ตอนที่ 470 : อ้อนวอน
“อ๊ากกกก!!!!” เซิงเป่ยซิ่วกรีดร้องออกมา ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว “ราชาสัตว์อสูรสังหารข้าเถอะ!”
จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม เขาถึงไม่สามารถเป็นคู่มือของเฉินกูได้ ไม่เพียงแค่ไม่สามารถเป็นคู่มือ แต่ช่องว่างระหว่างพวกเขาก็กว้างกันมาก ตัวเขาเองไม่อาจต้านทานอีกฝ่ายได้ด้วยซ้ำ
ต่อหน้าเฉินกูแล้ว เขาราวกับเป็นเด็กน้อย สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ การที่เขาโจมตีป่าลวงตามาตั้งนาน แต่มันกลับไม่เป็นอะไรเลย แต่หลังจากที่เฉินกูแผ่พลังออกมาเพียงน้อยนิด ป่าแห่งนี้ก็เริ่มพังทลายลงไป ต้นไม้ถูกทำลายและหักโค่นลง พื้นดินเริ่มยุบ กระทั่งป่าลวงตาก็พังลงด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ราวกับน้ำแข็งที่กำลังละลาย
แข็งแกร่งเกินไป !
แข็งแกร่งจนยากจะรับมือได้ไหว !
“ฆ่าข้า ฆ่าข้าซะสิ!” เซิงเป่ยซิ่วตะโกนออกมา
เขายอมตายดีกว่าต้องมาโดนดูถูกแบบนี้
เฉินกูยักคิ้วและพูดด้วยท่าทีเฉยเมย “อยากตายรึ ? ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการ !”
แต่ตอนที่เขาพูดจบ ป่าโดยรอบเหมือนกับไม่อาจจะทนพลังของเขาได้ไหว มันแตกออกราวกับเศษแก้ว เผยให้เห็นสภาพแวดล้อมจริงๆของมัน
มันคือป่าที่มีระยะไม่กี่ร้อยลี้และจากนั้นก็เป็นถ้ำ
“อาจารย์!” ไป่หลิงสะกดความโศกเศร้าที่มีในใจ และบินออกมาจากถ้ำ น้ำตาอาบเต็มไปทั้งสองแก้มของนาง
เฉินกูหยุดมือ เขามองไปที่ไป่หลิง เมื่อเห็นว่าไป่หลิงยังปลอดภัยอยู่เขาก็โล่งอกขึ้นมา เขายิ้มออกมาเล็กน้อย “สบายใจได้ศิษย์ข้า อาจารย์มาแล้ว ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้ ทุกอย่างอาจารย์จะจัดการให้เจ้าเอง”
ด้านหลังไป่หลิงคือกลุ่มจิ้งจอกน้อยที่มองดูฉากนี้ด้วยความตะลึง หากไม่เห็นกับตาคงไม่มีใครเชื่อว่าราชาสัตว์อสูรจะแสดงท่าทีอ่อนโยนแบบนี้ออกมา
ในเวลาเดียวกัน ลั่วซู่หยาง ชุยเจี่ยนและฝางมู่ ก็มาถึงนานแล้ว แต่พวกเขาไม่กล้าจะเข้ามาในป่าลวงตาแห่งนี้ ฉากที่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้ากับสภาพของเฉินกู เหล่าจิ้งจอกและเซิงเป่ยซิ่ว ทำให้พวกเขาต้องตะลึง
ฝางมู่และคนอื่นได้ใช้เคลื่อนย้ายพริบตาไปหาเฉินกูทันที
“ผู้อาวุโสเซิงเป่ยซิ่ว!” ตอนที่ลั่วซู่หยางเห็นเซิงเป่ยซิ่วเขาก็แปลกใจขึ้นมา “ท่านมาที่นี่ได้ยังไง?”
