หมาป่าตัวนี้เห็นว่าทักษะการล่าของหมาป่าในยุคปัจจุบันห่วยจนมันปวดใจ มิน่าล่ะหมาป่าพวกนี้ถึงได้หิวตลอด ถ้าเป็นยุคของมัน อาศัยทักษะการล่าแบบนี้คงจะจับได้แค่กระต่าย…
ถ้ามีเวลามากพอ มันอยากถ่ายทอดทักษะของตัวเองให้พวกมัน พกมันจะได้อยู่ในป่าอย่างมีความสุข และไม่วิ่งออกจากป่าไปทำร้ายคนและปศุสัตว์ด้วยแรงขับเคลื่อนของความหิวโหย
แต่…มันมีเวลาไม่พอแล้ว ด้วยเพราะมีเรื่องคับขันกว่านั้นต้องจัดการ
จางจื่ออันกับพวกภูตสัตว์เลี้ยงยังคงตกใจกับการจู่โจมอย่างรวดเร็วของมัน ขนาดเหล่าฉา ฟีน่า และเฟยหม่าซือที่มีประสบการณ์การต่อสู้เต็มเปี่ยมก็ยังไม่พบความผิดพลาดอะไร
ทักษะของเหล่าฉาเกิดจากวิชากังฟูของมนุษย์และการฝึกฝน ฟีน่าเป็นผู้บัญชาการ แต่ไม่ได้เป็นนักรบด้วยตัวเอง ส่วนเฟยหม่าซือก็ใช้ความสามารถทางร่างกายที่กล้าหาญองอาจของตัวเองมากกว่า
วิธีการโผไปกัดของภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่า กระบวนการรวดเร็ว อำพราง และได้ผลสูง ไม่มีการกระทำที่มากเกินไป เป็นทักษะที่ได้มาจากการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วนและฝึกฝนระหว่างการเข่นฆ่า ถึงดิบเถื่อน แต่ก็เหมาะสมกับฆาตกรอย่างยิ่ง จางจื่ออันมองแล้วถึงกับหนาววาบๆ ที่หลังคอ
ชาวจีนเล่าต่อๆ กันมารุ่นสู่รุ่น เวลาหมาป่าจะลอบจู่โจมคน มักจะชอบแอบตามอยู่ข้างหลังคน จากนั้นก็จะยืนท่าคน ตะปบไหล่ของคนด้วยอุ้งเท้าหน้าสองข้างจากด้านหลัง คนคิดว่าคนสนิทกำลังสะกิด ก็จะหันกลับไปโดยสัญชาตญาณ และถูกหมาป่าที่ไตร่ตรองไว้นานแล้วกัดคอหอยขาด
ความจริงแล้วคำนวณจากการกัด ฟันของหมาป่ากัดกระดูกหักได้หลายชิ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระดูกคอที่อ่อนแอของคน ไม่จำเป็นต้องรอคนหันมาก็ได้ ดังนั้นตำนานก็เป็นแค่ตำนานวันยันค่ำ
ทั่วไปแล้วตอนหมาป่าจู่โจมจะไม่ตะปบไหล่จากข้างหลัง แต่เป็นเสือที่ชอบทำอย่างนั้น ตอนล่าควายจะกระโดดขึ้นไปบนหลังควายเลย และกัดตรงต้นคอของควาย หลีกเลี่ยงถูกเขาควายที่อันตรายทำให้บาดเจ็บได้ คนอียิปต์โบราณจะใส่หน้ากากไว้ข้างหลังหัว ให้เสือแยกไม่ออกว่าฝั่งไหนคือด้านหน้าด้านหลัง ก็เพราะเหตุผลนี้เช่นกัน
อีกอย่างก็คือ แม้ดูจากสถิติบนหน้ากระดาษ แรงกัดของหมาป่ายังสู้สัตว์ป่าประเภทแมวอย่างเสือและสิงโตไม่ได้ แต่น้ำหนักตัวของเสือและสิงโตก็มากกว่าหมาป่า ถ้าคำนวณตามสัดส่วนแรงกัดและน้ำหนักตัว แรงกัดตามหน่วยน้ำหนักตัวของหมาป่าอยู่ในลำดับแรกๆ ของสัตว์ป่าขนาดใหญ่
ฝูงหมาป่าคลายความคุกคามต่อจางจื่ออันแล้ว พวกมันฝึกฝนทักษะที่ภูตหมาป่าสอนพวกมันด้วยความสนใจเต็มเปี่ยม
แต่จางจื่ออันยังถามคำถามไม่หมด เขารู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ไม่รู้ว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ดังนั้นจึงถามอีกว่า “ทำไม? ทำไมถึงพุ่งเป้าไปที่แมวพวกนั้น?”
สายตาของภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าตกลงบนหน้าผากของฟีน่า และตกลงบนหน้าผากของเสวี่ยซือจื่อ ลายมือไก่เขี่ยที่จางจื่ออันวาดบนหน้าผากของเสวี่ยซือจื่อหลอกหมาป่าทั่วไปได้ แต่หลอกมันไม่ได้ มันมองปราดเดียวก็ดูออกแล้วว่าวาดออกมา
“เพราะแมวพวกนี้ถูกไล่เข้ามาในป่า ฆ่าสัตว์ขนาดเล็กนับไม่ถ้วน ถึงแม้พวกมันไม่หิวก็จะทำเช่นนั้น…อีกอย่างก็คือพวกมันแพร่เชื้อโรคในป่า”
บางครั้งสัตว์ประเภทสุนัขจะฆ่าอย่างไม่มีเหตุผล สัตว์ประเภทแมวก็เป็นอย่างนั้น เวลาอยู่นอกสายตาของคนแล้ว แมวบ้านที่อ่อนโยนก็อาจจะกลายเป็นฆาตกรสัตว์เล็กที่เลือดเย็น
“เชื้อโรค?” เขาถามทั้งที่รู้ดี
“เจ้าก็รู้ และเคยเจอแล้ว มันคือเชื้อโรคที่เปลี่ยนให้กวาง แมว หมาป่า และหมาป่าไคโยตีกลายเป็นศพเดินได้”
เขาพยักหน้า ดูท่าทางจะปิดบังอะไรมันไม่ได้แล้ว
“แมวพวกนั้น ใครพาเข้ามา?” เขาถามอีก
หมาป่าครุ่นคิด แล้วเงยหน้ามองก้อนเมฆที่ลอยคล้อยอยู่บนท้องฟ้า
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มันก็พูดคล้ายกับตั้งใจพูดถึงอะไรบางอย่าง “ข้าไม่ได้บังคับขอให้เจ้าเชื่อมั่นอะไร หรือไม่เชื่อมั่นอะไร แต่มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง คนพวกนั้นพาแมวที่มีรอยประทับพิเศษบนหน้าผากหลายตัวเข้ามา ในนั้นมีตัวหนึ่งร้ายกาจอย่างยิ่ง ตัวมันเองมีกำลังต่อสู้โดดเด่น ยังสามารถสั่งฝูงแมวให้ต่อสู้เพื่อมันได้ด้วย บวกกับการถือหางของมนุษย์ ทำให้มันรู้สึกปลอดภัยเพราะมีคนหนุนหลัง ข้ารู้สึกว่าพวกมันกำลังวางแผนการร้ายบ้าระห่ำบางอย่าง”
ฟีน่าร้องเฮอะอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง แล้วเดินหน้าสองก้าวพูดว่า “ข้าขอถามเจ้า แมวมีตราประทับพิเศษที่เจ้าพูดถึง เป็นตราประทับรูปตัวเอ็มใช่ไหม? เป็นแบบนี้ใช่หรือไม่?” มันชี้หน้าผากของเสวี่ยซือจื่อ
ภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าให้คำตอบยืนยัน “เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลง ข้าทำได้แค่ถอนรากถอนโคนผู้ช่วยของมันอย่างสุดความสามารถ…หากเรื่องนี้ทำให้เจ้าไม่สบายใจ ข้าก็ขออภัยเจ้า ณ ตรงนี้”
มันมีทักษะการล่าที่โดดเด่นขนาดนี้ แต่กลับมีท่าทางถ่อมตัวเหนือความคาดหมาย ทำให้ฟีน่าประหลาดใจอย่างมาก
“ไม่ต้องขอโทษหรอก เป็นข้าเองที่ไม่ควบคุมอย่างเข้มงวด คิดไม่ถึงว่าในช่วงที่ข้าออกจากโลกมนุษย์จะมีแมววางแผนแทนที่ข้า ยังขู่ขวัญแมวโชคร้ายมากมายให้ผันตัวเป็นพรรคพวกของมัน ตายเพื่อมัน ต้อง…ฆ่าให้สิ้นซากจริงๆ!” ฟีน่ากัดฟันพูด โกรธแค้นนจตัวสั่น
