Orc Eiyuu Monogatari 1

ตอนที่ 1

Ch.1 – การออกเดินทางของวีรบุรุษ

Translator : Alonenekochan / Author

 

ออร์ค

พวกเขาต่างมีผิวพรรณสีเขียวกับเขี้ยวยาว มีร่างกายที่แข็งแกร่งคงทนต่อพิษและโรคภัยต่างๆ เป็นเผ่าพันธุ์ที่คลั่งไคล้ในการต่อสู้เผ่าหนึ่ง

หากให้หยิบข้อบ่งชี้พิเศษล่ะก็ คงเป็นเรื่องที่มีความต้องการทางเพศสูง กระมัง

เรื่องการขยายพันธุ์สำหรับพวกออร์คนั้น เปรียบเสมือนความต้องการที่จำเป็นสำหรับพวกสิ่งมีชีวิต และถือเป็นความบันเทิงประจำวันในขณะเดียวกันด้วย

ต่อสู้ กินดื่ม ข่มขืน

สำหรับพวกออร์ค จำนวนหัวของศัตรูที่เด็ดได้ในการต่อสู้ กับ จำนวนลูกที่คลอดออกมาจากเหล่าผู้หญิงนั้น มีค่าพอๆกัน

ให้กำเนิดลูกให้มากที่สุด และตายไปในระหว่างต่อสู้ นี่แหละคือสุดยอดวิถีชีวิตที่เหล่าออร์คต่างต้องการไขว่คว้า

ร่างกายที่คงทนและพลังสุดยอดในการขยายพันธุ์

สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีเงื่อนไขไหนดีไปกว่านี้แล้วอย่างพวกเค้านั้น กลับมีจุดบกพร่องเพียงหนึ่งเดียว

ก็คือ “โดยทั่วไปลูกที่ออกมาจะมีแต่ตัวผู้เท่านั้น หากไม่ยืมครรภ์ของเผ่าอื่น ก็มิอาจสืบพันธุ์” นั่นเอง

ความจริงที่ว่า “การที่พวกเขาจับเชลยนักรบหญิงของประเทศศัตรูในสงครามนั้น ก็เพื่อใช้ในการให้กำเนิดบุตรจนกว่าจะใช้งานไม่ได้” ไม่ได้คำกล่าวเกินเลย จนถูกเผ่าพันธุ์อื่นส่วนหนึ่งรังเกลียดเดียดฉันท์ราวกับอสูรกาย

「เฮ้ย ที่อยู่ตรงนั้น “ฮีโร่” ไม่ใช่หรือไง?」

แบช

ชายที่มีชื่อเรียกขานนั้น คือนักรบชั้นเลิศ ผู้ที่มีพลังก้าวข้ามบรรดาออร์คในฝูง

เขารุดไปยังสนามรบได้ไวกว่าผู้ใด ยืนสง่าในแนวหน้าได้นานกว่าผู้ใด สังหารศัตรูได้มากกว่าผู้ใด

เหล่าออร์คจำนวนมากต่างถูกเขาช่วยชีวิตไว้ เขาใช้มือทั้งตนคว้าชัยในสนามรบจำนวนมาก

ไม่ว่าศัตรูจะแข็งแกร่งเพียงใดก็เข้าประชันซึ่งหน้าและพิชิตศัตรูลง ภาพลักษณ์เหล่านั้น เป็นภาพลักษณ์อย่างเป็นรูปธรรมในอุดมคติของเหล่าออร์คเลยก็ว่าได้

เพื่อเป็นรางวัลต่อผลงานความสำเร็จนั้น เขาจึงได้ขนานนามว่า “ฮีโร่”

ฮีโร่ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่า วีรบุรุษ

สมญานามนั้น ถือเป็นเกียรติยศอันสูงสุด บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งอันเป็นที่สุดในเผ่าออร์ค

แน่นอนว่า เป็นเป้าหมายความฝันอันสูงสุดของเหล่าออร์คทั้งหมดด้วย

「อึ๊ก……『ฮีโร่』、เนี้ยแม่งเท่ฝุดๆจริงๆด้วย!」

「ตรูน่ะ คิดอยากจะฟังเรื่องตอนที่ผู้นั้นพิชิตแบล๊คเฮด มาตั้งนานแล้วล่ะ……」

แบชผู้ที่ได้รับสมญานามฮีโร่นั้น ได้รับสิ่งต่างๆมากมายไว้ในมือ

บ้านอันใหญ่โต อาวุธและเสื้อเกราะอันทรงพลัง อาหารที่มากมาย เอกสิทธิ์ทุกอย่างที่ใช้ได้ไม่หมด และสุดท้ายเป็นที่เคารพยกย่องกับความเชื่อใจของเหล่าหมู่ออร์คทั้งปวง

แทบจะทุกสิ่ง ที่เหล่าออร์คหนุ่มปรารถนา

「……ตะ ตรูจะลองไปถามดูล่ะกัน」

「เจ้าบ้า! ไม่เห็นหรือไงว่าท่านผู้นั้นอยากดื่มเหล้าคนเดียวเงียบๆน่ะ!」

「โทษที……นั่นสินะ ท่านนั้นไม่ใช่บุคคลที่คนระดับพวกเราจะสามารถสอดปากพูดคุยออกไปง่ายๆ」

แต่ทางด้านแบชนั้น กลับมีเรื่องที่กลุ้มอกกลุ้มใจอยู่

ถึงแม้คนรอบข้างจะคิดว่า เขานั้นได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาครอบครองไว้ในมือแล้วก็ตาม แต่จริงๆแล้วยังมีสิ่งที่เขายังไม่สามารถหามาครอบครองไว้ได้อยู่

ไม่สิ ถึงจะพูดว่า “ไม่สามารถหามาครอบครองไว้ได้” นั้นก็ออกจะผิดไปหน่อย ควรจะพูดว่า “ยังไม่ได้ละทิ้งสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่” จะสมควรเสียกว่า

เหมือนดัง แหวนโบราณที่ถูกโยนลงเปลวเพลิงที่ไม่มีวันมอด……
(TL: ท่อนนี้ไม่รู้มันล้ออะไร Lord of The Ring เหรอ? หรือในรูดี้มันมีฉากโยนแหวน?)