ตลอดมานี้ เซิงเป่ยซิ่วอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้ เขาเลยคิดว่าเซิงเป่ยซิ่วตายไปแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าเซิงเป่ยซิ่วกับเขาจะได้มาพบกันที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นเซิงเป่ยซิ่วเหมือนจะเป็นคนทำให้เฉินกูโกรธ
“เซิงเป่ยซิ่ว? ลั่วซู่หยางเจ้ารู้จักเขาด้วยรึ?” ฝางมู่ถามขึ้นมา
ชุยเจี่ยนมองไปที่ลั่วซู่หยางด้วยความสงสัย เขาก้าวขึ้นมาเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดช้ากว่าอีกฝ่าย เขาจึงไม่เคยเห็นเซิงเป่ยซิ่ว และถึงกับไม่เคยได้ยินชื่อของเซิงเป่ยซิ่ว ยังไงซะในหมู่ยอดฝีมือระดับสูงสุดหลายคน เซิงเป่ยซิ่วก็เอาแต่เก็บตัวยากจะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนเกือบสองพันปี
เมื่อเห็นว่าเฉินกูและคนอื่นๆมองมาที่เขาด้วยสีหน้าสงสัย ลั่วซู่หยางก็พูดขึ้นมา “ข้าเกือบขึ้นเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดเมื่อสองพันปีก่อน ข้าได้เจอกับผู้อาวุโสเซิงเป่ยซิ่ว และได้เรียนรู้จากเขา การต่อสู้ในครั้งนั้น ผู้อาวุโสเซิงเป่ยซิ่วทำให้ข้าบาดเจ็บหนัก..” ลั่วซู่หยางไม่คิดปิดบังความพ่ายแพ้นี้เลยแม้แต่น้อย เขายังคงแสดงสีหน้าใจเย็นออกมาซึ่งชัดแล้วว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้
แต่มันคือความจริง แม้ว่าเขาจะแพ้ให้กับเซิงเป่ยซิ่วในตอนแรก แต่ตอนนี้หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นอีกครั้ง ผลลัพธ์อาจจะไม่เป็นแบบเดิม
ความแข็งแกร่งของเซิงเป่ยซิ่วพัฒนาขึ้นก็จริง แต่เขาเองก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน และความแข็งแกร่งของเขาก็พัฒนาขึ้นรวดเร็วกว่าเซิงเป่ยซิ่ว!
“เจ้าหมายความว่ายังไง เขาเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดรุ่นเก่ารึ?” ฝางมู่คิด
ยอดฝีมือระดับสูงสุดของมนุษย์แบ่งได้เป็นสองพวก พวกแรกคือพวกหน้าเก่าที่ขึ้นเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดเป็นเวลานาน กับพวกหน้าใหม่ที่เพิ่งขึ้นเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดจากทักษะจี๋อู่ขั้นต่ำ
พูดโดยแม่นยำแล้ว พลังในการต่อสู้ของทั้งสองพวกไม่ได้สูงนัก มันไม่ได้มีความต่างอะไรกันมาก
แต่พวกยอดฝีมือระดับสงสุดพวกใหม่ ต่างจากพวกเก่าก็คือพรสวรรค์ที่ด้อยกว่า ยังไงซะหากไม่มีทักษะจี๋อู่ขั้นต่ำ ด้วยพรสวรรค์ของพวกเขาแล้ว การทะลวงผ่านขึ้นมายังระดับสูงสุดก็ยังเป็นคำถามอยู่
ชุยเจี่ยนมองไปที่เซิงเป่ยซิ่วด้วยท่าทีระวังตัว มนุษย์ยังมียอดฝีมือแบบนี้หลบซ่อนอยู่ เขาไม่รู้เลยแม้แต่น้อย
