ข้อเสนอที่ไม่ได้คาดคิดทำให้ฉันมองหน้าซูฮยอนด้วยสีหน้าตกใจ แต่ว่าซูฮยอนก็ไม่ได้สนใจอะไร แล้วพยักหน้าเป็นการบอกว่า ให้รีบออกมาได้แล้ว ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไปจากห้องเรียน ฉันรีบผลักเก้าอี้เข้าไปใต้โต๊ะ แล้ววิ่งตามซูฮยอนออกไปที่หน้าประตู
“ขอบใจนะ นายช่วยชีวิตฉันไว้เลยนะเนี่ย”
ซูฮยอนยักไหล่เหมือนจะบอกว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ให้กับคำพูดของฉัน ก่อนจะดึงฉันเข้ามาอยู่ใต้ร่มที่กางออก นั่นเลยทำให้ฉันต้องเดินด้วยท่าทางประหลาดขณะที่ไหล่ชนกับซูฮยอนไปด้วย สถานการณ์นี้มันเหลือเชื่อซะจนฉันอดไม่ได้ที่จะต้องหัวเราะเสียงดังออกมา
“หัวเราะอะไรน่ะ”
“เปล่าหรอก ก็แค่ พวกเรามักจะไปไหนมาไหนกันหลายๆ คนเสมอ แต่พอได้มาอยู่กับนายแค่สองคนแล้ว มันก็รู้สึกตลกๆ ยังไงก็ไม่รู้”
“แปลกเหรอ”
“นิดหน่อยน่ะ”
คำตอบหยอกล้อของฉันทำให้ซูฮยอนหัวเราะขึ้นมาในลำคอ ก่อนจะเอามือมาวางลงบนหัวฉัน แล้วจัดการขยี้เสียยกใหญ่
“ชินซะเถอะ”
ซูฮยอนตั้งใจตีหน้าเข้มพร้อมกับลดเสียงลง แล้วพูดเสริมว่า ตอนนี้เหลือแค่เราสองคนแล้วนี่นะ เฮ้อ ซูฮยอนเองก็กำลังคิดเรื่องนั้นอยู่เหมือนกันสินะ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกสงสารซูฮยอนที่ต้องแยกกับเซจินอย่างกะทันหันขึ้นมา
“นายคงเสียดายยิ่งกว่า ก็จะไม่ได้เจอเซจินอีกตั้งนานเลยไม่ใช่เหรอ”
“ก็นะ ก็มันเป็นเรื่องดีนี่นา”
หลังจากตอบกลับมาว่ามันไม่ได้สำคัญเท่าไหร่หรอก เขาก็ยิ้มออกมาบางๆ ทั้งที่เขาน่าจะอยากอยู่ด้วยกันกับเธอมากกว่าใครๆ แท้ๆ หากไม่มีเรื่องอุบัติเหตุนั่น ป่านนี้พวกเขาคงได้ไปด้วยกันแล้วแน่ๆ แต่ว่าท่าทางที่แน่วแน่ของซูฮยอนก็ดูเป็นผู้ใหญ่มากเลยละ
“…คือว่านะ”
ฉันพยายามง้างปากที่ยึกยักไปมาออก พลางเอ่ยถามขึ้น ความจริงแล้วฉันอยากจะฟังเรื่องก่อนหน้านี้ของซูฮยอนน่ะ เพราะฉันคิดว่าบางทีหมอนี่อาจจะสามารถให้คำตอบในความกังวลของฉันได้ก็ได้
“เรื่องวันที่นายล้มเลิกเรื่องไปโลซานน์ ฉันขอถามหน่อยได้ไหม”
ซูฮยอนคงจะไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าฉันจะถามคำถามแบบนั้น เขาถึงกับชะงักแล้วหันมามองฉัน หลังจากที่ฉันจ้องมองดวงตาของซูฮยอนที่ไม่สั่นไหวเลยสักนิด ฉันก็ค่อยๆ พูดต่อ
