คลาสสิกเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของกรอบที่ถูกกำหนดเอาไว้ตายตัว และต่อให้สิ่งนั้นไม่ใช่การเต้นก็ให้ความหมายเหมือนกัน ไม่ว่าจะอยู่แขนงไหน สิ่งต่างๆ ที่ถูกผูกมัดไว้ด้วยคำว่า คลาสสิก ก็จะถือว่าอยู่ในประเภทที่ถูกกำหนดไว้แน่นอน ถ้าจะให้ตีความแบบแตกต่างออกไป ก็อาจจะหมายถึงการกดขี่หรือการถูกจำกัดเอาไว้
การเต้นของรุ่นพี่อีกงที่ฉันรู้จัก ถ้าจะให้อธิบายด้วยคำพูดเดียว มันก็คือความสมบูรณ์แบบที่ลงตัว รุ่นพี่คือนักเต้นที่มีทุกอย่างสำหรับคลาสสิก เงื่อนไขทางด้านร่างกายที่ผู้ออกแบบท่าเต้นโปรดปราน พลังของการแสดงออกอย่างพอเหมาะพอเจาะที่ไม่หลุดไปจากกฎ และความละเอียดประณีต รวมไปถึงบรรยากาศพิเศษที่ต่อให้ทำท่าทางเดียวกัน แต่สายตาของผู้คนก็จะจับจ้องไปที่เขา
ดังนั้นการจินตนาการภาพรุ่นพี่อีกงเต้นโมเดิร์นแทนที่จะเต้นคลาสสิกนั้นอาจจะเป็นเรื่องอยากไปสักหน่อย บางทีแล้ว เซจิน หรือว่าคนอื่นๆ เองก็คงจะเป็นเหมือนกัน แม้แต่ตอนที่เห็นรุ่นพี่อีกงเดินขึ้นมาบนเวที ฉันก็ยังไม่สามารถนึกถึงภาพการเต้นโมเดิร์นของรุ่นพี่อีกงขึ้นมาได้เลยสักนิด
“ดูเหมือนบรรยากาศของรุ่นพี่อีกงจะเปลี่ยนไปนะ”
เซจินจ้องมองท่าทางของรุ่นพี่ที่ตั้งท่าด้วยสีหน้าเฉยเมยอย่างตื่นเต้น พลางเอียงตัวมาทางฉัน ก่อนจะกระซิบเบาๆ ฉันพยักหน้าอย่างโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าของรุ่นพี่ที่สะท้อนสีหน้าเยือกเย็นต่างจากปกติออกมา ทำให้ฉันรู้สึกหวั่นๆ อย่างประหลาด
สีหน้าเคร่งขรึมดูต่างไปจากใบหน้าอันอบอุ่นและอ่อนโยนที่มักจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายอยู่เสมอ ว่ายังไงดีนะ ความรู้สึกมันเหมือนกับหินหยาบๆ ที่ยังไม่ได้รับการขัดเกลาละมั้ง พอเห็นอย่างนั้นแล้ว ฝ่ามือของฉันก็เหงื่อออกจนชุ่มไปหมด
“เริ่มแล้ว”
เสียงดนตรีดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระซิบของเซจิน เพลงที่ดังออกมาเป็นเพลงที่แปลกหูแทนที่จะเป็นดนตรีที่คุ้นเคยที่เคยได้ยินอยู่บ่อยๆ รุ่นพี่งอตัวเหมือนนกที่กำลังโอบอุ้มลูกน้อยเอาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะยืดแขนและขาออกกว้างๆ
วินาทีนั้น ฉันรู้สึกเหมือนกับจะหยุดหายใจ รุ่นพี่กำลังเคลื่อนไหวราวกับสัตว์ป่าตัวหนึ่งใต้แสงไฟที่สาดส่องลงมาราวกับน้ำตก
การเคลื่อนไหวต่างๆ มันทั้งหยาบกร้านและแข็งกระด้าง แต่ขณะเดียวกันก็นุ่มนวลและสง่างามจนเหมือนจะตราตรึงเข้ามาในดวงตา
เสน่ห์อันล้นเหลือที่ไม่เหมือนกับการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงของละครใบ้ ความรู้สึกนั้นที่ส่งผ่านมาอย่างชัดเจนจากปลายนิ้วของรุ่นพี่ทำให้หัวใจของฉันเริ่มเต้นจนเหมือนจะระเบิด ส่วนลึกสุดข้างในจิตใจมันกำลังสั่นไหวเหมือนกับว่าจะมีอะไรบางอย่างก็ไม่รู้ระเบิดออกมา
