เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในจวนเช่นนี้ การกักบริเวณของนางเถียนจึงคล้ายถูกยกเลิกไปโดยปริยาย หลายวันมานี่นางวิ่งวุ่นทำทุกอย่างสุดกำลังจึงสามารถทวงคืนงานที่มอบหมายให้นางซ่งดูแลกลับมาได้หลายส่วน
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินถึงกับเซถลา
“ฮูหยินผู้เฒ่า!” นางซ่งยื่นมือเข้าไปประคองฮูหยินผู้เฒ่าไว้
นางเถียนก็เข้าไปประคองฮูหยินผู้เฒ่าเช่นกัน “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่าน…ท่านต้องถนอมสุภาพตนเองไว้ก่อน…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากลับค่อยๆ ยืนหลังตรงขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย
นางสวมชุดแพรสีน้ำเงินเข้มพิมพ์ลายเมฆาทอง แม้จะไม่สบายแต่มิได้ดูซีดเซียวอ่อนแออย่างหญิงชราทั่วไป ในดวงตาคล้ายมีลูกไฟก่อตัวขึ้นทำให้คนเห็นแล้วต้องสะดุ้งตกใจเสียมากกว่า
ฮูหยินผู้เฒ่ายืนหลังตรงดุจพู่กัน นางบีบมือนางซ่งโดยแรงอย่างไม่รู้ตัว “พวกเจ้าวางใจเถิด ข้าย่อมต้องรักษาสุขภาพตนเองก่อนอยู่แล้ว นางเถียน ผู้ใดเป็นคนพบศพของต้าหลังหรือ”
“เออ ผู้บัญชาการกู่เจ้าค่ะ” นางเถียนรู้สึกว่าท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่าช่างแปลกพิกลนัก
คนอายุปูนนี้แล้ว หากได้ยินข่าวร้ายไหนเลยจะสงบเยือกเย็นได้เช่นนี้ หรือว่าต้าหลังยังไม่ตาย
หึๆ ไม่ว่าต้าหลังจะตายหรือไม่ ก็ต้องตายอยู่ดี
ต้าหลังกับนางเจินหายสาบสูญไปพร้อมกับม้าที่แตกตื่นนั้นเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้แก่พวกเขา เช่นนี้จะไม่มีผู้ใดสงสัยพวกเขาแน่นอน
หลายปีมานี้ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยคิดจะกำจัดต้าหลัง แต่ที่ยังคงไม่ลงมือเสียทีด้วยกลัวว่าจะเกิดข่าวลือเสื่อมเสียมาแก่ตน
ฮูหยินผู้เฒ่าสูญเสียบุตรชายคนโตและสะใภ้ไปจึงรักใคร่ต้าหลังดุจสมบัติล้ำค่า หากเกิดความสงสัยแม้เพียงเล็กน้อย ตำแหน่งนี้ย่อมไม่อาจรักษาเอาไว้ได้แน่
“ใต้เท้ากู่ผู้ซึ่งรับตำแหน่งผู้บัญชาการเช่นเดียวกับต้าหลังผู้นั้นหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าจับมือนางซ่งพลางนั่งลง “เขาเห็นกับตาแล้วหรืออย่างไร”
นางเถียนเผยสีหน้าเศร้าโศก นางหยิบผ้าขึ้นเช็ดขอบตาตน “ในจดหมายเขียนว่าพบศพคนผู้หนึ่งที่เชิงเขา แต่เพราะใบหน้าถูกสัตว์ป่าแทะไปกว่าครึ่งแล้วจึงดูไม่ออก แต่จากรูปร่างนั้นคล้ายต้าหลังยิ่ง…”
กล่าวถึงตรงนี้ นางเถียนก็สะอื้นขึ้น
“ห้ามร้องไห้เด็ดขาด!” ฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้าเคร่งขรึมไม่เหมือนหญิงชราที่เพิ่งได้ฟังข่าวร้ายสักนิด “เช่นนั้นนางเจินเล่า”
นางเถียนส่ายหน้า “ในจดหมายมิได้เขียนไว้ คิดว่าคงยังหาตัวไม่พบเจ้าค่ะ”
“เจ้ารองกับเจ้าสามใกล้จะถึงเป่ยเหอแล้วกระมัง”
หลังจากเกิดเหตุพยัคฆ์บุกเข้าทำร้ายเจาเฟิงตี้ แม้เขาไม่คิดจะล่าสัตว์ต่อแล้วแต่ก็มิได้เดินทางกลับวังทันที ยังคงอยู่ที่นั่นอีกหลายวัน กระทั่งแน่ใจว่าตามหาหลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยวไม่พบแล้วจึงทิ้งทหารไว้บางส่วนเพื่อทำการค้นหาต่อ ที่เหลือก็คุ้มครองขบวนเสด็จกลับวัง
การเดินทางกลับเมืองหลวงใช้เวลาเพียงเจ็ดแปดวันเท่านั้น
เรื่องที่จวนต่างๆ ทราบล้วนเป็นเรื่องเมื่อเจ็ดแปดวันก่อน
จวนเจิ้นกั๋วกงย่อมต้องส่งคนของตนออกไปตามหาเช่นกัน
นายท่านรองสกุลหลัวต้องอยู่เป็นหลักให้จวน นายท่านสามสกุลหลัวก็เอาแต่ทำตัวเหลวไหล เรื่องนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของคุณชายรองและคุณชายสาม
นางเถียนพยักหน้า “น่าจะใกล้ถึงแล้วเจ้าค่ะ ในจดหมายยังเขียนอีกว่าอยากให้จวนเราส่งคนไปยืนยัน…”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พูดอันใดอีก เพียงนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ สายตามองออกไปแสนไกล
เมื่อต้นไม้ใบสีเหลืองเข้มแซมเขียวนอกหน้าต่างต้องเผชิญกับสายลมที่พัดโบกในยามราตรี จึงทำให้ใบไม้ที่เหลืออยู่บนยอดนั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยขับให้บรรยากาศดูเหน็บหนาวมากขึ้นไปอีก
สาวใช้สองคนที่เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสำหรับฤดูสารทก็คล้ายได้รับผลกระทบจากบรรยากาศภายในจวนไปด้วย พวกนางจึงทำงานของตนอย่างเงียบๆ ทำให้จวนแห่งนี้ยิ่งดูเศร้าหมองมากขึ้น
“ฮูหยินผู้เฒ่า เราต้องส่งจดหมายไปแจ้งแก่จวนเจี้ยนอานปั๋วหรือไม่เจ้าคะ” นางเถียนเอ่ยหยั่งเชิง
น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าพลันแหลมสูงขึ้น “ส่งจดหมายแจ้งอันใดกัน ยามนี้ยังหาต้าหลังและหลานสะใภ้ไม่พบมิใช่หรือ! เหตุใดแค่พบศพคนผู้หนึ่งจึงมั่นใจว่าเป็นต้าหลังแล้วเล่า!”
สะใภ้ทั้งสองต่างไม่กล้าพูดจาอันใดอีก
“นางเถียน เจ้ารีบให้เจ้ารองเขียนจดหมายแจ้งแก่ใต้เท้ากู่ไปว่าจะต้องใช้น้ำแข็งรักษาศพนั้นไว้แล้วส่งมาที่เมืองหลวง ข้าจะมิยอมให้ผีไร้ญาติใดมาสวมรอยต้าหลังเด็ดขาด!”
“เจ้าค่ะ สะใภ้จะไปบอกแก่ท่านพี่เดี๋ยวนี้ ท่านโปรดทำใจให้สบาย ต้าหลังเป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง ไม่แน่ว่า…อาจจะจำผิดคนก็เป็นได้” นางเถียนมีสีหน้าทุกข์ตรม แต่กลับร้อง ‘ถุย’ อยู่ในใจ
สตรีชราตายยากผู้นี้…หากเป็นผู้อื่น ได้ฟังข่าวเช่นนี้คงเสียใจจนหน้ามืดและล้มป่วยจนไม่อาจลุกขึ้นมาสร้างความวุ่นวายได้อีก แต่เหตุใดสตรีชราในจวนนางผู้นี้ไม่เพียงยืนอยู่ได้แต่ยังสงสัยว่าศพนั้นเป็นต้าหลังจริงหรือไม่อีกด้วย
นางคงแต่งเข้าผิดตระกูลเป็นแน่!
นางเถียนไปหานายท่านรองสกุลหลัวด้วยความหงุดหงิดใจ
“ฮูหยินผู้เฒ่า” นางซ่งย่อกายลง เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ต้าหลังรูปโฉมโดดเด่น มิใช่คนที่จะอายุสั้น นางเจินท่าทีมีวาสนายิ่ง พวกเขาจะต้องปลอดภัย ฝ่าบาททรงเคยตรัสว่านางเจินเป็นบุคคลมีวาสนามิใช่หรือเจ้าคะ”
หลังจากที่เจาเฟิงตี้กลับถึงเมืองหลวง วาจาเอ่ยชมว่าเจินเมี่ยวเป็นผู้มีวาสนาก็กระจายไปทั่วเมืองหลวง แม้ยามนี้จะมิทราบร่องรอยของเจินเมี่ยวแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่านางเป็นอันใดไปแล้วหรือไม่ มิเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการตบพระพักตร์องค์จักรพรรดิฉาดใหญ่เลยทีเดียว แล้วใครจะกล้าปากมากเล่า
ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังน้ำเสียงอันอ่อนโยนและมั่นใจของนางซ่ง อารมณ์ก็ต้องดีขึ้นเป็นธรรมดา อย่างน้อยก็มิร้อนใจเท่ากับฟังวาจาของนางเถียนเป็นแน่
ฮูหยินผู้เฒ่าก็เช่นกัน นางจึงพยักหน้ารับแล้วเอ่ยว่า “ระยะนี้จวนของเราคงวุ่นวายไม่น้อย เจ้าต้องระวังให้มาก อย่าให้พวกที่มาสอบถามเรื่องราวนำไปลือเหลวไหล อย่างน้อยก็รอให้คนทางนั้นกลับมาเสียก่อนค่อยว่ากัน”
“สะใภ้ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากนางซ่งกลับไป ฮูหยินผู้เฒ่ากลับหมดแรงลงทันที แผ่นหลังที่ตั้งตรงคล้ายไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดพลันอ่อนพับลงไปหลายส่วน หยาดน้ำตาคลอเอ่อขึ้นทันที
น้ำตานั้นร่วงหล่นลงบนชุดแพรสีน้ำเงินเข้มจึงมิเด่นชัดเกินไป แต่กลับทำให้สีของอาภรณ์เข้มชัดขึ้นหลายส่วน
ฮูหยินผู้เฒ่าสติเลื่อนลอยไปไกลดั่งภาพวาดที่ขาดสีสัน
แม่นมหยางที่ยืนอยู่ด้านหลังถอนหายใจออกมา
สามีสติเลอะเลือน บุตรคนโตและสะใภ้ตายจาก บุตรคนเล็กหายสาบสูญ ยามนี้หลานชายและหลานสะใภ้ยังไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย ต่อให้เป็นคนใจเหล็กก็มิอาจทานทนไหว ช่างยากนักที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะอดทนมาจนถึงยามนี้ได้
แม่นมหยางมิกล้าเอ่ยอันใดอีก
เวลานี้บางทีการร้องไห้ออกมาอาจจะดีกว่าก็เป็นได้
“แม่นมหยาง” ฮูหยินผู้เฒ่าพลันเอ่ยขึ้น “พระดำรัสจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ทรงตรัสว่าหลานสะใภ้เป็นผู้มีวาสนา ใช่หรือไม่”
“แน่นอนเจ้าค่ะ”
“ผู้มีวาสนาย่อมไม่มีทางเป็นหม้าย ดังนั้นต้าหลังย่อมต้องปลอดภัย ใช่หรือไม่”
แม่นมหยางพยักหน้าตอบอย่างไม่ลังเลว่า “เจ้าค่ะ”
ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าต้องห้ามล้มป่วยไปในตอนนี้เด็ดขาด
บทสรุปสุดท้ายจะเป็นเช่นไรก็ตาม แต่หากสามารถยืดเวลาไปอีกสักระยะให้ฮูหยินผู้เฒ่าค่อยๆ ทำใจ อย่างน้อยก็จะมิป่วยล้มพับไปเช่นยามนี้แน่
“แม่นมหยาง ข้าหิวแล้ว เจ้าไปยกน้ำแกงรังนกต้มน้ำตาลและขนมซานเย่ามาให้ข้าที”
“เจ้าค่ะ” แม่นมหยางถอนหายใจโล่งแล้วเดินออกไป
ครั้นนางเถียนกลับถึงเรือนซินหยวนก็เล่าทุกอย่างให้นายท่านรองสกุลหลัวฟัง
สองสามีภรรยาที่เย็นชาต่อกันมานานพลันกลับมาชิดใกล้กันอีกครั้งเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้
“ท่านพี่ ต้าหลังตายแล้วจริงหรือ”
นายท่านรองเดินวนไปมาเอื่อยเฉื่อย “ก็ไม่แน่ หากยังไม่พบนางเจินก็ยากจะแน่ใจได้”
นางเถียนรู้สึกตกใจไม่น้อย “เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงได้หาศพที่คล้ายต้าหลังไปทิ้งไว้เร็วปานนี้เล่า”
นายท่านรองสกุลหลัวถลึงตาใส่นางเถียนคราหนึ่ง “ผู้ใดว่าข้าทำเล่า”
นางเถียนยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก “แล้วเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
นายท่านรองรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “ข้าจะรู้ได้อย่างไร การเสด็จประพาสครานี้ก็มิได้ไปด้วยเสียหน่อย”
ตั้งแต่ทราบเรื่องนี้เขาก็ลอบส่งคนออกไปติดตามทันที ไม่ว่าต้าหลังจะเป็นหรือตาย เขาจะต้องทำให้ต้าหลังตายให้ได้ แต่มิเคยคิดจะหาศพผู้อื่นมาทำให้คนเข้าใจผิดสักนิด
แม้นี่จะเป็นผลลัพธ์ที่เขาต้องการ แต่ไม่ทราบด้วยเหตุผลใดจึงยังรู้สึกมิสบายใจอยู่ไม่น้อย
นี่เป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานมาให้แท้ๆ หากเขาไม่จับไว้ให้มั่นก็สมควรตายยิ่ง!
ไม่ว่าอย่างไร ต้าหลังก็มิอาจมีชีวิตกลับมาได้
เขามีความชอบที่ช่วยเหลือจักรพรรดิ นางเจินก็ช่วยองค์หญิงไว้ หากเขากลับมา ตำแหน่งในจวนและในวังของเขาก็ยิ่งยากที่จะสั่นคลอนได้ เช่นนั้นตนคงเป็นดั่งตะกร้าสานใส่น้ำที่มิอาจคว้าอันใดได้เลย
“เจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหลกับท่านแม่เด็ดขาด ท่านอายุมากแล้ว หากล้มป่วยขึ้นมาจะทำฉันใด”
นางเถียนรู้สึกขัดใจยิ่ง อยากเอ่ยอันใดก็เอ่ยมิได้
นายท่านรองโกรธเกรี้ยวขึ้นมา “สตรีโง่งม! หากท่านแม่เป็นอันใดไป ข้าต้องไว้ทุกข์ถึงสามปี ต่อให้ได้ตำแหน่งผู้สืบทอดมาก็ยังคงต้องเก็บตัวอยู่ในเรือนอีกสามปี ข้าอายุปูนนี้แล้ว ไหนเลยจะรอถึงสามปีได้”
กล่าวถึงตรงนี้ก็กัดฟันตนไว้อย่างเกรี้ยวโกรธเมื่อเห็นท่าทีของนางเถียน “อีกอย่างนั่นก็เป็นมารดาข้า ข้ามิเคยคิดอยากให้ท่านตาย เจ้าช่วยจำเรื่องนี้ไว้ด้วย!”
นางเถียนยิ้มเหยเก “ท่านพี่เย้าข้าเล่นหรือ ข้าจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร”
“ไม่คิดก็ดีแล้ว” นายท่านรองสกุลหลัวลุกเดินออกไปทางห้องตำราทันที
ความคิดหนึ่งพลันแล่นผ่านเข้ามา…เมื่อภรรยาอายุมากขึ้น ความอ่อนโยนเอาใจใส่ที่เคยมีเหล่านั้นกลับค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความแข็งกร้าวน่ารังเกียจ
ครั้นคิดเช่นนี้ ในหัวก็ปรากฏภาพสตรีผู้หนึ่งในตรอกซิ่งฮวาที่แม้ไม่ประทินโฉมกลับยังงดงามผุดผาดเหนือคนธรรมดา
จวนเจี้ยนอานปั๋วก็เต็มไปด้วยความหม่นหมองเศร้าตรมเช่นกัน
แม้วันนี้เป็นวันเลี้ยงฉลองที่เหล่ยเกอบุตรชายของเจินฮ่วนอายุครบหนึ่งปี แต่ทุกคนก็เพียงกินข้าวร่วมกันอย่างเรียบง่าย
นางเวินผ่ายผอมลงไปในระยะเวลาเพียงสั้นๆ ดวงตาสองข้างบวมเป่งตลอดเวลา
นางเจี่ยงจึงเอ่ยเตือนสติว่า “น้องสะใภ้ น้องสามกับเจินฮ่วนก็เดินทางไปตามหาแล้ว หากเจ้าล้มป่วยอีกคน นางอวี๋คนเดียวคงดูแลเจ้ากับเหล่ยเกอไม่ไหวแน่ ข้าว่าเมี่ยวเอ๋อร์ไม่มีทางอายุสั้น ครานี้จะต้องรอดปลอดภัยกลับมาอย่างแน่นอน”
เหล่ยเกอคลอดก่อนกำหนด แม้จะดูแลใกล้ชิดอย่างไรกลับไม่เพียงพอ หากร้อนหรือหนาวจนเกินไปก็ล้มป่วยได้ง่ายดาย หนึ่งมานี้คนของบ้านสามล้วนเฝ้าถนอมเหลอยเกอมาตลอด
นางเวินมองเหลยเกอในอ้อมอกของนางอวี๋ที่กำลังน่ารักน่าชัง เขายื่นมือออกมาให้นางอุ้มด้วย
นางเวินรีบรับมาอุ้มไว้แล้วฝืนยิ้มออกมา “พี่สะใภ้พูดถูก เพื่อเหลยเกอ ข้าต้องดูแลตัวเองให้ดี”
กล่าวถึงตรงนี้ก็อดขอบตาแดงขึ้นมาอีกมิได้
นางอวี๋ลูบหลังนางเวินแผ่วเบา
“นางเวินเจ้าเป็นถึงย่าคนแล้ว ต้องอดทนไว้รู้หรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วที่เกล้าเก็บผมไว้อย่างเรียบร้อยไม่มีหลุดลุ่ยสักเส้น แต่ผมขาวกลับเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
อาโฉวก้าวเท้าฉับๆ เข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ฮูหยินผู้เฒ่าใจหวิวขึ้นมาแต่ยังฝืนเอ่ยถามว่า “มีอันใดหรือ”
เวลาเช่นนี้คงเป็นข่าวจากเป่ยเหอเป็นแน่
นางเวินกลับมิอาจฝืนทนได้อีกต่อไป สายตาเอาแต่จ้องอาโฉวอย่างตกตะลึงจนเกือบจะทำเหลยเกอหลุดมือด้วยซ้ำ
นางอวี๋รับเหลยเกอไปแล้วประคองนางไว้
เรื่องสำคัญเช่นนี้อาโฉวไหนเลยจะกล้าชักช้า นางจึงกัดฟันเอ่ยไปว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ มีจดหมายแจ้งมาจากจวนเสนาบดีว่ากูไหน่ไหน่ทราบข่าวเรื่องต้าไหน่ไหน่จวนเจิ้นกั๋วกงแล้วตกใจจนตกเลือดจึงอยากพบฮูหยินสามสักคราเจ้าค่ะ”
เสียงเพล้งดังขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าปัดถ้วยชาตกแตก ส่วนนางเวินนั้นล้มพับไปเสียนานแล้ว