ด้วยความเย่อหยิ่งของมัน ไม่มีทางยอมให้แมวตัวอื่นมานั่งในระดับเดียวกับมันแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแมวที่วางแผนร้ายใช้แมวโชคร้ายเป็นเครื่องมือจนตายเลย มันยิ่งทนไม่ได้
จางจื่ออันคิดว่าถ้าภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าพูด ก็เดาได้คร่าวๆ แล้ว มีแมวที่เหมือนจะเป็นภูตสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งนำฝูงแมวเข้ามาในป่า ช่วยหลี่ผีเท่อทำเรื่องชั่วร้าย แพร่เชื้อโรคอยู่ในป่า และสัตว์เล็กที่ไม่ได้ติดเชื้อโรคนั้นถูกฆ่า ถ้าปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไว้ อีกไม่นานป่าแห่งนี้ก็จะกลายเป็นป่าช้าที่เงียบสงบ และยังขยายขอบเขตไปรอบๆ ด้วย
มิน่าล่ะ หลี่ผีเท่อถึงได้ทำพฤติกรรมผิดมนุษย์อย่างไม่เกรงกลัว ที่แท้มีคนคอยหนุนหลังอยู่นี่เอง
“ศัตรูไม่ได้มีเพียงหนึ่ง” ภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าพูด “เมื่อครู่ยังมีนกเหล็กตัวหนึ่งบินอยู่เหนือป่า แต่ร่างกายยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง ไม่มีทางลงมาที่นี่ และบินผ่านไปแล้ว”
นกเหล็ก?
จางจื่ออันตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “หมายถึงเฮลิคอปเตอร์เหรอ”
“น่าจะใช่” มันพูด จากนั้นก็ส่ายหน้า “ข้ากับนักบุญไม่ชอบสิ่งของข้างในเฮลิคอปเตอร์ แม้จะไม่เคยเห็น แต่อบอวนไปด้วยกลิ่นที่รู้จักหาแต่ผลประโยชน์ พวกข้ารู้สึกขยะแขยงยิ่งนัก”
เอ่อ…น่าจะหมายถึงอารมณ์รุนแรงสินะ? สำหรับมันที่ชื่นชมคุณงามความดี ความภักดีและอดทน อารมณ์รุนแรงไม่เข้ากับมันจริงๆ
พูดไปแล้วการคาดเดาของจางจื่ออันก่อนหน้านี้ไม่ได้ถูกต้องโดยสิ้นเชิง เขาคิดว่าเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นมาเจรจาและต่อรองกับพวกหลี่ผีเท่อ แต่อย่างนั้นคำพูดของภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าก็ไม่ผิดพลาด ดูท่าทางการเดินทางของเฮลิคอปเตอร์ยังมีวัตถุประสงค์อื่น
ป่ากว้างใหญ่ไพศาล ที่ว่างที่มีพงหญ้านี้ก็ไม่ได้เตะตา ทำไมเฮลิคอปเตอร์ไม่บินอยู่ที่อื่น แต่ทำไมบังเอิญบินมาแถวนี้?
น่าเสียดายที่เฮลิคอปเตอร์ลงจอดที่นี่ไม่ได้โดยสิ้นเชิง ถ้าอยากเจอภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าตัวนี้ นอกจากเดินเท้าสำรวจป่าแห่งนี้เหมือนจางจื่ออันแล้ว ก็ไม่มีทางอื่นอีก
ภูตสัตว์เลี้ยงหมาป่าพูดอย่างจริงจังว่า “ปิศาจมีพลังยิ่งใหญ่เกินไป พึ่งข้าเพียงลำพังคงทำอะไรไม่ได้ ข้าจึงอยากขอร้องเจ้าตรงนี้ คนที่อยู่อย่างปรองดองกับธรรมชาติเอ๋ย เจ้าจะยอมร่วมมือชำระล้างป่าแห่งนี้กับข้าหรือไม่?”