“ผู้อาวุโสเซิงเป่ยซิ่วท่านน่าจะอยู่ขั้นกลาง” ลั่วซู่หยางรับรู้ถึงพลังของเซิงเป่ยซิ่วผ่านลมปราณ มันสูงกว่าเขาเล็กน้อยแต่ช่องว่างนี้แค่น้อยนิดจนแทบจะมองข้ามได้ “ความแข็งแกร่งของท่านน่าจะทัดเทียมกับผู้อาวุโสฝางมู่”
เซิงเป่ยซิ่ว, ลั่วซู่หยาง,ฝางมู่ต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลาง หากมองจากทั้งเผ่ามนุษย์แล้ว มันไม่ได้มีพวกขั้นสูงสุดเลย
สำหรับในหมู่สามคนนี้ใครจะแข็งแกร่งกว่ากันนั้น ไม่อาจจะรู้ผลลัพธ์ได้ เซิงเป่ยซิ่วและฝางมู่มีประสบการณ์มากกว่า นี่คือข้อได้เปรียบต่อลั่วซู่หยาง ลั่วซู่หยางเองก็พิเศษเพราะเป็นปรมาจารย์วางค่ายกล 6 ดาว ที่สามารถใช้ค่ายกลได้ ด้วยความช่วยเหลือจากค่ายกล ความแข็งแกร่งของเขาก็จะพัฒนาขึ้นมาอย่างมาก
ตอนนั้นทุกคนต่างก็มองไปที่เซิงเป่ยซิ่ว
ไม่ว่าจะเป็นสายตาตกตะลึง, แปลกใจ, ไม่พอใจ,โกรธแค้น ไม่ว่าจะเป็นสายตาแบบไหนต่างก็จับจ้องไปที่เซิงเป่ยซิ่ว
“ลั่วซู่หยาง!” เซิงเป่ยซิ่วมองไปที่ลั่วซู่หยาง มันราวกับว่าอีกฝ่ายมาเพื่อช่วยเขา เขาได้ตะโกนออกมา “เร็วเข้า รีบฆ่าราชาสัตว์อสูร ร่วมมือกับคนอื่นๆที่อยู่ข้างกายเจ้าซะ!”
เขาไม่รู้จักฝางมู่และชุยเจี่ยน แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงพลังของคนทั้งคู่และรู้ทันทีว่าทั้งสองคนต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุด
หากสามคนนี้รวมกับเขาร่วมมือกันแล้ว เขาเชื่อว่าแม้เฉินกูจะแข็งแกร่งกว่า แต่ก็ไม่อาจจะเป็นคู่มือของพวกเขาได้ !
เมื่อได้ยินคำพูดของเซิงเป่ยซิ่ว ปากของลั่วซู่หยางก็บิดเบี้ยวไป “ฆ่าราชาสัตว์อสูร? ไม่ ข้ายังไม่อยากตาย!”
คนอื่นๆอาจจะไม่รู้ว่าเฉินกูแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เขารู้ดี
เขา, ชุยเจี่ยน,หงจินเป่าและหยางเพ้ยอันได้เห็นกับตัวเองว่า เฉินกูทะลวงผ่านขึ้นไปเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นสูงสุด…
“พวกเจ้าไม่คิดว่าข้อเสนอของเขามันดีรึ?” เฉินกูยิ้มออกมา เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “ว่ายังไง พวกเจ้าร่วมมือกันดีหรือไม่? เจ้าอยู่ขั้นกลาง 3 คน บวกกับขั้นต่ำอีก 1 คน หากพวกเจ้าร่วมมือกันอาจจะมีโอกาสสังหารข้าได้” เขามองไปที่ฝางมู่และเหมือนจะรู้สึกคุ้นตา “หือ เจ้าเป็นศิษย์ของเป้ยหลงไม่ใช่รึ ? ดูเหมือนว่า…จะเป็นฝางมู่สินะ? ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจะขึ้นมาเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางได้ หึหึ ดูเหมือนว่าสายตาของเป้ยหลง จะไม่ได้แย่นัก…ว่ายังไง เจ้าอยากทำตามที่เขาเสนอมาหรือไม่?”
ฝางมู่,ลั่วซู่หยางและชุยเจี่ยนมองหน้ากันก่อนจะรีบก้มหน้าทำท่าไม่ได้ยิน
สังหารราชาสัตว์อสูร ?
นี่มันเรื่องตลกชัดๆ !
พวกเขายังไม่อยากตาย !
