ตอนที่ 463 : ครึ่งเดือน (II)
“เกิดอะไรขึ้นกัน พวกเจ้าสะดวกที่จะพูดหรือไม่?” โอวเสินเฟิงถามออกมาด้วยความสงสัย
ลั่วซู่หยางเงียบไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้า “เมื่ออาจารยโอวถามมา ข้าก็จะบอก” ลั่วซู่หยางเงียบไปชั่วครู่และพูดต่อ “ก่อนที่จะพูด ข้าขอแนะนำสองคนให้อาจารย์โอวได้รู้จักก่อน”
เขามองไปที่ฝางมู่และพูดขึ้นมา “นี่คือ ผู้อาวุโสฝางมู่ ศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวของท่านเป้ยหลง ตอนนี้ท่านบ่มเพาะขึ้นมาถึงระดับสูงสุดขั้นกลางแล้ว”
“ศิษย์สายตรงของท่านเป้ยหลงรึ?” สีหน้าของโอวเสินเฟิงแสดงความแปลกใจออกมา เขามองไปที่ฝางมู่ทันที “สวัสดี ข้าโอวเสินเฟิงอาจารย์ของสำนักคังเฉียง”
แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของโอวเสินเฟิงจะต่ำ แต่ลั่วซู่หยางและคนอื่นๆต่างก็พากันให้ความสำคัญต่อโอวเสินเฟิงเป็นอย่างมาก เป็นธรรมดาที่ฝางมู่จะไม่ได้มองข้ามโอวเสินเฟิง เขาได้พูดกับโอวเสินเฟิงอย่างสุภาพ “สวัสดีอาจารย์โอว”
ลั่วซู่หยางแนะนำต่อ “นี่คือหนี่จี่เทียน ปรมาจารย์ใช้คำสาป 6 ดาว และเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นต่ำ”
ทันทีที่ได้ยินถึงปรมาจารย์ใช้คำสาป 6 ดาว สีหน้าของโอวเสินเฟิงก็ดูเคร่งเครียดขึ้นมา
โอวเสินเฟิงมองไปที่หนี่จี่เทียนก่อนจะพยักหน้าให้ “สวัสดี”
หนี่จี่เทียนพยักหน้าตอบกลับ แต่ท่าทีที่เขาแสดงออกมาก็เย็นชากว่าฝางมู่ แต่ก็ยังไว้หน้าโอวเสินเฟิงอยู่
“เรื่องเป็นแบบนี้ เมื่อไม่นานมานี้เราได้ยินรายงานจากคนของเราที่เขตใต้ว่า เมืองจูอันถูกทำลาย…” ลั่วซู่หยางเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับจักรวรรดิหมิงให้ฟัง “หลังจากนั้น พวกเราและผู้อาวุโสฝางมู่ก็ได้ไปที่เมืองจูอันเพื่อทำการตรวจสอบ และก็ได้พบกับหนี่จี่เทียน จากข้อมูลที่หนี่จี่เทียนให้มา เราก็รู้ว่าคนร้ายเป็นใคร…”
หลังจากที่อธิบายเรื่องนี้แล้ว ลั่วซู่หยางก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “เราได้ปิดเขตใต้เอาไว้และตู้รั่วหยุนกับหลินไห่หยาก็ไม่อาจจะหนีได้ ครั้งนี้ข้าต้องการรายงานเรื่องนี้กับเจ้าสำนัก เราอยากรู้ว่าเจ้าสำนักอยากจะให้จัดการยังไง”
เมื่อได้ยินแบบนั้น โอวเสินเฟิงก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา
โอวเสินเฟิงอยู่ในสำนักคังเฉียงมาก็นาน เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้ว่า ตู้รั่วหยุนและหลินไห่หยาทำอะไรมาบ้างในอดีต และรู้ด้วยว่าทำไมจางหยูถึงได้ให้เซียนทั้งสี่ค้นหาพวกนั้น
เขาไม่คิดว่าตู้รั่วหยุนจะปรากฏตัวออกมาแบบนี้