「จริง ข้าเองก็มีเรื่องอยากจะถาม “ฮีโร่” อยู่เหมือนกัน เรื่องประเภทผู้หญิงที่ชอบน่ะ!」

「สเปกผู้หญิงของฮีโร่งั้นหรือ……ต้องเป็นเผ่ามนุษย์ล่ะมั้ง?」

「อย่าพูดโง่ๆน่า! ท่าน “ฮีโร่” ผู้นั้นเชียวนะ? ผู้หญิงอย่างพวกมนุษย์และเอลฟ์น่ะ คงได้ทานจะเบื่อในช่วงระหว่างสงครามแล้วล่ะ พักหลังนี้ไม่เคยเห็นท่านผู้นั้นไปที่ลานผสมพันธุ์เลยด้วย」

「เบื่อมนุษย์กับเอลฟ์เหรอ……งั้น หรือว่าจะเป็นเผ่าดราโกนิว เผ่าพันธุ์ในตำนานนั้น!?」

「เป็นไปได้นะเฟ้ย! ก็ถึงกับเป็น “ฮีโร่” เลยล่ะนะ!」

แบชนั่งดื่มเหล้าดีกรีสูงคนเดียวที่เค้าน์เตอร์ของบาร์อยู่นั้น วันนี้เองเขาก็กำลังกลุ้มใจอยู่เหมือนเดิม

ทำไงถึงจะละทิ้งสิ่งนั้นได้กันนะ

ไม่สิ ถ้าแค่จะทิ้งเฉยๆล่ะก็ สามารถทำได้ทันทีเลยล่ะ แต่ทว่า ในประเทศออร์คนี้ แบช*นั้นเป็นคนที่คนรอบข้างให้ความสนใจอย่างผิดปกติ หากทิ้งกันโต้งล่ะก็ ประชาชีคงได้เห็น และจับได้แน่ๆ ตอนนี้คงทำได้แค่ยอมรับความจริงที่ว่า “ควรรออยู่เฉยๆ”

ในฐานะวีรบุรุษของเหล่าออร์ค ……ไม่สิ ในฐานะออร์คตนหนึ่งแล้ว เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้ใครล่วงรู้ได้

หากเรื่องนั้นเล็ดลอดออกไปได้ล่ะก็ ชั่วพริบตานั้น ความภาคภูมิและศักดิ์ศรีของเขาต้องพังทลายลงแน่ๆ

ความเคารพยำเกรงที่เหล่าออร์คทั้งหมดมอบให้ คงเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเยาะในพริบตา

ศักดิ์ศรีอันเล็กของเค้าคงเต็มไปด้วยบาดแผลยับเยิน ต้องใช้ชีวิตโดยคลุมปิ๊บไว้ที่หน้าตลอดเวลาแน่……ไม่สิ คงอับอายจนไม่อยากมีชีวิตอยู่เป็นแน่แท้

「ข้าควรลองเข้าไปถามดู!」

「อย่าเลยเอ็ง มันเสียมารยาทนะเฟ้ย」

「ไม่หรอกน่า! คำถามประมาณ “ผู้หญิงที่เคยโอบกอดมานี่ ติดใจคนไหนมากที่สุด” ไม่ใช่เรื่องที่เสียมารยาทอะไรขนาดนั้นซะหน่อย」

แบชยืนขึ้นมา

ร่างกายที่สูงเกินกว่า 2 เมตร แม้จะดูเตี้ยเมื่อเทียบกับออร์คทั่วไป แต่รอยแผลเป็นตามร่างกายที่เปรียบเสมือนดังเรื่องเล่าของทหารผ่านศึก และความหนาแน่นของกล้ามเนื้อที่บึกบึนนั้นมากกว่าผู้ใดสถานที่แห่งนี้

ถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดก็ตาม แต่ท่าทางการเคลื่อนไหวที่ไร้ซึ่งความสูญเปล่า กับออร่ายากที่จะเข้าใกล้ได้แผ่ออกมารอบตัว

เขาจ้องมายังชายผู้ที่กำลังมุ่งหน้าไปหาเขา

「……」

ชายคนนั้นหยุดนิ่งด้วยสายตาที่ถูกจ้องมา

「ขะ ขอโทษด้วยครับ! หมอนี่ค่อนข้างจะบ้าเห่อ เลยอยากจะเข้าไปถามอะไรนิดหน่อย……」

ชายคนที่อยู่ข้างๆก้มหัวขอโทษแทบจะทันที

การที่ออร์คก้มหัวข้อโทษเพราะแค่โดนมองมานั้น มีแต่พวกขี้แพ้น่าอัปยศ

แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นถึง “ฮีโร่” ล่ะก็ ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ฝ่ายที่ไม่ก้มหัวให้ต่างหากล่ะ ที่น่าละอายใจซะมากกว่า

「หึ」

แบชพ่นลมออกมาทางจมูกเฮือกหนึ่ง แล้วเดินออกจากบาร์ไป

「ว๊าว……โคตรเท่……」

หลังคำรำพึงนั้นเล็ดลอดออกมา ก็ได้ยินเสียงชื่นชมหลั่งไหลมาจากบรรดาออร์ครอบตัว

เหนือกว่าอย่างท่วมท้น สมกับเป็นสุดแกร่ง

หากเป็นออร์คทั่วไป หากโดนพวกบรรดาออร์ควัยรุ่น เข้าใกล้ด้วยสายตาที่นับถือ มักเริ่มจะพูดจาโอ้อวดตน จนภาพลักษณ์ที่ทำเป็นเท่นั้นทลายลง

เช่น “อะไรกันเจ้าหนุ่ม อยากฟังวีรกรรมของข้าผู้นี้งั้นหรือ? ก๊ากฮะๆ ได้สิจะเล่าให้ฟังเลยล่ะ ตอนนั้นเป็นช่วงสงครามที่ทุ่งราบอัลกานเจล ข้าน่ะได้ลุกขึ้นสู้กับกองทัพศัตรูจำนวนมากมายด้วยความกล้าหาญ บลาๆๆๆ….”

แน่นอน ว่าเรื่องนี้เองก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด

หากพูดในค่านิยมของออร์คแล้วล่ะก็ มีเรื่อง การโอ้อวดและการประพฤติตนให้สมกับเป็นนักรบเผ่าออร์คอยู่ การที่ตนเองอยากจะโอ้อวดผลงานตนในสนามรบ นั้นไม่ใช่ผิดหรืออะไร ถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมด้วยซ้ำ

บางตนอาจจะอัดเจ้าหนุ่มคนที่มาถาม แล้วด่ากลับไปว่า

”มองไรเจ้าบ้า มองไม่ออกหรือไงว่าข้าอยากดื่มเหล้าคนเดียวเงียบๆน่ะ!”

การกระทำแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด การสั่งสอนพวกเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมว่านักรบออร์คที่ป่าเถื่อนเป็นยังไง ก็สมกับเป็นการกระทำของออร์คล่ะ

พวกวัยรุ่นพวกนี้ หากโดนแบชชกเข้าให้ล่ะก็ คนถือว่าเป็นรางวัลได้เลยล่ะมั้ง ไม่แน่อาจถือเป็นสมบัติล้ำค่า ที่ไม่มีวันลืมตลอดชีวิตเลยก็เป็นไปได้

แต่แบชนั้นเพียงแค่มอง ก็จบเรื่องได้

แค่สายตาของเขานั้น สามารถสื่อได้ว่า “เศษสวะอย่างแกอ่ะ ไม่คู่ควรที่จะมาคุยกับข้า”

มีเพียงออร์คที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถทำแบบนี้ได้

สิ่งนี้นี่แหละคือบุคลิกของผู้มีฝีมือฉกาจ วีรบุรุษน่ะ ไม่ใช่คนที่พวกปลาซิวปลาสร้อยจะเข้าไปคุยด้วยได้ง่ายๆ

พวกเรานั้น แค่ได้ดิ่มเหล้าในที่ที่เดียวกับแบชดื่ม

สำหรับพวกออร์ควัยรุ่น แค่เรื่องนี้ก็เพียงพอแล้ว แถมกริยาท่าทางของแบชเองก็เท่สุดๆด้วย

แค่นี้ก็อิ่มเอิ่มใจพอแล้ว

「อึ่ก……ข้าเองก็อยากเป็นเหมือนคนคนนั้นล่ะ」

「บ้าเปล่า เก็บไปฝันในชาติหน้าเอาเหอะ!」

「รู้อยู่แล้วล่ะน่า! แต่คันปากอยากถามจริงๆนะ เรื่องผู้หญิงที่เคยกอดเนี้ย……」

พอได้ฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากบาร์แล้ว แบชถึงกับถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

หากมองจากมุมมองของคนรอบข้าง แผ่นหลังหนาทึบของเขาที่กำลังเดินกลับบ้านนั้น ดูห่อเล็กลงเล็กน้อยอย่างรู้สึกได้ ขนาดย่างก้าวเองก็สั้นลงด้วย เหมือนกำลังหวั่นเกรงอะไรบางอย่าง

ใช่แล้ว คำถามเด็กหนุ่มเมื่อครู่นี้ เป็นเหมือนหมัดตรง ชกใส่ความกังวลใจของแบชจังๆเลย

ผู้หญิงที่เคยกอดมาจนถึงตอนนี้เอย

ผู้หญิงที่ถูกใจที่สุดเอย

หากโดนถามแบบนั้นเข้าล่ะก็ คงตกที่นั่งลำบากจริงๆล่ะ

เพราะว่าความกลุ้มใจของเขานั้น

สิ่งที่ตัวเขาผู้มีทุกสิ่งทุกอย่างเพียบพร้อม แต่ยังไม่ได้ละทิ้งไป

สิ่งนั้นก็คือ……。

「เฮ้อ น่าหลงไหลชะมัด จนถึงวันนี้ได้จับผู้หญิงข่มขืนทำลูกมากี่คนแล้วน้า……」

(……0 คนล่ะ)

ยังซิงอยู่จ้า!

แบชนั้นเกิดขึ้นมาในระหว่างสงคราม

ออร์คสีเขียวผู้ที่คืบคลานออกมาจากมดลูกของมนุษย์เพศเมียที่ถูกข่มขื่นในฐานะเชลยที่ถูกจับมาในช่วงสงคราม

นั่นคือตัวเขาเอง

พอเข้าเกิดได้มา 5 ปี ก็ได้รับมอบดาบ พอครบ 10ปี  ก็ได้เข้าร่วมในสนามรบ และฆ่าฟันศัตรูได้

แม้ออร์คจะเป็นผู้ชื่นชอบการต่อสู้ขนาดไหนก็เถอะ แต่การเข้าร่วมรบตั้งแต่ 10 ขวบนั้นก็ถือว่าเร็วเกินไป

ในช่วง 10 ขวบนั้น ถือเป็นช่วงอายุที่ไม่นับว่าเป็นนักรบได้ด้วยซ้ำ

ในความเป็นจริง พวกออร์คที่เข้าร่วมสงครามตั้งแต่ 10 ขวบ แทบจะเอาชีวิตไปทิ้งเล่นทั้งสิ้น

แต่ ต้องขอบคุณของการรบจากความคิดของราชาอสูรเกดิ้งในเวลานั้น ทำให้แม้แต่พวกออร์ควัยรุ่นช่วงอายุ 10 ปี ก็ยังมีโอกาสรอดชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน่อย

แต่ ก็แค่เพียงหยิบมือเท่านั้น

เป็นเรื่องที่โชคดี ที่แบชนั้นยังรอดตายอยู่

ในช่วงหนึ่งปีแรก ชีวิตเขาเดิมพันชีวิตมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เข้าปีที่สอง เขาก็ได้กลายเป็นนักรบคนหนึ่งในสงคราม พอปีที่สาม ก็กลายเป็นนักรบเจนศึก ในปีที่สี่ ก็กลายเป็นนักรบชั้นแนวหน้า และสุดท้ายในปีที่ห้า เขาเป็นนักรบสุดแกร่ง ไม่อาจหาผู้ใครมาทัดเทียมได้

นักรบที่แข็งแกร่งที่สุด

ใช้แล้ว เขาคือผู้ที่เกิดมาเพื่อต่อสู้โดยแท้จริง

ปกติแล้วทางฝั่งอสูรจะเสียเปรียบ มีเพียงสนามรบที่แบชอยู่นั้นที่กลับกัน

ในสนามรบที่เขาอยู่ เต็มไปด้วยละอองฝนเลือดจากเหล่า คนแคระ เอลฟ์ มนุษย์ พวกเครื่องในกระจายเกลื่อนไปทั่ว

ไม่ว่าตรงนั้นจะมีคู่ต่อสู้แบบไหนอยู่ แบชก็เข้าต่อสู้และชนะได้

ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ถูกเรียกว่ายอดฝีมือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ถูกเรียกว่าเซียนดาบ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ถูกขนามนามว่าเทพสงคราม ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ถูกเขาปราบ และคว้าชัยในสงครามทั้งสิ้น