ชั่ววินาทีที่รุ่นพี่กระโดดลอยตัวขึ้นไปกลางอากาศตามจังหวะดนตรี ฉันก็ได้เข้าใจถึงความรู้สึกนั้น ความปลื้มปีติยินดี มันจะต้องเป็นความความปลื้มปีติยินดีแน่ๆ ความรู้สึกที่รุ่นพี่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ ฉันเองก็กำลังรู้สึกแบบนั้นไปด้วยเช่นกัน
“สวยจัง”
ทั้งที่มันไม่หรูหราและไม่สง่างาม ไม่เหมือนกับรูปปั้นที่แกะสลักเอาไว้อย่างดี ซึ่งแตกต่างกับคลาสสิกของรุ่นพี่ที่ฉันเห็นตลอดมาอย่างชัดเจน แต่มันก็ยังสวยงาม คนที่กำลังเต้นอยู่บนเวทีในตอนนี้ ไม่ใช่เจ้าชายผู้สมบูรณ์แบบที่ปรากฏตัวอยู่ในเทพนิยาย แต่เป็นเพียงแค่รุ่นพี่อีกง เป็นตัวตนของเขาเอง
ทันทีที่เสียงดนตรีจบลงพร้อมกับเสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องที่ดังกึกก้อง รุ่นพี่ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น การเต้นของหัวใจรุ่นพี่ที่ยืนอยู่บนเวทีซึ่งห่างไกลออกไปนั่น ดูเหมือนจะส่งผ่านความรู้สึกที่เอ่อล้นมายังฉัน ฉันไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยเหมือนกับว่าสถานที่แห่งนี้มีเพียงแค่รุ่นพี่กับฉันเท่านั้น
ฉันข่มน้ำตาที่เหมือนจะไหลออกมาเอาไว้ แล้วฉีกยิ้มกว้าง รุ่นพี่เองก็หันมาส่งยิ้มกว้างให้กับผู้ชมเช่นกัน แล้วรุ่นพี่ก็ชนะตามที่สัญญากับฉันเอาไว้ ชนะตัวตนของเขาที่เคยยึดติดเอาไว้
“สุดยอด”
เสียงอุทานอย่างตกตะลึงของเซจินดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือ รุ่นพี่โค้งตัวเบาๆ เพื่อทักทาย ก่อนจะหายไปด้านหลังเวที แผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของเขาซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อกำลังส่องแสงระยิบระยับเหมือนกับดวงดาว
* * *
รุ่นพี่อีกงได้รับเหรียญทองแดงจากสาขาโมเดิร์น หากมองจากจุดที่ว่า นี่คือการแข่งขันที่เข้าร่วมครั้งแรกหลังจากเปลี่ยนมาเต้นโมเดิร์น ผลลัพธ์นี้ก็ถือว่ามีค่ามากทีเดียวเลยละ ท่าทางของรุ่นพี่อีกงที่ได้รับการแสดงความยินดีจากผู้คนมากมายดูมีความสุขเอามากๆ
“เฮ้อ เหนื่อยจัง”
ใบหน้าของรุ่นพี่ที่เพิ่งจะออกมาจากห้องน้ำหลังลบเครื่องสำอางเสร็จเป็นสีแดงระเรื่อ ขนตาที่กำลังกะพริบยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ รุ่นพี่หันมายิ้มแฉ่งให้ฉันด้วยความสุขที่เอ่อล้นมาได้สักพักแล้ว
“คงจะเหนื่อยน่าดูเลยนะคะ”
“ไม่หรอก เธอต่างหากอุตส่าห์รอตั้งนาน เหนื่อยไหม”
“ไม่ค่ะ ฉันไม่เป็นไร รุ่นพี่ต่างหากละคะ คงจะลำบากน่าดู”
“ใช่ วันนี้ก็ลำบากนิดหน่อยแหละนะ”
รุ่นพี่บ่นพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ พลางเอาหน้าผากมาซุกลงที่ไหล่ของฉันก่อนจะถูไปมา ไอเย็นๆ ส่งผ่านมาจากหน้าผาก ฉันเอนตัวไปข้างหน้า แล้วคลุมเสื้อโค้ทไปที่หลังนูนๆ ของรุ่นพี่ที่เผยออกมา พร้อมกับกระซิบเบาๆ
“เท่มากเลยละค่ะวันนี้น่ะ”
“จริงเหรอ”
“จริงสิคะ”