“โชคร้ายที่เจ้าสำนักไม่อยู่และไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน” โอวเสินเฟิงรู้สึกเสียดาย “หากท่านต้องการรายงานกับเจ้าสำนัก ข้ากลัวว่าท่านคงต้องรอที่นี่ไปสักพัก”
ลั่วซู่หยางและคนอื่นๆเองก็หมดหนทาง พวกเขาพากันถอนหายใจออกมา “ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น”
หยางเพ้ยอันคิดสักพักและพูดขึ้นมา “เอาแบบนี้ เซียนค่ายกล เซียนโอสถ เจ้าทั้งสองรอเจ้าสำนักอยู่ที่นี่ ข้าจะกลับไปที่เขตกลางและติดตามสถานการณ์ที่เขตใต้ เมื่อข่าวมาถึง ข้าจะมาแจ้งกับพวกเจ้าที่นี่ทันที”
เขตกลางคือฐานของพวกเขา พวกเขาไม่อาจจะอยู่ด้านนอกได้นานนัก โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์อ่อนไหวแบบนี้ มันต้องมีคนที่คอยประจำการที่เขตกลางบ้าง
“พวกเจ้าคิดเห็นว่ายังไง?” หยางเพ้ยอันพูดขึ้นมา “แน่นอนว่าหากเจ้ารู้สึกไม่สบายใจ เจ้ากลับไปก็ได้”
มันไม่สำคัญว่าใครจะกลับไป อย่างน้อยต้องมียอดฝีมือระดับสูงสุดสักคนที่ต้องประจำการอยู่ที่นั่น
“เซียนอักษรกลับไปน่ะดีแล้ว” ลั่วซู่หยางคิดและเห็นด้วย “เจ้าคือคนที่มองภาพรวมได้ดีที่สุด หากเจ้าได้ไปดูแลเขตกลาง ข้าก็สบายใจ”
ซุยเจี่ยนไม่ได้เห็นแย้งในเรื่องนี้ เนื่องจากคนของเขารู้ว่าตัวเองมีหน้าที่อะไรกันบ้าง อีกทั้งตัวเขาเองก็ไม่ได้เก่งเรื่องการจัดการ หากเขาฝืนกลับไป บางทีเรื่องมันอาจจะวุ่นวายกว่านี้
หยางเพ้ยอันพูดขึ้นมา “งั้นข้าขอตัวก่อน หากมีข่าวคราวอะไร ข้าจะรีบมาแจ้งพวกเจ้าทันที”
เมื่อพูดจบหยางเพ้ยอันก็ไม่รีรอ มิติรอบตัวเขาผันผวนขึ้น ก่อนที่ร่างของเขาจะหายไป
เมื่อหยางเพ้ยอันกลับไปแล้ว โอวเสินเฟิงก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ฟังจากที่พวกท่านพูดกันแล้ว ไม่นานมานี้เกิดยอดฝีมือระดับสูงสุดขึ้นมาเยอะรึ?”
เขาอยู่ในสำนักคังเฉียงมาตลอดจนไม่รู้เรื่องราวโลกภายนอก ยิ่งไปกว่านั้นเขตเหนือก็คือที่ที่ห่างไกลที่สุดของทวีป ยิ่งระดับการบ่มเพาะสูงเท่าไหร่ก็ไม่มีใครคิดจะอยู่ที่เขตเหนือต่อ ดังนั้นเขตเหนือจึงไม่ใช่ฐานของยอดฝีมือระดับสูงสุด ข่าวคราวของที่ต่างๆไม่อาจจะมาถึงเขตเหนือได้และนั่นทำให้คนส่วนมากในเขตเหนือไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของภายนอก
“ก็ไม่มากไม่น้อย” ลั่วซู่หยางพูดขึ้นมา “เท่าที่ข้ารู้มา แค่ 10 วัน มนุษย์ก็มียอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางถึง 2 คน ยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นต่ำ 7…ไม่สิ 9 คน ! ”
ตอนแรกเขาคิดว่าเป็น 8 แต่เมื่อนับรวมฝางมู่,หนี่จี่เทียนและชายลึกลับที่เหมือนกับสัตว์อสูรไปแล้ว จำนวนก็เปลี่ยนไป “นี่คือเท่าที่เรารู้มา จำนวนของยอดฝีมือระดับสูงสุดของมนุษย์นั้นจะต้องเกิน 20 คนอย่างแน่นอน!”