เหนือไปกว่านั้น แบชไม่เคยคิดจะหยุดพัก

พอเขาคว้าชัยในสมรภูมิหนึ่งได้ เขาก็รีบรุดไปยังอีกสมรภูมิหนึ่งอีกในทันที

สมรภูมิแล้วสมรภูมิเล่า

นักรบผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยนั้น เข้าต่อสู้จนถึงที่สุดโดยไม่เกี่ยงวันเวลา

ในสามวันเค้าจะพักผ่อนเพียงแค่หนึ่งครั้ง เขาจะใช้ละอองผงจากปีกแฟรี่ที่เป็นยาครอบจักรวาลโรยทั่วตัว ช่วงเพียงนิดเดียว “เวลานอน” เท่านั้น
เขาไม่เคยกังขาเรื่องการต่อสู้เลย เขาคิดว่าเป็นเรื่องที่ควรกระทำในฐานะนักรบเผ่าออร์คเท่านั้น

พลังการรบของแบชนั้นเหนือล้น

แต่ละประเทศต่างหวาดหวั่นต่อ “การคงอยู่ของออร์คที่ผิดปกติ”

ในสงคราม ผู้ที่มีชีวิตรอดยังพูดอย่างหวาดกลัวว่า “นั่นน่ะ คือร่างอวตารของเทพแห่งการต่อสู้กูดาโกซ่าแน่ๆ”

ภายหลังสงคราม แม้กระทั่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเผ่ามนุษย์เองยังพูดออกมาว่า “หากเจ้าออร์คนั่นโผล่มาเร็วกว่านี้ซักห้าปีล่ะ ฝ่ายที่พ้ายแพ้อาจเป็นพวกเราก็เป็นได้”

แต่ทว่า ขอบเขตที่แบชทำได้เองก็แค่ระดับบุคคล

ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใดก็เป็นได้แค่เพียงทหารหนึ่งนายเท่านั้น

แม้จะทำชัยในสมรภูมิย่อยๆได้ แต่ไม่ได้มีพลังถึงขนาดเปลี่ยนสถานการณ์โดยรวมได้

ราชาอสูรเกดิงส์ถูกพิชิต หลังจากแบชเข้าสู่สนามรบได้เพียง 10 ปี และช่วงปีที่ 15 สมครามก็ได้ข้อสรุป

ถึงแม้จะพ่ายแพ้ในสงคราม แต่แบชก็ได้รับฉายาวีรบุรุษ และได้รับสิ่งต่างๆมากมายมาครอบครอง

บ้านหลังใหญ่ อาหารที่มากมาย อาวุธที่แข็งแกร่ง และสายตาอิจฉาของบรรดาออร์คทั่วประเทศ

แต่ทว่า เขากลับพึ่งรู้สึกตัว

ไม่สิ ต้องพูดว่า พึ่งรู้ซะมากกว่า

เรื่อง ปกติแล้วตัวตนที่เรียกว่าออร์คน่ะ ใช่ว่าจะรบราฆ่าฟันแต่เพียงอย่างเดียว

เรื่องที่ว่า โดยทั่วไปหลังจากสู้เสร็จแล้ว พวกเขาจะพาผู้หญิงกลับมาข่มขืนกระทำชำเรา

หลังสงครามจบลง บรรดานักรบที่ยืนอยู่เคียงข้างกายเขานั้น ไม่มีผู้ใดเป็นหนุ่มซิงเลย

จนถึงป่านนี้แล้ว เลยไม่สามารถพูดออกไปได้

“ตัวเองไม่มีประสบการณ์” เอย “ตัวเองยังซิงอยู่”เอย

พอรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว

หากเป็นช่วงสงครามอยู่ล่ะก็ ยังพอทำเนา

เข้าไปทะลวงทัพศัตรูให้พินาจ ลากอัศวินหญิงที่เหลือไปปลุกปล้ำในพุ่มไม้ พร้อมทั้งสละซิงได้อย่างงดงาม หลังจากลองฝึกหลายๆรอบจนชำนาญ เท่านี้ก็ลากผู้หญิงที่ถูกใจกลับไปด้วย เพื่อให้คลอดเด็กให้ซักคนสองคนได้ก็ดี

แต่ในตอนนี้ไม่สามารถกระทำอย่างนั้นได้

สหพันธ์เจ็ดเผ่าพันธุ์ที่เผ่าออร์คสังกัดอยู่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้

เผ่าออร์คเองก็ตอบรับแผนการปรองดองเองด้วย

ถูกผูกมัดด้วยสนธิสัญญาจากการยอมแพ้โดยไร้เงื่อนไข

และในสนธิสัญญานั้นมีข้อบัญญติ “ห้ามกระทำทางเพศกับเผ่าอื่นโดยไม่ได้รับยินยอมจากอีกฝ่าย” อยู่

หรือก็คือห้ามใช้กำลังข่มขืน

แม้มันจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับออร์คนั้นถือเป็นเงื่อนไขที่ยากที่จะรับได้

ถ้าถูกห้ามในเรื่องนั้นล่ะก็ เผ่าพันธุ์ออร์คจะไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ ได้เพียงแค่รอเวลาล่มสลายเท่านั้น

แต่ก็ทำได้เพียงแค่กล้ำกลืนฝืนทน

ถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่าถูกกวาดล้างในทันที

ถึงจะมีผู้ออกความเห็นว่า ต่อให้ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็ขอยอมสู้จนตัวตายดีกว่า ก็เถอะ แต่ออร์คคิงบอกปัดข้อเสนอนั้น

โชคยังดีที่มีการส่ง นักโทษประหาร หรือ นักโทษที่ทำผิดร้ายแรง ในฐานะ “ผู้อุทิศตน” จากเผ่าอื่นมาให้ ทำให้ความกังวลเรื่อง “เผ่าพันธ์ุจะล่มสลายเพราะสืบพันธุ์ไม่ได้” ได้คลี่คลายลง  “ผู้อุทิศตน” นั้นจะถูกพันธนาการไว้ที่ลานผสมพันธ์ุ คอยเป็นคู่ให้กับพวกออร์ค จะถูกใช้ให้กำเนิดพวกลูกของออร์ค จนกว่าจะใช้งานไม่ได้