“พวกเจ้าไม่คิดจริงๆรึ?” เฉินกูเหมือนจะเสียดาย เขายังไม่ยอมแพ้ที่จะถามต่อ
ลั่วซู่หยางหัวเราะออกมาและพูดขึ้น “อาจารย์เฉินพูดตลกไป ถึงพวกเราจะมีคนมากกว่านี้ก็ไม่อาจจะเอาชนะท่านได้ แม้ว่าเราจะเอาชนะท่านได้ แต่ก็ไม่มีทางที่จะสู้ ท่านเป็นถึงอาจารย์ของสำนักคังเฉียง มีใครบ้างที่กล้าไม่เคารพท่าน?”
นี่คือความจริง ทุกคนต่างก็พากันคิดแบบนั้น
เฉินกูแสดงสีหน้าตะลึง เขาหันกลับไปมองที่เซิงเป่ยซิ่วที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่สู้ดีแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ยอมร่วมมือกับเจ้านะ!”
สีหน้าของเซิงเป่ยซิ่วบิดเบี้ยวไป หัวใจของเขาหล่นวูบ เขามองไปที่ลั่วซู่หยาง “พวกเจ้าจะกลัวอะไรกัน ? หากเราร่วมมือกัน ใครบ้างที่จะเป็นคู่มือของเราได้ ? แม้ว่าจะเป็นราชามังกรก็ไม่อาจจะรับมือไหว ! แค่ราชาสัตว์อสูร พวกเจ้าจะไปกลัวอะไร ? พวกเจ้าทำลายเกียรติของเผ่ามนุษย์!”
ลั่วซู่หยางมองไปที่เซิงเป่ยซิ่วและส่ายหน้า “ท่านไม่เข้าใจ”
ฝางมู่และชุยเจี่ยนไม่ได้พูดอะไรออกมา พวกเขาเองก็ไม่พอใจแต่ไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมา
“พวกขยะ!” เซิงเป่ยซิ่วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหล่ามนุษย์ที่โง่เขลาต่างยกย่องพวกเจ้าว่าเป็นเซียน แต่ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าพวกเจ้าจะกลัวตายกันถึงเพียงนี้…”
เซิงเป่ยซิ่วสูดหายใจเข้าลึกๆและมองไปที่เฉินกู “หากเจ้ามีความสามารถมากพอก็จงสังหารข้าซะ ! มันสนุกหรือไงที่มาดูหมิ่นข้าต่อหน้าทั้งสามคนนี้?”
ชายคนนี้แม้ว่าจะทำตัวเหมือนคนบ้า แต่เขากลับเย่อหยิ่งในเกียรติของตัวเอง เขายอมตายดีกว่าต้องก้มหัวให้ใคร
“ดี ข้าชอบความคิดของเจ้าจริงๆ !” เฉินกูยิ้มออกมา “เมื่อเจ้าอยากตาย ข้าก็จะทำตามที่เจ้าต้องการ!”
เซิงเป่ยซิ่วต้องตาย เรื่องนี้ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะเพื่อเผ่าจิ้งจอกหรือไป่หลิง เฉินกูก็ไม่อาจจะปล่อยเซิงเป่ยซิ่วไปได้
แต่ตอนที่เฉินกูกำลังจะลงมือ อยู่ๆไป่หลิงก็พูดขึ้นมา “อาจารย์ ไว้ชีวิตเขาเถอะ!”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เฉินกูก็คิ้วขมวดและมองไปที่ไป่หลิงก่อนจะถามขึ้นมา “ศิษย์ข้า เจ้าไม่อยากจะแก้แค้นรึ?”
“ไม่ แน่นอนว่าศิษย์ต้องการจะแก้แค้น ข้าแค้นเขามากกว่าผู้ใด ข้าอยากที่จะสับเขาเป็นหมื่นๆชิ้นแล้วเทให้สุนัขกิน!” ไป่หลิงส่ายหน้าและพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่เขายังตายตอนนี้ไม่ได้!”
“เพราะอะไรกัน?” เฉินกูถามด้วยความแปลกใจ
“ศิษย์ต้องการถามคำถามเขา” ไป่หลิงตอบกลับ จากนั้นก็มองไปที่เซิงเป่ยซิ่วด้วยสายตาที่เย็นชา “ลูกชายเจ้าอยู่ไหนกัน?”