“ก็นายคงคิดว่า อาจจะไม่สามารถกลับมาเต้นบัลเลต์ได้อีกใช่ไหมละ รีบร้อนถึงขั้นที่ยอมสละสิทธิ์ไปโลซานน์เลยนี่นา”
“…”
“แล้วเหตุผลที่ไม่ยอมแพ้คืออะไรล่ะ นายเอาชนะ… ความกลัวนั้นได้ยังไงกัน”
ซูฮยอนยิ้มเจื่อนๆ เหมือนกับลำบากใจในคำถามของฉัน พลางเบือนหน้าหนี ดวงตาของซูฮยอนที่มองออกไปยังที่ที่ห่างไกลดูเลือนรางอย่างพิลึก ดวงตาของซูฮยอนเป็นสีดำสนิทเหมือนกับใส่ท้องฟ้ายามค่ำคืนเข้าไป เขาหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้งสักพัก ก่อนจะมองมาที่ฉันช้าๆ ตาของซูฮยอนที่หันกลับมาที่ฉันอย่างช้าๆ กำลังวาดเป็นรูปยิ้มบางๆ
“เพราะสัญญาเอาไว้น่ะสิ”
เมื่อสายลมที่มีความชื้นอัดแน่นอยู่เต็มพัดผ่านไป เส้นผมของซูฮยอนก็ปลิวไสวไปมา ซูฮยอนฉีกยิ้มที่ดูสบายๆ จนเหมือนกับจะทำให้กลิ่นฝนหายไป ก่อนจะมองตรงมาที่ฉัน แล้วพูดต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ฉันสัญญาเอาไว้กับเซจินน่ะ ถึงจะน่าอายแต่ว่าต่อให้จะแสดงด้านที่อ่อนแอออกมา ก็ห้ามยอมแพ้เด็ดขาด”
ฉันหัวเราะเล็กๆ แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีสายฝนโปรยปรายลงมา ท้องฟ้ามืดมิดที่เหมือนกำลังเลอะไปด้วยเม็ดทราย ช่างเหมือนกับอนาคตอันมืดมิดของฉันที่มองไม่เห็นทางข้างหน้า
เพราะฉันก็ทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็นแล้วนอกจากบัลเลต์ ดังนั้นในตอนนี้ ฉันถึงจินตนาการภาพของตัวเองที่ไม่ได้เต้นไม่ออกเลยสักนิด และซูฮยอนเองก็คงจะเป็นแบบนั้นเช่นกัน
แต่ว่าฉันจะมีความกล้าพอที่จะไม่ยอมแพ้ แล้วก็ยืนหยัดขึ้นสู้อีกครั้งเหมือนกับซูฮยอนหรือเปล่านะ เพื่อที่จะรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้กับรุ่นพี่ว่าจะเป็นบัลเลรีน่าสุดเท่ให้ได้ ฉันจะยังเต้นต่อไปได้อีกหรือเปล่านะ ไม่ว่าจะคิดยังไงฉันก็ไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด
“ขนาดตัวฉันยังไม่เชื่อในตัวเองเลยแท้ๆ แต่กลับมีคนที่เชื่อในตัวฉันที่เป็นแบบนั้น ความจริงข้อนั้นเลยกลายมาเป็นพลังให้กับฉันน่ะ”
“…”
“ดังนั้นฉันเลยไม่อยากทำให้คนๆ นั้นผิดหวังยังไงละ”
หลังจากซูฮยอนพูดจบ เขาก็ยิ้มออกมาอย่างเขินอาย ผิดหวัง คำนั้นทิ้งความรู้สึกแปลกๆ เอาไว้ ก่อนที่จะจางหายไป รุ่นพี่จะผิดหวังในตัวฉันไหมนะ เขาจะคิดว่าฉันที่เอาแต่หนีอยู่แบบนี้ไร้สาระรึเปล่านะ เฮ้อ นี่ฉันเอาแต่คิดถึงทุกอย่างโดยเอารุ่นพี่เป็นหลักเลยเหรอเนี่ย
ซูฮยอนก้าวเท้าสั้นลงเพื่อที่จะเดินให้เข้ากับก้าวเดินช้าๆ ของฉัน ใบหน้าด้านข้างของเขาดูจะแสดงออกอย่างซื่อตรงกว่าครั้งไหนๆ แล้วจู่ๆ ฉันก็รู้สึกอายขึ้นมา ความมั่นใจ ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่จะเดินบนเส้นทางที่อาจจะล้มเหลว แล้วก็… หัวใจอันแข็งแกร่งที่เชื่อในมือที่กำลังจับไว้
“เท่สุดๆ ไปเลยนะเนี่ย ชเวซูฮยอน”
ซูฮยอนหัวเราะพลางยักไหล่ ฉันจึงตีไหล่ของซูฮยอนที่ทำท่าทางแบบนั้นเบาๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเข้มๆ ว่า ไปกันเถอะ แต่แล้วในจังหวะที่ฉันกำลังหันตัวไปนั้นเอง
ฉันก็เห็นเงาของใครคนหนึ่งกำลังเดินถือร่มคันใหญ่เข้ามาหาพวกเราอย่างช้าๆ จากทางหน้าประตูที่อยู่ไกลออกไป ภาพเงาที่คุ้นตาและก้าวเดินที่คุ้นเคย
“สองคนคุยอะไรกันน่ะ ทำไมนานจัง”
คนที่หันมาส่งยิ้มพร้อมกับโบกมือให้กับพวกเราก็คือรุ่นพี่อีกงนั่นเอง วินาทีนั้นฉันทำตัวไม่ถูกจนไม่อาจเก็บอาการเอาไว้ได้ แล้วก็ได้แต่จ้องหน้ารุ่นพี่ที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ไม่มีอะไรครับ ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย อุตส่าห์มาถึงนี่ทั้งที่ฝนตกแบบนี้”
ซูฮยอนที่โยนคำถามออกมาแทนฉันที่ยืนงงไม่พูดอะไร แอบสะกิดไหล่ฉันแล้วส่งสายตามาเหมือนจะต้องการถามว่า ‘เป็นอะไรไป’ ฉันยิ้มเจื่อนๆ แล้วมองต่ำลงเพื่อปกปิดดวงตาที่สั่นไหวจนจับโฟกัสไม่ถูก แล้วก็ได้เห็นรองเท้ากีฬาของรุ่นพี่ที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน
“พี่มาเพราะว่าฮวีกยอมคงจะต้องป้ำๆ เป๋อๆ ออกมาจากบ้านโดยที่ไม่ได้เอาร่มออกมาด้วยแน่ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่ที่ได้เจอหน้าพี่สินะ”
น้ำเสียงของรุ่นพี่ที่พึมพำออกมาเบาๆ เมื่อได้เห็นท่าทีของฉันดูเหมือนจะแฝงความเศร้าเอาไว้ ฉันส่ายหน้าโดยไม่พูดอะไร ฉันแค่กลัวว่าหัวใจที่วุ่นวายเพราะบทสนทนาที่ได้คุยกับซูฮยอนจะถูกจับได้เท่านั้นแหละ
แต่ต่อให้ไม่ต้องพูดออกมาตรงๆ ฉันก็รู้ดีว่าไม่มีใครรู้ถึงความจริงภายในใจของฉันได้หรอก ดังนั้นความสัมพันธ์ของรุ่นพี่และฉันถึงได้ดูแปลกๆ อย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่กล้าที่จะพูดออกไปอยู่ดี
ฉันไม่อยากจะทำให้รุ่นพี่ที่เชื่อในตัวฉันต้องกังวลใจ ฉันไม่อยากให้รุ่นพี่เศร้าเพราะมีฉันเป็นต้นเหตุ
ไม่สิ ฉันต่างหากละที่ไม่มีความกล้าพอที่จะมองดูท่าทางแบบนั้น เพราะกลัวว่ารุ่นพี่จะเปลี่ยนไป เพราะกลัวว่ารุ่นพี่จะปล่อยมือจากฉันเมื่อรู้เรื่องทั้งหมด ใช่ ฉันน่ะไม่เหมือนซูฮยอนหรอก ฉันไม่มีความกล้าที่จะท้าทายกับทุกสิ่ง
“บรรยากาศของทั้งสองคนนี่มันอะไรกัน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอครับ”
ซูฮยอนที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างฉัน ยิ้มแห้งๆ ขณะเอ่ยถาม แต่รุ่นพี่และฉันก็ไม่อาจจะให้คำตอบใดๆ ได้
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ นึกขึ้นได้ว่ามีที่ที่ต้องไปน่ะค่ะ”
ฉันหาข้ออ้างลวกๆ ขึ้น ก่อนจะรีบหันไปทางอื่น เพราะถ้าขืนอยู่อย่างนี้ต่อไปน้ำตามันจะต้องไหลออกมาอย่างแน่นอน ฉันรีบเดินผ่านด้านข้างของรุ่นพี่ที่กำลังขยับปากเหมือนว่าจะพูดอะไรสักอย่าง และเสียงเรียกของซูฮยอนก็ฟังดูไกลออกไปเหมือนกับเสียงสะท้อน ดูท่าหูจะไม่ได้ยินอีกแล้วสินะ
ฉันที่รีบร้อนยิ่งกว่าเดิม หันไปมองสัญญาณไฟจราจรที่กลายเป็นสีเขียว ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งข้ามทางรถไฟไป ถ้าถูกรั้งไว้ที่นี่ละก็ ความจะต้องแตกแน่ๆ ฉันสัมผัสได้ว่าตอนนี้ทั้งสิ่งที่ซ่อนอยู่และการหลบหน้ารุ่นพี่ได้มาจนถึงขีดจำกัดแล้วจริงๆ
ในตอนที่ฉันรีบก้าวเท้าอย่างรีบร้อน พร้อมกับเอาหลังมือเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา พอลองคิดดูอีกครั้งแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเสียววาบขึ้นมา แต่หัวใจก็เหมือนกับหล่นฮวบลงไป ฉันหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงกลางทางรถไฟ ก่อนจะค่อยๆ หันหน้าไปทางประตูโรงเรียนที่มีรุ่นพี่กับซูฮยอนยืนอยู่อย่างช้าๆ
อ้า ฉันเห็นรุ่นพี่กำลังวิ่งมาทางฉัน แบบช้ามากๆ เหมือนกับภาพสโลว์โมชั่น และใบหน้าของซูฮยอนที่อยู่ข้างหลังก็ดูตกใจสุดขีด ดวงตาที่พองโตและริมฝีปากที่ขยับอย่างรีบร้อนเหมือนกับจะตะโกนอะไรออกมาสักอย่างนั่นดูแปลกพิลึก
ด้วยความรู้สึกมึนงงฉันจึงหันหน้ากลับมา แล้วในตอนนั้นเองฉันก็ได้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สีหน้าของซูฮยอนต้องการจะสื่อออกมา
“คิมฮวีกยอม!”
ท่ามกลางเสียงแว่วจากที่ห่างไกลซึ่งใกล้เข้ามา ฉันได้ยินเสียงเสียดสีกันของยางล้อรถที่เหมือนกับจะแตกออกมา ของรถยนต์ที่ใกล้เข้ามาจนเหมือนกับจะทับร่างของฉันซะเดี๋ยวนั้น
ภายในหัวที่ขาวโพลนไปหมดนั้นมีแต่เสียงเตือนที่บอกว่าให้รีบหลบเร็วเข้า แต่ไม่รู้ทำไมฉันกลับไม่สามารถขยับออกไปจากที่ตรงนั้นได้เลยสักนิด
เสียงที่กลับมาสักพักหนึ่งเริ่มไกลออกไปอีกครั้ง ทั้งเสียงแหลมสูงของรถที่เหยียบเบรกอย่างกะทันหันและเสียงตะโกนของซูฮยอนที่ได้ยินมาจนถึงเมื่อกี้หายไปอีกครั้ง
ฉันงอตัวลงพร้อมกับหลับตาทั้งสองข้างไว้แน่นตามสัญชาตญาณ และในไม่ช้าแรงกระแทกหนักๆ ก็ถูกส่งผ่านมายังร่างกายของฉัน พร้อมกับความรู้สึกที่ว่าขาทั้งข้างกำลังลอยขึ้นไปบนอากาศ
นี่ฉันจะตายแบบนี้งั้นเหรอเนี่ย แบบไร้ค่าอย่างนี้เนี่ยนะ คำถามที่วนเวียนอยู่ภายในหัวฉันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้กำลังถามต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ไม่หยุดเหมือนกับงูกินหาง มันไม่ได้เจ็บปวด หรือน่ากลัวอย่างที่เคยคิดเอาไว้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายกำลังถูกห่มด้วยผ้าห่มอุ่นๆ นุ่มๆ
จนเมื่อรู้สึกว่าร่างกายซึ่งลอยอยู่บนอากาศกระแทกลงกับพื้น ฉันก็ลืมตาที่ปิดอยู่ขึ้น ภาพที่เห็นคือท้องฟ้าสีทรายซึ่งอยู่ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา ใบหน้าของฉันที่กำลังเปียกชุ่มอยู่แล้วดูจะยิ่งเปียกหนักกว่าเดิม
ฉันลองกระดิกนิ้วดูในทันที แต่ว่าไม่เหมือนกับที่คาดเอาไว้ ร่างกายของฉันกลับขยับได้โดยง่าย ดูท่าจะไม่เป็นอะไรมากสินะ
ในตอนนั้นฉันถึงได้รู้ว่าฉันกำลังอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน พริบตานั้นภาพของรุ่นพี่ที่วิ่งมาหาฉันก็ลอยแวบผ่านไป
ด้วยความสงสัย ฉันจึงหันหน้าไปช้าๆ ก่อนจะได้กลิ่นของรุ่นพี่ที่ยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อเปียกฝน อ้อมกอดที่อบอุ่นและแข็งแรง ลมหายใจบางๆ ที่มารดลงตรงต้นคอ และฝ่ามือใหญ่ที่กำลังโอบไหล่ของฉันเอาไว้แน่น ฉันที่รู้สึกมึนหัวรีบพยุงตัวขึ้นมา
ตรงที่พวกเราอยู่นั้นไม่ใช่ตรงทางรถไฟที่ฉันเคยยืนอยู่ แต่เป็นตรงทางเท้าที่อยู่ห่างออกไปจากตรงนั้นเล็กน้อย สิ่งที่วิ่งเข้ามาชนฉันไม่ใช่รถ แต่เป็นรุ่นพี่ต่างหากละ
ฉันเห็นคนขับรถรีบร้อนออกมาจากรถที่จอดอยู่ตรงกลางทางรถไฟด้วยสีหน้าแตกตื่น รวมไปถึงภาพของซูฮยอนที่วิ่งมาหาพวกเราด้วยใบหน้าซีดเผือด
แม้ว่ารุ่นพี่จะมองมาด้วยอาการตกตะลึง แต่มือของรุ่นพี่ก็ยังเอื้อมมาจับแล้วดึงแก้มฉันอย่างแรง เมื่อหันไปสบตาฉันจึงได้รู้ว่าตัวว่ารุ่นพี่กำลังโกรธจัดอยู่ รุ่นพี่จ้องมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาฉุนเฉียว แล้วขยับปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่หูของฉันก็ยังคงไม่ได้ยินอะไรเช่นเคย
ที่แก้มของรุ่นพี่ซึ่งเปียกไปด้วยสายฝนมีแผลถลอกอยู่ เลือดที่ไหลออกมาข้างนอกผสมเข้ากับเม็ดฝนแล้วไหลลงมาจนถึงคางของรุ่นพี่