จากที่กล่าวมา แบชจึงสามารถสละซิงเมื่อไรก็ได้

เรื่องง่ายๆ ก็แค่ไปยังลานผสมพันธ์ุ และใช้งาน “ผู้อุทิศตน” ซะก็จบ

การใช้งาน “ผู้อุทิศตน” นั้นถูกกำหนดให้เรียงลำดับความสำคัญตามผลงานในสงคราม หากเป็นแบชล่ะก็ ไม่ต้องรอคิวเลย สามารถสละซิงได้ในทันทีนั่นเอง

แต่ทว่า หากแบชไปที่ลานผสมพันธ์ุล่ะก็ คนอื่นคงกรูเข้ามามุงดูเป็นแน่แท้

เข้ามาดูการผสมพันธุ์อันน่าเกรงขามของวีรบุรุษ

แน่นอนว่าหนุ่มซิงอย่างแบชคงไม่สามารถผสมพันธุ์อย่างดุดันได้

สิ่งที่เขาทำคงเป็นการผสมพันธุ์ที่น่าสมเพชของพวกหนุ่มซิงเท่านั้น

ใช่แล้ว การที่ออร์คมาสละซิงในที่นี้นั้น ไม่ต่างอะไรกับการประกาศให้รู้ว่าตนเองเป็นหนุ่มซิงนั่นเอง

สำหรับแบช เรื่องนั้นจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงให้ได้

จะให้เรื่องน่าขายหน้านั้นหลุดลอดออกมาไม่ได้

แม้จะมีความละอายในฐานะผู้ชายคนหนึ่งอยู่ก็ตาม แต่แบชเองเป็นถึงวีรบุรุษของเผ่าออร์ค

วีรบุรุษที่มีเพียงหนึ่งเดียว ตัวตนที่มีความภาคภูมิและเกียรติยศสูง หากเรื่องที่ว่า วีรบุรุษของออร์คเป็นหนุ่มซิงเกิดรู้เข้ากันไปทั่วล่ะก็ ศักดิ์ศรีของมวลหมู่ออร์คได้เกิดบาดแผลเป็นแน่ แบชจึงเก็บเรื่องนี้ เหยียบซ่อนไว้ไม่ให้ใครรู้ไปตลอดชีวิต

ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เขาเองก็ไม่คิดจะเป็นหนุ่มซิงไปตลอด

แบชเองก็เป็นออร์คหนุ่มคนหนึ่ง

ความปรารถนาที่อยากจับผู้หญิงกด แล้วปลดปล่อยความต้องการของสัตว์ป่าใส่ลงไปในช่องคลอดของผู้หญิงเพื่อทำเด็กนั้น เขาก็มีอยู่เช่นกัน

และไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว

นักรบที่แข็งแกร่ง มีหน้าที่ที่ต้องทิ้งทายาทไว้อยู่

เขาเองก็ได้คำขอร้องจากออร์คคิง ให้ช่วยทำเด็กจากลานผสมพันธุ์ไวๆทีเถอะ อยู่หลายครั้งเช่นกัน

อ่า แต่ถ้าเรื่องเป็นหนุ่มซิงแตกไปล่ะก็ ได้อายจนอยากมุดดินหนีแน่ๆ

เรื่องความซิงสำหรับออร์คนั้น เป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าเป็นที่สุด

ถึงแบชจะเป็นหนุ่มซิง แต่เขาเองก็มีเกียรติในฐานะวีรบุรุษของออร์คอยู่เช่นกัน

เขาไม่อยากทำลายสายตานับถือของพวกออร์ควัยรุ่นที่มองมายังตนตอนที่อยู่ในบาร์นักหรอก

แบชได้กักอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้น และกังวลเรื่อยมา

นับตั้งแต่สงครามจบลงไปแล้ว 3 ปี เฝ้ากังวลมาตลอด

แต่แล้วอายุก็มาถึงปีที่ 28 ปี

ในปีนี้ แบชอายุครบ 28 ปี

เหลือเพียง 2 ปี หากสามารถรักษาความบริสุทธิ์ได้จนถึงตอนนั้นล่ะก็ จะถึงช่วงอายุที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ (เป็นนักปราญช์!)

ใช่แล้ว ออร์คนั้นแม้ไม่ต้องฝึกฝนเป็นพิเศษ แต่หากสามารถรักษาความซิงจนพ้นอายุ 30 ปีได้ล่ะก็ จะสามารถใช้เวทมนตร์ได้

ออร์คเมจเองก็เป็นกำลังรบที่มีความสำคัญล้ำค่า

สำหรับออร์คที่เกินกว่าครึ่งเป็นนักรบนั้น การใช้เวทมนตร์ได้รับเป็นสิ่งล้ำค่าเป็นอย่างมาก

พวกเขาเหล่านั้นจะถูกแยกเลี้ยงดูในสถานที่พิเศษที่ถูกตัดขาดจากพวกผู้หญิง พอถึงวัยที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ จะมีตราสัญลักษณ์ปรากฎขึ้นมาตรงหน้าผาก

ผู้ที่ครอบครองตราสัญลักษณ์นั้นจะเป็นที่นับถือ

เป็นหลักฐานการอุทิตตนอดทนอดกลั่นตลอด 30 ปีเพื่อประเทศชาติ

นั้นคือเรื่องที่ว่านั้นมันสำหรับออร์คเมจเท่านั้น มีคำพูดว่า ไม่มีอะไรจะขายขี้หน้ามากกว่าการที่ออร์ควอริเออร์ หรือนักรบออร์คมีตราประทับตรงหน้าผากอีกแล้ว

”นักรบมนตราคือความน่าอับอายของเหล่าออร์ค” คำนี้ได้สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตแล้ว

สำหรับออร์คแล้ว การโค่นอัศวินหญิงในสนามรบ แล้วลากกลับมาข่มขืนนั้น ถือเป็นสิ่งที่เห็นพ้องกัน

เพราะฉะนั้นพวกออร์คที่เป็นนักรบมนตรานั้น สามารถชี้ให้เห็นว่า “ออกไปยังสนามรบเป็นสิบๆ ปี แต่กลับไม่ชนะใครเลยซักคน เป็นนักรบที่ขี้ขาดอ่อนแออะไรเช่นนี้”