ตอนนั้นจำนวนยอดฝีมือระดับสูงสุดของมนุษย์มีถึง 15 คน 11 คนเป็นหน้าใหม่บวกกับเหล่าเซียน 4 คนก็เท่ากับ 15 คน
โอวเสินเฟิงอึ้งและแปลกใจขึ้นมา “ มากขนาดนั้นเลยรึ ! ”
“บอกได้ว่าทักษะจี๋อู่ขั้นต่ำนี้แข็งแกร่งจริงๆ!” ลั่วซู่หยางพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “ทักษะบ่มเพาะนี้ได้สร้างยอดฝีมือระดับสูงสุดขึ้นมามากมาย และพลังของมันก็น่ากลัวกว่าที่เราเคยคิดเอาไว้” เขาเคยคิดว่าคงจะดีหากสร้างยอดฝีมือระดับสูงสุดได้อีกสัก 2-3 คน แต่ตอนนี้จำนวนกลับมากเกินว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้หลายเท่า
โชคดีที่ความแข็งแกร่งของยอดฝีมือระดับสูงสุดหน้าใหม่ไม่ได้สูงนัก คนที่แข็งแกร่งที่สุดมีแค่ยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางอย่างฝางมู่และฉินอู่ตี้ก็เท่านั้น
ด้วยความช่วยเหลือจากฝางมู่ เซียนทั้งสี่สามารถรักษาสมดุลและประคองสถานการณ์ในตอนนี้ได้ชั่วคราว
“ใช่สิ แล้วเรื่องอาจารย์คนอื่นล่ะ ? ทำไมถึงไม่เห็นพวกเขาในตอนนี้?” ลั่วซู่หยางกลับมาได้สติและถามขึ้นมาด้วยความสับสน
โอวเสินเฟิงอธิบายออกมา “ตอนนี้สำนักหยุดอยู่ อาจารย์และศิษย์ต่างก็ไปจัดการธุระของตัวเอง ยกเว้นข้ากับอาจารย์ใหม่แค่ไม่กี่คนแล้ว คนอื่นๆต่างก็กลับไปที่บ้านตนเอง เดาว่าอีกไม่นานอาจารย์และศิษย์คงจะกลับมา”
จีหลิง, จงเซี่ยวเซี่ยว,คังชือหลินและเทียนเย่ต่างก็เพิ่งจะมาถึงและพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะกลับไป
หากเทียบกับโอวเสินเฟิงแล้ว พวกเขาเคยชินกับการรับคำสั่งของเหล่าเซียน เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่กล้าทำให้เหล่าเซียนไม่พอใจ และที่สำคัญที่สุดคือพวกเขายังไม่รู้ถึงความน่ากลัวจริงๆของสำนักคังเฉียง รวมถึงไม่เข้าใจฐานะอาจารย์ของตนว่าหมายถึงอะไร ไม่งั้นแล้วพวกเขาคงไม่คิดว่าตัวเองต่ำต้อยแบบนี้
“สมกับที่เจ้าสำนักให้ความไว้วางใจ ระดับการบ่มเพาะต่ำแต่ความกล้าที่มีไม่อาจจะมีใครเทียบได้ ตอนที่พูดกับเหล่าเซียน เขาไม่ได้ถือตัวและไม่ได้ถ่อมตัว” จีหลิงและคนอื่นๆพากันมองไปที่โอวเสินเฟิง ความไม่พอใจก่อนหน้านี้ที่มีในใจ หายไปอย่างสิ้นเชิง
โอวเสินเฟิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ขึ้นไปบนภูเขากันก่อน หากมีเรื่องอะไรต่อค่อยคุยกันที่สำนัก”
ลั่วซู่หยางพูดขึ้น “ขอรบกวนอาจารย์โอวด้วย”
ตอนที่พวกเขากำลังจะเดินทางก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “อาจารย์โอว”
อ้าวอู่เหยียนที่กำลังถืออาหารไว้ในมือกำลังวิ่งเข้ามา
“อาจารย์อ้าวอู่เหยียน” โอวเสินเฟิงหันกลับไป เมื่อเห็นว่าเป็นอ้าวอู่เหยียนเขาก็แปลกใจขึ้นมา “ท่านยังไม่กลับรึ?”
อ้าวอู่เหยียนส่ายหน้าและพูดขึ้น “น้าของข้ายังอยู่ในป่าหวงหยวน ข้าเองก็ขี้เกียจจะกลับด้วย”
“นี่คืออาจารย์อ้าวอู่เหยียน หนึ่งในอาจารย์ของสำนักคังเฉียง” โอวเสินเฟิงยิ้มและแนะนำออกมา “อาจารย์อ้าวอู่เหยียนเองก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดเหมือนกับพวกท่าน แม้ว่าระดับการบ่มเพาะจะต่ำกว่าเล็กน้อยแต่เจ้าสำนักบอกว่าความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นสูงส่ง เขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพวกท่านเลย”
ในอีกความหมายคือ มองข้ามระดับการบ่มเพาะของอ้าวอู่เหยียนได้เลย เขาถือว่าอยู่ขั้นกลางเหมือนกับลั่วซู่หยาง
ลั่วซู่หยางส่งข้อความบอกกับฝางมู่ “ผู้อาวุโสฝางมู่ อ้าวอู่เหยียนเป็นองค์รัชทายาทของเผ่ามังกร อย่าได้หาเรื่องชายคนนี้!”
