ
ผ่านไปเนิ่นนานกว่าอวิ๋นเยี่ยจะถอนตัวจากริมฝีปากอันนุ่มนวลของนางด้วยความอาลัยอาวรณ์ มองซินเย่ว์ที่ยังคงอยู่ในภวังค์และพูดว่า “ชั่วชีวิตนี้พวกเราก็ก้าวไปด้วยกัน ห้ามเจ้าเสียใจภายหลัง”
“คนบ้า!” ซินเย่ว์เริ่มเสียงดังใส่ สองมือหยิกอวิ๋นเยี่ยไปทั่วตัว
“เลิกหยิกได้แล้ว หากยังหยิกต่อคงต้องตายแน่” ดิ้นรนให้พ้นกรงเล็บของซินเย่ว์ นี่ก็สายแล้ว หากสายกว่านี้ก็จะไปไม่ทันกองทัพใหญ่แล้ว
ซินเย่ว์ยืนพิงกรอบประตูมองอวิ๋นเยี่ยที่ค่อยๆ เดินจากไป ปากก็พึมพำ “คนบ้า” ในใจก็มีแต่คำพูดของอวิ๋นเยี่ยก่อนจะจากไปว่า “ไม่นานนักข้าก็จะกลับมา” นางตั้งใจว่าจะส่งอวิ๋นเยี่ยจากไปอย่างมีความสุข แต่น้ำตาก็ไหลออกมาโดยยากจะควบคุม…
คนที่ร้องไห้ยังมีครอบครัวของสวี่จิ้งจง ตั้งแต่ได้รับคำสั่งจากกองทัพเขาก็ไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย เขาไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะจัดการเรื่องงานของเขาอย่างไร หากอวิ๋นเยี่ยต้องการให้ร้ายเขา ปล่อยให้เขาอยู่ในค่ายทหารเอาชีวิตรอดเองก็เพียงพอแล้ว ดูร่างกายที่อ่อนแอของตัวเอง สวี่จิ้งจงก็เสียใจภายหลังกับการตัดสินใจของเขาเป็นอย่างมาก อยู่ดีๆ ไปสำนักศึกษาทำไมกัน ตอนนี้อันตรายกว่าอยู่ในราชสำนักถึงพันเท่า ถูกขุนนางใหญ่กดดันอย่างมากก็ถูกส่งไปต่างถิ่นเท่านั้น ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ต้องไปอยู่กับกองทัพ แต่เป็นตายเท่ากัน มันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของตัวเองจริงๆ
ซุนซือเหมี่ยวรีบนั่งรถม้าค่อยๆ ตามอยู่ด้านหลังของอวิ๋นเยี่ย เขาเองก็ต้องการที่จะไปดูว่าชาวเผ่าทูเจวี๋ยที่ทำการแพร่โรคระบาดแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร เขาขนยามาเต็มๆ สองเล่มเกวียนเพื่อทหารแนวหน้า แต่เขาไม่เข้าใจว่าอวิ๋นเยี่ยต้องการที่จะนำเครื่องเทศไปตั้งหลายเล่มเกวียน ที่น่าสงสัยที่สุดคือมีคนอ้วนๆ ที่ดูหยาบคายอยู่ข้างๆ ตลอดทางทั้งสองคนก็คุยกันอย่างลับๆ ล่อๆ ไม่ยอมหยุด
“เสี่ยวเยี่ย เจ้าบอกว่าคราวนี้เราสามารถทำกำไรก้อนใหญ่ได้จริงหรือ” เหอเส้าที่รูปร่างอ้วนกระซิบถามอวิ๋นเยี่ย
“แน่นอน เชื่อข้า ครั้งนี้เจ้ายอมเสี่ยงชีวิตไปกองทัพ ข้าจะปล่อยให้พี่ชายกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร”
“ของที่ยึดมาได้จะต้องส่งไปยังคลังหลวง ไหนเลยจะมีช่องว่างให้พวกเราได้เข้าไปมีส่วนแบ่ง” เหล่าเหอยิ่งรู้สึกงงงวย
“ม้า ทองคำและเงินเหล่านั้นแน่นอนว่าจะถูกส่งคืนทางการ ข้าหมายถึงสิ่งที่ไม่สามารถคืนสู่ทางการได้ ตอนนี้อยู่ในช่วงสงคราม บนสนามรบต้องมีพวกม้าตาย วัวตาย แพะตายไม่น้อยแน่ เจ้าแค่นำสิ่งเหล่านี้กลับมาทำเสบียงทหารอร่อยๆ ขายให้แม่ทัพ เจ้าว่าจะทำกำไรได้เท่าไหร่ นอกจากนี้ ทหารเหล่านั้นก็ได้รับรางวัล เก็บเอาไว้กับตัวพวกเขาต้องไม่วางใจใช่ไหม เจ้ารับเอาไว้และนำไปส่งที่บ้านให้พวกเขาและเก็บค่าธรรมเนียมเล็กน้อยก็ไม่น่าเป็นปัญหาใช่ไหม ลองคิดดูสิ ไม่เพียงแต่ทำเงินได้แต่ยังมีคุณธรรมอีกด้วย ต่อลงไปการค้าประเภทนี้ในค่ายทหารก็เป็นของเจ้าคนเดียวไม่ใช่หรือ”
การทำสงครามคือการสูญเสียเงิน อวิ๋นเยี่ยตั้งใจที่จะใช้เหล่าเหอทำการทดลองเล็กๆ เพื่อดูว่าการค้าขนาดเล็กนี้สามารถทำเงินได้หรือไม่ อย่างไรเสียเขาไม่มีประสบการณ์ในการทำการค้าขนาดใหญ่ เรื่องในครอบครัวก็ล้วนเป็นท่านย่าและเหล่าอาหญิงดูแล ตัวเองเพียงแค่ทำหน้าที่ริเริ่มจากนั้นก็ปล่อยมือไม่ใส่ใจ ฟังดูแล้วแลดูเหมือนผู้มากความรู้ยากคาดเดา แต่ความเป็นจริงแล้วก็เป็นแค่เสือกระดาษตัวใหญ่เท่านั้นเอง
คราวก่อนที่หล่งโย่ว เห็นเหล่าเฉิงและพวกพลทหารสนใจเฉพาะศีรษะของศัตรู ไม่สนใจศพสัตว์พาหนะที่ตายเละเทะกองบนพื้น อวิ๋นเยี่ยโอดครวญว่าสูญเปล่ามาก ทั้งยังถูกเหล่าเฉิงดูถูกเหยียดหยาม ครั้งนี้คนทั้งประเทศกำลังขาดแคลนเสบียงอาหาร ไม่รู้ว่าการทำเช่นนี้จะช่วยเรื่องสงครามได้หรือไม่!!!