ใบหน้าของรุ่นพี่ที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับตาที่กลมโต ดูอย่างกับเด็กตัวน้อยๆ ฉันยิ้มพราย พลางจับแขนของรุ่นพี่มาสวมเข้าไปในเสื้อโค้ทแล้วติดกระดุมให้เรียบร้อย รุ่นพี่ที่กำลังทอดสายตามองมาที่ฉัน มีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า
“อีเซชวนให้จัดงานเลี้ยงฉลองที่บ้านวันนี้น่ะค่ะ เซจินกับซูฮยอนก็เลยล่วงหน้าไปก่อน เขาบอกว่าพวกเราไม่ต้องรีบไปนักก็ได้ค่ะ”
ก็ดีน่ะสิ รุ่นพี่ตอบ ฉันพันผ้าพันคอให้เป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนที่รุ่นพี่จะจุ๊บลงเบาๆ ลงบนหน้าผากฉัน แล้วกระซิบเบาๆ ว่า ขอบใจนะ ต่อจากนั้นรุ่นพี่ก็จับมือฉันด้วยความเคยชิน แล้วดึงมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของตัวเอง
“พอทำแบบนี้แล้ว พวกเราเหมือนเป็นคู่สามีภรรยากันเลยเนอะ”
“เอ๋”
“ก็แบบที่ผูกเน็กไทให้สามี แล้วก็บอกว่า ไปดีมาดีนะคะ ไง เธอดูเหมือนอย่างนั้นเลยน่ะ”
ใบหน้าของรุ่นพี่ที่ส่งยิ้มกว้างมาให้ดูจะตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ฉันซุกใบหน้าร้อนผ่าวของตัวเองที่ปกเสื้อ พลางจับมือของรุ่นพี่ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อไว้แน่น
“เริ่มมืดแล้วเหรอเนี่ย”
พอออกมาข้างนอกด้วยกันกับรุ่นพี่ ดวงอาทิตย์ก็คล้อยต่ำลง พร้อมกับท้องฟ้าที่ฉายแสงสีแดงของตะวันตกดิน พวกเราที่กำลังจะเลี้ยวตรงหัวมุมเพื่อไปยังป้ายรถเมล์ ก็เผอิญเจอเข้ากับผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งเดินออกมาจากทางออกพอดี ช่วงที่สบตากับคนพวกนั้น ฉันก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
“อ้าว โซยอนนี่นา”
รุ่นพี่หันไปกล่าวคำทักทายเล็กๆ น้อยให้กับฝั่งนั้นแทนฉันที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ รุ่นพี่โซยอนในเสื้อโค้ทสีครีมดูจะตกใจเล็กน้อยกับการพบกันอย่างกะทันหัน แต่เธอก็ยิ้มแย้มขึ้นมาในทันที พร้อมกับโค้งหัวให้รุ่นพี่อีกง
“สวัสดีค่ะรุ่นพี่ ยินดีที่ได้รางวัลนะคะ”
“อื้อ ขอบใจนะ เธอก็มาลงแข่งด้วยสินะ”
“ค่ะ”
ใบหน้าของรุ่นพี่โซยอนที่แสดงสีหน้าอันอ่อนโยนออกมา คือใบหน้าอันใสซื่อบริสุทธิ์แบบที่มักจะเห็นเป็นประจำที่โรงเรียน ใบหน้าของรุ่นพี่โซยอนที่ดูยิ้มแย้มรับกับดวงตาที่โค้งมน ดูผิดกับพวกเพื่อนๆ ของรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าของพวกเขาดูไม่ดีเลยสักนิด
“แล้วเป็นไง ทำได้ดีไหม”
“…เอ่อ ก็นะคะ”
“เป็นเพราะใครบางคนทำให้วุ่นวาย ก็เลยทำให้เต้นได้ไม่เต็มที่ แล้วจะไปเต้นดีๆ ได้ยังไงละคะ”
หนึ่งในเพื่อนกลุ่มนั้นตอบกลับด้วยเสียงหงุดหงิดเมื่อได้ยินคำถามของรุ่นพี่อีกง คนนั้นปรายตามองฉันด้วยสายตาน่ากลัว ริมฝีปากของรุ่นพี่โซยอนกระตุกขึ้นเล็กน้อยตอนที่เห็นฉันสะดุ้งตกใจ พร้อมกับแสดงท่าทีกระวนกระวายออกมา
วินาทีนั้น ฉันบีบมือของรุ่นพี่อีกงเอาไว้แน่น พลางหันหน้าไปทางอื่นอย่างช่วยไม่ได้ นั่นเป็นเพราะความรู้สึกอึดอัดต่างๆ ที่เผชิญมาก่อนการแข่งมันได้กลับมาอีกครั้ง
“ชื่อคิมฮวีกยอมงั้นสินะ”
“…คะ?”