ฝางมู่ไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก แต่จากนั้นเขาก็เหมือนกับคิดบางอย่างออกและส่งข้อความถามกลับไป “เจ้าหนู เจ้าบอกว่าชายคนนี้คือองค์รัชทายาทของเผ่ามังกรรึ ? เขาเป็นลูกของอ้าวคุนที่เป็นราชามังกรรึ?”
“ใช่” ลั่วซู่หยางตอบกลับอย่างมั่นใจ
“งั้นน้าเขาคงเป็นผู้อาวุโสสูงสุดอ้าวเยว่สินะ?” ฝางมู่ถาม
“ท่านรู้ได้ยังไงกัน?” ลั่วซู่หยางถามกลับด้วยความแปลกใจ
เผ่ามังกร ในทวีปนี้มีไม่กี่คนที่รู้จักพวกนั้นจริงๆ แม้แต่ยอดฝีมือระดับสูงสุดเก่าๆก็ยังไม่รู้ชื่อของผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่ามังกร จนเจ้าสำนักแนะนำ แต่ฝางมู่กลับรู้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดคนนั้นชื่ออ้าวเยว่ เขาไม่รู้จริงๆว่าฝางมู่รู้ได้ยังไง
ฝางมู่ไม่ได้ตอบคำถามลั่วซู่หยาง แต่เขากลับมองไปที่อ้าวอู่เหยียนก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เด็กน้อย ข้าขอถามเจ้าที เจ้าพาข้าไปหาน้าของเจ้าได้หรือไม่?”
อ้าวอู่เหยียนคิ้วขมวดและมองไปที่ฝางมู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เจ้าเรียกใครว่าเด็กน้อย?”
สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือการที่คนอื่นมองว่าเขาเป็นเด็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่ได้โตมากนักแต่เขาก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว
“ขอโทษด้วยข้าพูดผิดไป” ฝางมู่ไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย เขากลับหัวเราะออกมาแทน “อาจารย์อ้าวอู่เหยียน โปรดพาข้าไปหาน้าท่านได้หรือไม่?”
อ้าวอู่เหยียนรวมถึงโอวเสินเฟิงต่างก็มองฝางมู่ด้วยความสงสัย ชายแก่คนนี้รู้จักอ้าวเยว่ด้วยรึ ?
สุดท้ายหนี่จี่เทียนก็คิดกับตัวเอง “ชายแก่คนนี้มีอะไรกับน้าของเจ้าหนูนี่รึ?”
เขายังไม่รู้ตัวตนของอ้าวอู่เหยียน ไม่งั้นแล้วเขาคงไม่กล้าดูหมิ่นอ้าวอู่เหยียนขนาดนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้โง่ แม้ว่าเขาจะด่าอ้าวอู่เหยียนในใจ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีดูหมิ่นออกมา
“น้าข้าไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าอยากจะไปหานางได้ตามใจหรือไง?” อ้าวอู่เหยียนไม่ได้ไว้หน้าอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย สายตาที่ฝางมู่มองมาที่เขาทำให้เขาอึดอัด มันเหมือนกับผู้ใหญ่ที่มองดูเด็กน้อย มันทำให้เขาไม่สบายใจ “อาจารย์โอวชายคนนี้เป็นใครกัน ? เขาบอกให้ข้าพาเขาไปหาน้าข้า เขามีสิทธิหรือไงกัน ! ”
โอวเสินเฟิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาพูดขึ้นมา “นี่คือผู้อาวุโสฝางมู่ เขาก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นกลางเหมือนกับท่าน” โอวเสินเฟิงเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ผู้อาวุโสฝางมู่คือศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวของท่านเป้ยหลง”
เป้ยหลงคืออัจฉริยะในรอบหมื่นปีของมนุษย์ ความแข็งแกร่งของเขานั้นน่ากลัวจนแม้กระทั่งคนในเผ่ามังกรก็ยังรู้จักเป้ยหลง และถึงกับชื่นชมเป้ยหลงด้วย เป็นธรรมดาที่อ้าวอู่เหยียนที่เป็นองค์รัชทายาทจะรู้จักเป้ยหลง
“เจ้าคือศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวของท่านเป้ยหลงรึ?” อ้าวอู่เหยียนตาเป็นประกายขึ้นมา ความไม่พอใจก่อนหน้านี้ได้หายไป และแทนที่ด้วยความแปลกใจแทน “พ่อข้าบอกว่าในหมู่มนุษย์พันล้านคน มีแค่เป้ยหลงเท่านั้นที่เป็นคู่มือของเขาได้ เจ้าเป็นศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวของเป้ยหลง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งได้มากแค่ไหนในฐานะผู้สืบทอดของเป้ยหลง…รึจะลองสู้ดูดีหรือไม่?” อ้าวอู่เหยียนเริ่มคันไม้คันมือขึ้นมา