นางไม่ลืมว่าที่เผ่าจิ้งจอกถูกทำลายก็เพราะลูกชายของเซิงเป่ยซิ่ว แค่เพราะเผ่าจิ้งจอกดูหมิ่นลูกชายของเขา เขาถึงกับทำลายทั้งเผ่าจิ้งจอก ซึ่งทำให้เหลือจิ้งจอกน้อยไม่กี่สิบตัว “บอกข้ามาว่าลูกชายเจ้าอยู่ไหนกัน หากเจ้าตอบคำถามข้า ข้าอาจจะขอให้อาจารย์ฆ่าเจ้าซะ”
สีหน้าของเซิงเป่ยซิ่วพลันเปลี่ยนไป อยู่ๆเขาก็ลนลาน น้ำเสียงของเขาฟังดูกังวล “ไม่ เจ้าไม่อาจจะทำแบบนั้นได้!”
เขาไม่สนชีวิตตัวเองแต่เขาเป็นห่วงลูกชาย เขาไม่มีทางให้ใครทำร้ายลูกชายเขาได้
ตอนนั้นเอง ในที่สุดเขาก็เสียใจในการกระทำของตัวเอง หากราชาสัตว์อสูรหาตัวลูกชายเขาเจอ ด้วยความแข็งแกร่งของเฉินกูแล้วลูกชายเขาจะรอดไปได้รึ ?
“ทำไม?” เสียงของไป่หลิงเฉยชาซึ่งทำให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกหวั่นๆในใจ “แค่เพราะคนของข้าหาว่าลูกเจ้าเป็นสัตว์ประหลาดไม่เหมือนกับมนุษย์และสัตว์อสูร เจ้าถึงกับทำลายเผ่าจิ้งจอก โทษของความผิดนี้ แม้จะฆ่าลูกเจ้าเป็นสิบๆครั้ง ก็ยังไม่เพียงพอจะชดเชยให้กับเผ่าจิ้งจอกด้วยซ้ำ!”
“ทั้งหมดข้าทำเอง ลูกข้าบริสุทธิ์ เขาบริสุทธิ์!” เซิงเป่ยซิ่วตะโกนออกมาด้วยความลนลาน
“คนของเผ่าจิ้งจอกนับสิบล้านคนมีใครบ้างที่ไม่บริสุทธิ์?” เสียงของไป่หลิงดังขึ้นกว่าเดิมและยังแหลมคมทิ่มแทงหัวใจ “เจ้าบอกข้ามาว่าใครกันที่ไม่บริสุทธิ์บ้าง!”
เซิงเป่ยซิ่วชะงักและพูดอะไรไม่ออก
“ข้าผิดไปแล้ว ข้าขอโทษ ข้าขอร้อง ปล่อยลูกข้าไป ข้าขอร้อง!” เซิงเป่ยซิ่วรีบคุกเข่าคำนับพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา แม้ว่าเขาจะเย่อหยิ่งแต่สุดท้ายเขาก็ค่อยๆคลานเข้าไปหาไป่หลิงและร้องขอความเมตตา “ ข้าขอร้องเจ้า ปล่อยลูกข้าไปเถอะ เขาบริสุทธิ์….”
เขารู้ดีถึงแม้ว่าเขาจะไม่บอก แต่ราชาสัตว์อสูรและคนอื่นๆก็ต้องหาลูกเขาเจอ เพราะลูกเขาอยู่ไม่ห่างจากภูเขาจิ้งจอกมากนัก ไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายนักก็หาตัวเจอ
“เฟิงเอ๋อร์ ทนทุกข์ที่เขาไม่สมควรได้รับ ทำไมพระเจ้าถึงได้ทรมานเขาแบบนี้?” เซิงเป่ยซิ่วที่เย่อหยิ่งจนยอมตายดีกว่าจะก้มหัวให้ใคร แต่กลับมีจุดอ่อนอยู่ที่ลูกชาย เพื่อลูกเขา เขายอมทำทุกอย่าง
แม้ว่าต้องใช้ชีวิตเขาแลกเพื่อทำให้ลูกชายกลับไปดูเหมือนมนุษย์ปกติ เขาก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย