“นายท่านจะซื้อหินก้อนนี้จริงๆเหรอครับ?!” พนักร้องถามอย่างตกใจ
หลิงหยุนยิ้มบางก่อนจะยกมือขึ้นชี้ไปที่รถเข็นหินพร้อมกับตอบไปว่า “จริงสิ.. ไม่ใช่แค่หินก้อนนี้เท่านั้นนะ แต่ที่ทั้งหมดที่อยู่ในรถเข็นนั่นด้วย ผมจะซื้อไว้ทั้งหมดเลย!”
“ผมยังอยากเดินดูต่ออีกสักครู่ เผื่อว่าจะได้หินมาเพิ่ม..”
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงหลิงหยุนเพิ่งจะเดินสำรวจได้เพียงแค่สามส่วนของพื้นที่ทั้งหมด แต่เขายังคงต้องการเดินสำรวจต่อไป และทุกคนจะยิ่งตกใจมากกว่านี้
พนักงานหนุ่มได้ฟังก็ถึงกับหน้าเสีย และแทบอยากลงไปนอนดิ้นที่พื้น ‘เฮ้อ.. อธิบายจนปากเปียกปากแฉะ.. ไม่เพียงไม่ฟัง แต่ยังจะดื้อด้านซื้อหินเพิ่มอีกหรือนี่?!’
พนักงานหนุ่มจ้องมองหินไร้ค่าที่อยู่ในรถเข็นของหลิงหยุนพร้อมกับถอนหายใจแรงด้วยความผิดหวัง และนี่เป็นนครั้งแรกที่เขาแสดงความรู้สึกไม่พอใจออกมาทางสีหน้า
หลิงหยุนสังเกตเห็นสีหน้าผิดหวัง หงุดหงิด และไม่พอใจของพนักงานหนุ่ม หลิงหยุนไม่เพียงไม่พูดอะไร แต่กลับมาเข็นรถเดินต่อไป..
เมื่อเดินไปถึงลานพนันหิน หลิงหยุนก็เข็นรถไปข้างถังเมิ่งพร้อมกับสั่งเขาว่า
“ถังเมิ่ง.. นายมายืนเฝ้ารถเข็นให้กับฉันก่อน นี่เป็นหินทั้งหมดที่ฉันต้องการจะซื้อ..”
ถังเมิ่งจ้องมองรถเข็นที่อยู่ตรงหน้าหลิงหยุนแล้วถึงกับตกใจแทบช็อค! เขาร้องถามออกมาเสียงหลง
“พี่หยุน.. นี่มันอะไรกัน?! ที่พี่หายไปตั้งนานก็เพราะมัวแต่ไปเลือกเศษหินพวกนี้นะเหรอ?!”
พนักงานหนุ่มได้ฟังถึงกับร้องอุทานอยู่ในใจว่า ‘อามิตตาพุทธ..’
ชายหนุ่มทั้งสองคนต่างก็เห็นตรงกันว่าหินที่หลิงหยุนเลือกมานั้นไม่ต่างจากขยะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรให้หลิงหยุนซึ่งหัวดื้อมากเชื่อได้!
‘เฮ้อ.. มีเงินมากมายแล้วยังไง? หน้าตาหล่อเหลาแต่ไม่มีสมองก็เท่านั้น? ขืนใช้เงินสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ สักวันเงินก็คงหมด แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา!’
พนักงานหนุ่มได้แต่นึกเย้ยหยันหลิงหยุนอยู่ในใจ..
หลิงหยุนขยิบตาให้ถังเมิ่งพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฉันบอกให้นายเฝ้าไว้ นายก็เฝ้าไว้เถอะน่า! ถ้าฉันกลับมาแล้วพบว่าหินหายไปแม้แต่ก้อนเดียวแล้วล่ะก็.. นายคอยดูได้เลยว่าฉันจะจัดการกับนายยังไง?”
พนักงานหนุ่มได้ฟังคำพูดที่ดุดันของหลิงหยุน ก็ได้แต่รำพึงรำพันอยู่ในใจว่า ‘ยะโสโอหังจริงจริ๊ง!’
หลังจากนั้นหลิงหยุนจึงหันมาสั่งพนักงานหนุ่มให้หารถคันใหญ่กว่านี้ให้เขา และก่อนจะออกไปสำรวจหินต่อนั้น หลิงหยุนก็หันไปสั่งถังเมิ่งให้โทรบอกตี้เสี่ยวอู๋พร้อมลูกน้องสองสามคนให้มารับที่นี่
ในบรรดาหินที่กองอยู่นั้น บางกองก็มีหินพลังชีวิตปะปนอยู่ บางกองก็ไม่มีเลย แต่ที่เขาเลือกมันขึ้นมานั้นก็เพราะว่าภายในของมันเป็นสีเขียวของหยกต่างหาก
การกว้านซื้อหินในครั้งที่สองของหลิงหยุนนั้นดำเนินไปอย่างรวดเร็วกว่าครั้งแรก เพราะหินจำนวนมากได้ถูกหลิงหยุนเลือกไปในครั้งแรกแล้ว หินพลังชีวิตที่เหลืออยู่จึงมีจำนวนน้อยลง และง่ายต่อการค้นพบ
ครั้งนี้หลิงหยุนใช้เวลาเดินสำรวจเพียงแค่ยี่สิบนาที รถของเขาก็เต็มไปด้วยหินดิบทั้งคันจนไม่สามารถใส่อะไรลงไปเพิ่มได้อีกแล้ว และหลิงหยุนก็ได้กว้านซื้อหินดิบไปถึงเจ็บสิบเปอร์เซ็นต์ของหินทั้งหมดที่อยู่ในลานด้านหลัง
ตี้เสี่ยวอู๋มาถึงพอดี หลังจากพูดจาทักทายถังเมิ่งที่กำลังอารมณ์เสียเพียงแค่สองสามคำ เขาก็เดินตรงไปหาหลิงหยุนทันที และหลิงหยุนก็จัดกานส่งรถให้ตี้เสี่ยวอู๋เข็นแทน
สองแขนของตี้เสี่ยวอู๋เข็นรถที่หนักมากกว่าหนึ่งร้อยกิโลกรัม ตอนนี้เขาเข้าสู่ระดับสี่ของดาราคุ้มกายแล้ว และกำลังเริ่มฝึกวิชานู่เตา ดังนั้นเพียงแค่มือเดียวก็สามารถเข็นรถขนหินคันนี้ได้อย่างสบายๆ
หลังจากเลือกจนได้หินเต็มรถเข็นแล้ว หลิงหยุนก็สั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋เข็นรถคันที่สองกลับไปหาถังเมิ่ง และสั่งให้พนักงานหนุ่มไปนำรถเข็นคันที่สามมาให้เขาแทน
พนักงานหนุ่มได้แต่มองหลิงหยุนที่เดินไปสำรวจกองหินถึงด้านหลังของลานเก็บหิน และได้แต่ถอนหายใจที่ไม่สามารถห้ามปรามเขาได้
พนักงานหนุ่มเข็นรถตามหลิงหยุนที่กำลังสำรวจหินดิบไป แต่ในใจก็ได้แต่คิดว่าครั้งนี้เถ้าแก่ของเขาคงต้องดีอกดีใจอย่างมากแน่ เพราะสามารถขายเศษหินออกไปได้ถึงสามคันรถในวันเดียว และคงต้องยกความดีความชอบให้กับซ่งเจิ้งหยางที่เป็นคนพาหลิงหยุนมาที่นี่
หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง หลิงหยุนก็จัดการกว้านซื้อหินพลังชีวิตที่อยู่ในหออวี้ติงเซวียนไปได้อีกหนึ่งคันรถ และรถเข็นคันที่สามของหลิงหยุนก็เต็มไปด้วยพลังชีวิตมากมาย!
“โอ้ว.. นี่ก็ไม่เลวเลย..”
หลิงหยุนยกหินรูปทรงประหลาดขึ้นไว้ในมือ และร้องอุทานออกมาอย่างดีใจ และตั้งใจจะโยนลงไปในรถเข็น
หินก้อนนี้ไม่ได้มีพลังชีวิตปลดปล่อยออกมาแม้แต่น้อย และด้านในก็ไม่ใช่หยก แต่หลิงหยุนพบมันเข้าโดยบังเอิญ
หินก้อนนี้มีทั้งหมดห้าชิ้นติดกัน แต่ละส่วนมีขนาดใหญ่เท่าลูกแตงโม เล็กบ้างใหญ่บ้างสลับกัน แต่ละส่วนก็เป็นทรงกลมที่บิดๆเบี้ยวๆ พื้นผิวของมันเป็นสีเทาเช่นเดียวกับหินธรรมดาๆ และหินทั้งห้าก้อนนี้ก็ดูราวกับถูกผูกติดกันไว้ด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น
แน่นอนว่าหลิงหยุนไม่ได้ตื่นเต้นเพียงแค่รูปลักษณ์ที่พิเศษของมัน แต่เขายังตื่นเต้นกับสีที่แตกต่างของมันอีกด้วย – ม่วง ขาว เหลือง แดง และดำ
ทางด้านพนักงานหนุ่มเองก็ตกใจสุดขีดเช่นกัน! แต่เขาไม่ได้ตกใจเพราะหินรูปร่างประหลาดก้อนนั้น แต่ตกใจในความแข็งแรงของหลิงหยุนต่างหาก..
หินทั้งห้าก้อนนั้น แต่ละก้อนล้วนมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ต่ำกว่าสามสิบเซนติเมตร และหนักไม่ต่ำกว่าก้อนละหนึ่งร้อยกิโลกรัม รวมแล้วหินทั้งห้าลูกนั้นมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่าห้าร้อยกิโลกรัม แต่หลิงหยุนกลับสามารถยกขึ้นมา และหมุนดูราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ไร้น้ำหนัก
พนักงานหนุ่มได้แต่แอบคิดในใจว่า หากหลิงหยุนลงแข่งยกน้ำหนัก รับรองว่าเขาจะต้องได้เหรียญทองโอลิปิคอย่างแน่นอน!
ก่อนที่หลิงหยุนจะก้าวเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-6 นั้น เขาก็สามารถเตะหินก้อนใหญ่ที่หนักเป็นตันบนผาพยัคฆ์ลงไปในหลุมยักษ์มาแล้ว จึงแทบไม่ต้องพูดถึงเวลานี้ที่เขาอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-8!
หลังจากสำรวจหินในมืออยู่นาน หลิงหยุนจึงโยนมันลงไปในรถเข็น และสั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋ที่เพิ่งกลับมาถึงเข็นรถออกไป
หลังจากที่ตี้เสี่ยวอู๋เข็นรถออกไปแล้ว พลังชีวิตก็ค่อยๆจางหายไป หลิงหยุนเดินตามพนักงานหนุ่มไป ระหว่างทางก็ได้ใช้จิตหยั่งรู้สำรวจหาหินพลังชีวิตไปเรื่อยๆ
‘ไม่มีหินพลังชีวิตเหลืออยู่แล้วสินะ..’
หลิงหยุนเห็นว่าไม่มีหินพลังชีวิตหลงเหลืออยู่แล้ว เขาจึงใช้เนตรหยิน-หยางสำรวจหาหินดิบที่ด้านในมีหยกสีเขียว แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เขาได้ของดีไปมากพอแล้ว จึงได้หยุดเพราะไม่ต้องการเอาเปรียบเจ้าของร้านมากนัก จากนั้นหลิงหยุนจึงเดินกลับไปที่ลานพนันหิน
นักพนันหินคนอื่นๆต่างก็พากันเลือกเอาหินหยกดิบ และสีหน้าของแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกดดัน
ในการพนันหินนั้น.. ใบมีดที่จะทำการตัดหินสามารถเป็นไปได้ทั้งสวรรค์และนรกของนักพนักหิน เพราะหากเลือกผิดพลาด ก็สามารถสูญสิ้นทุกอย่างได้ภายในพริบตา จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่รู้สึกกังวลและกดดัน
“หลิงหยุน.. จะมาที่นี่ทำไมถึงไม่ชวนฉันมาด้วยล่ะ..?”
หลังจากที่กลิ่นหอมโชยมาแตะจมูกของหลิงหยุน ร่างของหลงหวู่ก็วิ่งฝ่าฝูงชนออกมาพอดี ผมยาวสลวยของเธอปลิวสะบัด และวิ่งเข้ามากอดแขนของหลิงหยุนไว้ด้วยรอยยิ้มที่สดใส
“นี่คุณมาที่นี่ได้ยังไง? อย่ามาใกล้ผมมาก ตอนนี้เนื้อตัวของผมสกปรกมีแต่เศษดินเต็มไปหมด..” หลิงหยุนรีบร้องบอกหลงหวู่
“ฉันเป็นห่วงนายแทบแย่ โทรเข้ามือถือก็ไม่ติด ก็เลยโทรหาถังเมิ่งน่ะสิถึงได้รู้นายมาพนันหินที่หออวี้ติงเซวียน ฉันก็เลยตามมาเชียร์..”
ระหว่างที่เดินสำรวจหาหินพลังชีวิตนั้น หลิงหยุนรู้สึกรำคาญโทรศัพท์มือถือ เขาจึงโยนมันเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “ผมไม่ได้คิดจะเข้าร่วมการพนันหิน คุณไปเอาข่าวมาจากใหน?”
ทั้งคู่ทำราวกับว่าอยู่กันเพียงแค่สองคน ต่างคนต่างก็พูดคุยกันอย่างสนิทสนม และไม่สนใจสายตาของผู้คนที่มองดูอยู่ว่าจะคิดอย่างไร?
มู่หลงเฟยจื่อที่เดินออกไปตามหาหลิงหยุนพอดี ก็ถึงกับตกใจเมื่อเห็นหญิงสาวผมยาวขายาวคนหนึ่งวิ่งเข้าไปกอดแขนหลิงหยุนไว้ และพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนิทสนม ใบหน้าของเธอถึงกับซีดเผือดทันที และสีหน้าก็บ่งบอกว่าไม่พอใจ
‘นี่หลิงหยุนมีแฟนแล้วเหรอ?’ มู่หลงเฟยจื่อถึงกับเนื้อตัวเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งขึ้นมาทันที
และตอนนี้ถังเมิ่งเองก็ดูราวกับตัวตลกที่ต้องยืนเฝ้ารถขนเศษหินถึงสามคัน..
“ดูนั่นสิ! เด็กนั่นทำอะไรกัน? ที่หออวี้ติงเซวียนแห่งนี้มีหินหยกดิบใหม่มากมายที่เพิ่งถูกส่งมาจากประเทศพม่า แต่เด็กนั่นกลับไม่มาเลือก ไปเลือกเอาหินเหลือๆพวกนั้นมาทำไมกัน?”
“นั่นสิ.. หินพวกนั้นล้วนเป็นหินที่เขาคัดทิ้งทั้งนั้น แต่เด็กนั่นกลับจะซื้อไปทำไมกัน..”
“ก็ยังเด็กอยู่นี่นา.. รับรองว่าที่ซื้อไปต้องไม่มีหยกสักก้อนแน่ เอ.. หรือว่าเขาอาจจะซื้อไปสร้างบ้านก็ได้นะ! ฮ่า.. ฮ่า..”
“อายุยังน้อยไม่มีประสบการณ์ แต่มาเล่นพนันหินแบบนี้ ยังไงก็ขาดทุน ที่บ้านไม่สั่งสอนหรือยังไงกัน?”
ถังเมิ่งได้ฟังคำพูดดูถูกเหยียดหยามก็แทบจะทนไม่ได้อีกต่อไป ใบหน้าของเขาซีดและแดงสลับกันไปมา พร้อมกับคิดในใจว่าเขาเองจะเป็นถึงเจ้าของกลุ่มบริษัทเทียนตี้ในวันข้างหน้า ยังไม่ทันจะตั้งบริษัทก็ต้องมาโดนดูถูกจนเสียหน้าแบบนี้..
และที่ถังเมิ่งทนไม่ได้มากที่สุดก็คือตอนนี้หนุ่มเพลย์บอยทั้งสองคนนั่นก็กำลังยืนหัวเราะเยาะอยู่เช่นกัน
“หลิงหยุนนี่มันโง่จริงๆ มีหินดีๆมากมายตรงนี้กลับไม่เลือก แต่กลับไปเลือกเอาเศษหินพวกนั้นมา ฉันว่ามันคงไม่มีเงินเลือกซื้อหินดีๆมากกว่า? ฮ่า.. ฮ่า..”
จูหย่งหวังมองถังเมิ่งกับหลิงหยุนราวกับคนหน้าโง่..
“โคตรหน้าโง่เลย! ถึงมันจะเป็นหมอที่เก่ง แต่คิดจะมาพนันหินน่ะรึ? ยังห่างไกลอีกหลายขุมไอ้น้อง! แล้วดูหินที่พวกแกเลือกมาสิ..”
โหวเย่าจงเองก็เลือกหินดิบมาสองสามชิ้น เพื่อต้องการใช้โอกาสนี้เรียกความสนใจจากมู่หลงเฟยจื่อ