แต่แล้วทันทีที่ฉันได้ยินเสียงที่แฝงไปด้วยความเป็นศัตรูจากเพื่อนของรุ่นพี่โซยอนที่จู่ๆ ก็เรียกชื่อของฉันขึ้นมาอย่างกะทันหัน ฉันก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหน้ารุ่นพี่โซยอนกับเพื่อนๆ ด้วยใบหน้ามึนงง
“นี่เธอต้องทำตัวแย่กับโซยอนขนาดไหนกันนะ คนดีๆ แบบนี้ถึงได้รู้สึกเสียใจได้ขนาดนั้นน่ะ”
“ฮเยจู พอเถอะ”
ใบหน้าของรุ่นพี่โซยอนที่ห้ามปรามคนที่ชี้นิ้วมาทางฉัน ใบหน้านั้นดูหม่นหมองและเต็มไปด้วยความลำบากใจ แต่ว่าข้างในคงกำลังสะใจอยู่แน่ๆ
พอเห็นแบบนั้นแล้ว ขาของฉันก็เริ่มสั่นพั่บๆ ขึ้นมา ตอนนี้ความโกรธเริ่มพลุ่งพล่านขึ้นภายในใจของฉัน
“หาว่าโซยอนขโมยของที่ตัวเองทำหายบ้างละ กล่าวหาว่าเป็นขโมยบ้างละ นี่เธอจงใจทำใช่ไหม หา? เพื่อจะทำลายการแข่งของโซยอนน่ะ”
“ฮเยจู ฮวีกยอมจะไปมีคิดชั่วร้ายอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ พอเถอะน่า ฉันบอกว่าฉันไม่เป็นไรไงละ”
“ไม่เป็นไรได้ยังไงกัน จะถามก็ต้องถามให้สุดสิ!”
ฉันกัดริมฝีปากล่างเอาไว้จนเจ็บ ขณะที่จ้องเขม็งไปที่รุ่นพี่โซยอน ผมที่มัดขึ้นอย่างเรียบร้อยของรุ่นพี่โซยอนยังคงมีกิ๊บติดผมของฉันติดอยู่
ถ้าเอาตามใจฉันละก็ ฉันอยากจะกรีดร้องออกมาเสียงดังๆ เป็นอย่างที่อีเซพูดนั่นแหละ ฉันไม่ควรจะเป็นเหยื่ออีกต่อไป แต่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ฉันเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาก และก็ยังบังเอิญมีรุ่นพี่อีกงยืนอยู่ข้างๆ อีกด้วย รุ่นพี่โซยอนเองก็คงจะรู้ถึงสถานะของฉันเป็นอย่างดี
“ฮวีกยอมเองก็คงจะเข้าใจผิดเพราะมันหน้าตาเหมือนกันน่ะ”
“นี่เธอ คิดว่าโซยอนใจดีแล้วเรื่องจะจบเหรอ มีที่ไหนกันที่ถลึงตาใส่รุ่นพี่ แล้วจะมาข่มขู่เอากิ๊บติดผมไปน่ะ”
ฉันไม่กล้าแม้แต่จะหันหน้าไปมองหน้าของรุ่นพี่อีกง ฉันกลัวที่จะเห็นว่ารุ่นพี่จะกำลังทำหน้าอย่างไรอยู่
ฉันเองก็อยากจะพูดหรอกนะว่า นี่คือกิ๊บติดผมของฉันจริงๆ แต่ต่อหน้ารุ่นพี่อีกงที่รู้จักแต่เปลือกนอกของรุ่นพี่โซยอนแล้ว ฉันก็ไม่มีทั้งวิธีและหลักฐานที่จะไปอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมฉันถึงสงสัยรุ่นพี่โซยอน
ความรู้สึกมันเหมือนอย่างกับว่ากำลังเดินตัวเปลือยเปล่าอยู่กลางถนนเลยแฮะ มันทั้งรู้สึกอับอาย แล้วก็โกรธเคือง…
ฉันกัดฟันกรอด พลางจ้องเขม็งไปที่รุ่นพี่โซยอน รุ่นพี่โซยอนที่แอบอมยิ้มพลางดึงตัวเพื่อนของตัวเองเอาไว้ แล้วเร่งว่า รีบไปกันเถอะ แถมยังไม่ลืมที่จะหันมาก้มหัวขอโทษรุ่นพี่อีกงอีกด้วย
ฉันที่ยืนอยู่นิ่งๆ เกือบจะหัวเราะ เหอะ ออกไปอย่างทนไม่ไหวแล้ว
“เดี๋ยวสิ โซยอน”
ในตอนนั้นเอง รุ่นพี่อีกงที่ทำเพียงแค่จับมือของฉันที่สั่นไม่หยุดเอาไว้นิ่งๆ เรียกชื่อของรุ่นพี่โซยอนขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ
สีหน้าของรุ่นพี่โซยอนที่หันมามองพวกเราตามเสียงเรียกที่ไม่คาดคิด ดูจะออกอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด แต่แล้วคำต่อมาที่รุ่นพี่อีกงพูด ก็ทำให้รุ่นพี่โซยอน รวมไปจนถึงฉัน ถึงกับต้องสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
“เธอควรจะคืนกิ๊บติดผมก่อนจะไปนะ”
“…คะ?”