อายจนอยากมุดรูหนีเลยล่ะ

ถ้าเจอเรื่องแบบนั้น สู้วิ่งไปตายในสนามรบเสียยังดีกว่า

อย่างที่เล่าไป จนถึงช่วงเวลานั้น เหลืออีกเพียงแค่ 2 ปี

ต่อให้อุบเงียบยังไง แต่เรื่องที่ตนเป็นหนุ่มซิงต้องความแตกอย่างแน่นอน

「เอาล่ะ」

ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจได้แล้ว

ในวันนั้น หลังจากแบชลืมตาตื่น เขาก็ได้หยิบดาบคู่ใจขึ้นมา ดาบที่ถูกทำมาอย่างดีนี้ หลังจากเข้าร่วมสงครามในช่วงปีที่หก ตอนที่แบชได้บุกเข้าทำการช่วยเหลือกองทัพอสูร หัวหน้าของกองทัพอสูรได้มอบให้เขาแทนคำขอบคุณ

เป็นดาบเวทมนตร์ ที่ใบดาบมีความคงทน ไม่มีทางขึ้นสนิม และฟันเท่าไรคมดาบก็ไม่ทื่อ

ด้วยความคงทนนี้เอง ทำให้หลังจากนั้นแบช สามารถต่อสู้ในสนามรบได้ต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นเปลี่ยนอาวุธใหม่เลย

ถือเป็นดาบคู่ใจเลยล่ะ

เขาเอาดาบพาดหลัง สวมชุดเกาะหนัง ออร์คนั้นได้รับอนุญาติให้สวมชุดเกราะที่มีความหนาได้ตามลำดับขั้นที่สูงขึ้น

แบชที่เป็นถึงวีรบุรุษ ซึ่งเป็นลำดับขั้นที่สูงสุดนั้น แน่นอนว่าสามารถสวมเกราะโลหะแบบทั่วตัวได้ แต่สิ่งที่เขาสวมกลับเป็นชุดเกราะหนังที่คุ้นชินเสียมากกว่า

พวกชุดเกราะนะ ใส่สู้แค่ศึกเดียวก็พังยับเยินแล้ว สวมไปก็ไร้ค่าอยู่ดี

หลังจากนั้น เขาก็ทำความสะอาดบ้านอย่างง่ายๆ

ออร์คที่ถนัดงานทำความสะอาด มีจำนวนเยอะกว่าที่คิด สาเหตุก็คือ ในสนามรบนั้นมีการลบร่องรอยของตนตอนถูกไล่ตามอยู่ นักรบชั้นเลิศนั้นจะไม่ทิ้งรอยท้ายของตนไว้แม้แต่รอยเดียว

แบชเองก็ถนัดการทำความสะอาดเช่นกัน

ถึงจะพูดอย่างนั้นก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะทำความสะอาดให้หมดจดทุกซอกทุกมุม

หลังจากจัดการตามเหมาะสม แบชก็ออกจากบ้าน

แบสหลังจากออกจากบ้าน เขาหันกลับไปมองบ้านตัวเองก็ครั้งหนึ่ง

บ้านของแบชนั้น จัดเป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในประเทศออร์ค

สำหรับอยู่อาศัยคนเดียวแล้ว ถือว่าเป็นบ้านที่ใหญ่เกินไป

ตามปกติแล้ว มันเหมาะเป็นสถานที่ชักชวนแขกมาจัดงานเลี้ยงข้ามวันข้ามคืน กินเหล้าเมายาระหว่างโอ้อวดวีรกรรมของตน แต่สำหรับแบชที่อยากจะซ่อนเรื่องความเป็นหนุ่มซิงของตนนั้นไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้

หากจะโอ้อวดวีรกรรมล่ะก็ มีหรือจะไม่มีเรื่องประสบการณ์กับผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวด้วย

พอหันหลังเสร็จ แบชก็ได้เริ่มออกเดินทางไปยังจุดหมายของตนเอง

「อ๊ะ คุณแบชล่ะ……」

ระหว่างที่แบชเดินตามทางอยู่นั้น เหล่านักรบออร์คต่างหน้าขึ้นสีและหลบทางให้

หากเป็นปกติล่ะก็「ขอทาง? ถ้าอยากให้ข้าหลบให้ล่ะก็ผ่านศพข้าไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะแยกหัวออกจากลำตัวให้เอง」พวกนักรบออร์คคงพูดแบบนี้แน่

「วันนี้ท่าน “ฮีโร่” ก็เท่เหมือนเดิมเลย……」

「ทางที่มุ่งหน้าไปนั้น บ้านของหัวหน้าเผ่าสินะ? มีธุระอะไรนะ?」

「หรือว่า จะไปคุยเรื่องขอเป็นหัวหน้าเผ่าคนถัดไปน่ะ?」

「เอ๋~คุณแบชจะเป็นหัวหน้าเผ่าคนถัดไปงั้นเรอะ! แย่แล้ว เรื่องใหญ่เลยล่ะ แบบนี้ข้าเองต้องรีบไปถวายสัตย์คนแรกให้ได้」

「บ้าเปล่า คนแรกต้องเป็นตรูอยู่แล้วล่ะเฟ้ย」

ระหว่างที่ได้ยินเสียงการพูดคุยเช่นนั้น แบชก็เห็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่หนึ่งหลังอยู่ข้างหน้า

สิ่งที่ถูกสร้างผสมผสานระหว่ากระดูกขนาดยักษ์และไม้ขนาดใหญ่นั้นคือ สิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตมหาฬารที่สุดในหมู่บ้านออร์ค

พอเข้าไปด้านใน ก็เจอห้องรับแขกขนาดใหญ่ ภายในนั้นมีแค้มป์ไฟอยู่จำนวนหนึ่ง

ด้านในลึกสุดนั้น มีออร์คอยู่จำนวนหนึ่งกำลังนั่งอยู่กับพื้น ทานอาหารร่วมกันอยู่

「คุณแบช……!」

「พ่อ คุณแบสมาหาล่ะ」

「คุณแบส มาทานข้าวด้วยกันไหมครับ?」

เหล่าออร์คที่นั่งอยู่บนพื้น ต่างกล่าวคำต้อนรับออกมา

ถึงพวกเขาจะมีอายุรุ่นๆเดียวกับแบชก็ตาม แต่ทุกคนต่างหลงไหลในตัวแบสไม่ต่างกับคนอื่น

ถึงช่วงตอนที่แบสเริ่มเข้าร่วมสงคราม จะมีคนไม่ชอบขี้หน้าเขาก็ตาม แต่ในปัจจุบันไม่ว่าใครต่างใฝ่ฝันอยากเป็นเช่นเขาให้ได้

เพราะแบชเป็นฮีโร่ของเหล่าออร์คนั่นเอง

「แบช งั้นหรือ……」

ในจำนวนออร์คพวกนั้น มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมายังแบช

ด้านในที่ลึกสุดนั้น มีเพียงแค่หนึ่งตนเท่านั้น ออร์คตัวใหญ่มโหฬารที่นั่งเก้าอี้อันหรูหราอยู่

ถึงจะเป็นออร์คที่เข้าสู่วัยชราที่มีหนวดเคราสีขาวขึ้นปกคลุม แต่ร่างกายที่ใหญ่กว่าแบชถึงสองเท่าตัว ตรงข้างๆสีข้างมีค้อนขนาดความยาวเท่าลำตัวตั้งไว้อยู่

ชื่อของเขาคือ เนเมซิส

ราชาของหมู่ออร์ค เนเมซิส

มีนิสัยบ้าบิ่น

เป็นผู้ที่ยืนหยัดต่อสู้ในแนวหน้าท่ามกลางเหล่าออร์คจนสงครามสิ้นสุด บุคคลที่ออร์คทั้งหมดให้ความเคารพรักเฉกเช่นบิดา จอมราชาของหมู่ออร์ค

แบชเองก็ให้เคารพ และจงรักภักดีแก่เนเมซิสเช่นกัน

「มีธุระอะไรหรือ?」

สายตาที่ส่งออกมาของเนเมซิสนั้นแข็งกร้าวกว่าปกติ

แรงพอที่จะทำให้ออร์คทั่วไปน้ำลายฟูมปากสลบเหมือดได้

「……」

แต่ แบชเองก็ไม่ขยับเขยื่อนไปไหน เขามองกลับไปที่เนเมซิสด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งความลังเล

พอเห็นเช่นนั้น เนเมซิสถึงกับหัวเราะออกมา

「เหล่าลูกข้าเอ๊ย ช่วยออกไปข้างนอกที」

เท่านั้น พวกบรรดาลูกที่กำลังกินอาหารอยู่รอบๆตัวก็เตรียมกันออกไปห้องอื่น

การสนทนาระหว่างราชาและวีรบุรุษ

แม้จะอยากฟังใจจะขาดก็ตาม แต่พวกต่างเป็นออร์คที่ผ่านสมรภูมิรบมาแล้วทั้งสิ้น การปฎิบัติตามความสั่งถือเป็นกฎเหล็กของอัศวิน

พวกเขาเดินออกไปพร้อมกับทำท่าทางน่าเสียดาย

「……」

พอเหลืออยู่เพียงลำพัง แบชได้นั่งลงตรงหน้าเนเมซิส

ในระหว่างทั้งคู่มีอาหารที่ยังทานเหลือค้างไว้อยู่ แต่มือของทั้งคู่กลับไม่ได้แตะต้องอาหารเหล่านั้นเลย

「……」

「……」

ทั้งคู่นั่งเงียบทำเพียงแค่จ้องตาซึ่งกันและกัน

ความเงียบนั้นได้ดำเนินต่อไป ยาวนานจนไม่สมกับเป็นเผ่าพันธุ์ที่ชอบพูดจาด้วยถ้อยคำเสียงดังที่ทนได้

แต่ ความเงียบนั้นก็ใช่จะดำรงต่อไปชั่วนิรันดร์

ในช่วงเวลาเดียวกัน เสียงถ่านไฟประทุ เนเมซิสก็ได้เปิดปากพูดออกมา

「สายตานั้น ดูเหมือนจะตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้วสินะ」

「ครับ ตัวข้าน่ะ……」

「ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก ข้าเข้าใจหมดแล้ว」

พอเห็นแบชทำท่าจะปริปากบอก เนเมซิสก็ได้ห้ามเอาไว้

「เรื่องที่เจ้าแทบไม่ได้ไปที่ลานผสมพันธุ์นั้น ก็ได้ยินผ่านๆเข้ามาในหูอยู่หรอกน่า……」

เนเมซิสส่งสายตาอันเฉียบคม มองไปที่แบซพร้อมทั้งพูดต่อว่า

「จะออกไปตามเองงั้นสินะ ภรรยานั่นน่ะ」

「!」

สังคมออร์คนั้นเป็นสังคมแบบหลายผัวหลายเมีย

มีการแบ่งปันผู้หญิงคนเดียวแก่ชายคนอื่นจำนวนมาก เพื่อให้กำเนิดเด็กเป็นเรื่องปกติ

แต่ สำหรับนักรบผู้สร้างคุณงานความดีในสงคราม เพื่อคงสายเลือดที่ยอดเยี่ยมนั้นไว้ มีสิทธิพิเศษที่สามารถมีภรรยาได้

ภรรยา หรือก็คือผู้หญิงที่มีไว้สำหรับตนเท่านั้น

ตัวตนที่คอยรับใช้ปรนนิบัติ และคอยให้กำเนิดบุตรของตนของเฉพาะ

การที่ได้สิ่งนี้มาครอบครองล่ะก็ ถือได้ว่าบรรลุเป้าหมายสุดท้ายของชีวิตออร์คเลยก็ว่าได้

ตัวตนที่เรียกว่าภรรยานั้น เป็นตัวตนที่พิเศษ

มีออร์คเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาติ เปรียบดั่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์

ผู้หญิงชั้นเลิศนั้นเป็นที่ถูกหมายปอง ยกตัวอย่างเช่น เจ้าหญิงผู้งดงามเหนือใต้หล้าเอย อัศวินหญิงที่สามารถไต่เต้าจนเป็นหัวหน้าอัศวินได้เอย จอมขมังเวทที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะในรอบพันปีเอย

เมื่อทำการจับตัวตนที่พิเศษนั่นได้แล้ว ก็บังคับให้ยอมรับเป็นภรรยาของตนซะ มีคำพูดที่ว่า ยิ่งภรรยานั้นมีตัวตนที่พิเศษมากเพียงใด สถานะของออร์คที่เป็นสามีนั้นจะยิ่งสูงขึ้นเพียงนั้น

แบชเป็นถึงวีรบุรุษที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ออร์ค

หากจะหามาเป็นภรรยา จำเป็นต้องมองหาผู้หญิงที่มีความเหมาะสมด้วย

เหล่าทาสหรือนักโทษจากประเทศอื่น ที่ถูกตรวนตราที่ลานผสมพันธุ์นั้น ไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้

แน่นอน หากแบชที่เป็นถึงวีรบุรุษ ถือครองผู้หญิงระดับพรรคนั้นล่ะก็ ส่งผลให้เกิดบาดแผลในศักดิ์ศรีของเหล่าออร์คเป็นแน่แท้

เพราะอย่างนั้น แบชจึงได้ร้องขอให้ตนเดินทางค้นหาด้วยตนเองไงล่ะ

เพื่อไม่ให้ศักดิ์ศรีของออร์คต้องมัวหมอง

ราชาออร์คได้คิดเช่นนี้ ไม่สิโดนอ่านทะลุปรุโปร่งเลย ดวงตาที่ทรงปัญญานั้น สมแล้วที่ไม่ว่าใครต่อใครก็สรรเสริญ

แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้นก็เถอะ

「ถูกมองออกหมดเปลือก……เลยสินะครับ……」

แบซหลบสายตามองพื้นด้วยความละอายใจ ทั่วใบหน้าแดงกล่ำ นึกไม่ถึงว่าเรื่องที่ตนเป็นหนุ่มซิงจะความแตกซะแล้ว

ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีคำว่า “ภรรยา” หลุดออกมาอีกด้วย

เรื่องที่ว่า พอออกจากประเทศออร์ค และมองหาที่อื่นซักที่ ที่ที่ตัวเองจะสละซิงได้ก็ตาม เรื่องที่ว่าคู่ขาครั้งแรกนั้นถ้าได้สาวบริสุทธิ์ก็ยิ่งดีก็ตาม เรื่องที่คิดว่าจะให้สาวบริสุทธิ์คนนั้นคอยฝึกหัดตนเพื่อเป็นภรรยาก็ตาม เรื่องที่คิดทั้งหมดกลับถูกมองออกซะได้

ไม่มีทางที่จะไม่อายได้อยู่แล้ว

ไหนจะ ผู้ที่เป็นถึงวีรบุรุษของออร์คออกเดินทางเพื่อที่จะสละซิงเอย

แถมเรื่องนั้นกลับถูกอีกฝ่ายที่เป็นดั่งพ่อของมวลออร์คดูออกเอย

จะถูกพูดให้ร้ายว่าเป็นความอับอายของเหล่าออร์คก็ไม่แปลกอะไร

แต่ในความจริงราชาออร์คไม่ได้ล่วงรู้ความลับอะไรนั่นเลยก็ตาม แต่แบชก็ยังคงชื่นชมสายตาที่น่าทึ่งของเนเมซิสอยู่เพียงลำพัง

「องค์ราชา อย่าห้ามข้าเลย ข้าน่ะ……」

「ข้าไม่คิดจะห้ามเจ้าหรอก」

คำพูดที่พยายามแก้ตัวของแบชถูกเนเมซิสยกมือเบรคเอาไว้

หลังจากเนเมซิสผลุดยิ้มเจื่อน เขาได้หลับตาลงราวกันฝืนทนต่ออะไรบางอย่าง ก่อนที่จะกล่าวออกมา

「ไปซะ ข้าจะเก็บเงียบเรื่องนี้ไว้」

เนเมซิสคิดตำหนิตัวเองในใจ

หากเป็นช่วงในระหว่างสงครามล่ะก็ ไม่สิอย่างน้อยถ้าหากไม่มีสนธิสัญญาที่ว่า “ห้ามกระทำทางเพศกับเผ่าอื่นโดยไม่ได้รับยินยอมจากอีกฝ่าย” ตนคงหาโอกาสมอบภรรยาให้แก่แบชได้

อยากจะให้เขาได้ใช้ชีวิตให้เหมาะสมกับความสำเร็จนั่น ให้สมกับเป็นวีรบุรุษแท้ๆ

แต่ในตอนนี้สงครามได้จบลง แถมยังมีสนธิสัญญานั่นอีก

ในสถานการณ์แบบนี้ การค้นหาผู้หญิงเหมาะสมดีเลิศในฐานะภรรยานั้น ยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

ออร์คที่ขอผู้หญิงแต่งงานนอกจากการใช้กำลังข่มขืนนั้น นับตั้งแต่เริ่มสงครามมา 5000 ปีไม่เคยมีตัวอย่างให้เห็นเลย

เป็นอุปสรรค์ที่แท้จริง แต่เขากลับแบกรับมันไว้ด้วยตัวเอง สมกับเป็นวีรบุรษ

วีรบุรุษของออร์ค กลับเลือกออกเดินทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม

ทั้งๆที่ตนสามารถใช้ชีวิตแบบสุขสบายในประเทศตนได้แล้วแท้ๆ แต่เขากลับเลือกที่จะเดินทาง

ถึงออร์คนั้นพ่ายแพ้ในสงครามแต่เขากลับพิสูจน์ว่าความภาคภูมินั้นไม่ได้เสื่อมไป

ราชาที่ไหนก็ห้ามเค้าไม่ไหวหรอก

「……ขอบคุณครับ」

แบชก้มหัวให้ด้วยความเงียบ。

แม้กระทั่งตอนนี้ที่เราได้รับขนามนามว่าออร์คที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นถึงวีรบุรุษก็ตาม แต่เขาไม่เคยคิดว่าจะสามารถชนะราชาได้เลย

ในด้านพละกำลังตนอาจจะแข็งแกร่งกว่าก็จริง

ต่อให้สู้กัน ตนอาจเป็นฝ่ายชนะก็เป็นได้

แต่ความสามารถที่มองเห็นความคิดอันตื้นเขินของตนได้ในพริบตา มอบโอกาสให้กู้คืนเกียรติยศของตนโดยไม่แม้แต่จะดูถูกเยาะเย้ย ออร์คผู้ที่มีความคิดอ่านที่ลึกซึ้ง มีความเมตตาแก่ลูกน้องนั้นหาที่อื่นไม่ได้แล้ว

(เขานี่แหละราชาแห่งออร์คที่แท้จริง ชายผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งราชา ข้าขอให้ความจงรักภักดีแก่ท่าน จนกว่าท่านจะสิ้นลม)

แบชได้แก้ไขความคิดของตนเองใหม่

ด้วยเหตุนี้ แบชก็ได้ออกเดินทาง

การเดินทางอันยาวนาน เพื่อสลัดความเป็นหนุ่มซิงของตนเองลงให้จงได้

==============================================

เสร็จไปหนึ่งตอนได้เวลาอู้วว :3

ปล. จริงๆ ราชามันไม่รู้หรอกว่าพระเอกมันซิง มันต่างคนต่างมโนไปกันเอง มันแค่นึกว่าจะออกไปกอบกู้เกียรติยศของออร์คให้ กับหาเมีย เท่านั้น

Options

not work with dark mode
Reset