“ที่พี่หมายถึงคือ ให้คืนฮวีกยอมไปไงล่ะ”
เสียงของรุ่นพี่อีกงยังคงนุ่มนวลเหมือนเดิม แต่ว่าหนามแหลมที่แฝงอยู่ข้างในนั้นดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่ฉันเท่านั้นที่รู้สึกได้ คำพูดที่บาดลึกเข้าไปในหูอย่างเจ็บแสบนั่น ทำให้ใบหน้าของรุ่นพี่โซยอนแข็งทื่อในชั่วพริบตา
“…หมายความว่ายังไงคะ”
เมื่อเทียบกับใบหน้าที่แข็งทื่อไปจนเห็นได้ชัดแล้ว เสียงอันสงบนิ่งของรุ่นพี่โซยอนดูจะไม่แหบพร่าลงไปเลยสักนิด ภายในหัวที่เคยยุ่งเหยิง และภายในใจที่เคยพังครืนลงมา มันกำลังเดือดปุดๆ เหมือนกับน้ำที่ต้มจนเดือด
น้ำตามันคอยแต่จะไหลแหวกขนตาออกมา แต่นั่นไม่ใช่เพราะความโกรธ หรือความอับอาย แต่เป็นความรู้สึกยินดีต่างหาก
มือของรุ่นพี่อีกงกุมมือที่สั่นเทาของฉันเอาไว้แน่น การที่เขาประคับประคองฉันและเชื่อในตัวฉัน มันทำให้ความปลื้มใจเข้ามาเติมข้างในหัวใจจนเต็ม ในใจของฉันตอนนี้ รู้สึกว่า ถึงแม้จะไม่ได้กิ๊บติดผมคืน ฉันก็ยังยินดีที่จะถอยให้
“ทั้งฮวีกยอม แล้วก็รุ่นพี่ก็ด้วย ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรผิดแล้วนะคะ นี่น่ะ เป็นกิ๊บติดผมของฉันจริงๆ ค่ะ”
ใบหน้าอันใสซื่อของรุ่นพี่โซยอนที่แฝงด้วยรอยยิ้มบางๆ ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด ตรงกันข้ามกับใบหน้าของพวกเพื่อนๆ ที่ยืนข้างๆ ที่โกรธจัดจนกลายเป็นสีแดง
ในตอนที่คนพวกนั้นเหมือนจะหันไปพูดอะไรสักอย่างกับรุ่นพี่อีกง เสียงของรุ่นพี่อีกงก็ดังแหวกอากาศขึ้นมาพร้อมกับน้ำเสียงกดดันซึ่งแตกต่างไปจากเมื่อกี้
“คนที่เข้าใจอะไรผิด ดูเหมือนจะเป็นเธอมากกว่านะ โซยอน”
“…คะ?”
คิ้วที่เรียงตัวสวยของรุ่นพี่โซยอนกระตุกเล็กๆ ใบหน้าของรุ่นพี่โซยอนที่มีความกระอักกระอ่วนดูจะซีดเผือดอย่างชัดเจน ความเงียบเกิดขึ้นสักพัก ชั่วขณะนั้นให้ความรู้สึกเหมือนผ่านไปหลายสิบนาที ฉันกลืนน้ำลายแห้งๆ พลางเงยหน้ามองรุ่นพี่อีกง
ที่ริมฝีปากของรุ่นพี่มีรอยยิ้มติดอยู่บางๆ และสีหน้าของรุ่นพี่ก็สงบไม่เข้ากับสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกประหม่าและตึงเครียดนี้เลย แต่ทันใดนั้น เสียงที่ดังลอดออกมาจากปากของรุ่นพี่มันก็ทั้งเย็นยะเยือก แล้วก็กดดันจนฟังแล้วถึงกับต้องหน้าเสีย
“เธอคงจะไม่รู้ แต่ว่า กิ๊บติดผมนั่นน่ะ ไม่มีทางที่จะมีอันที่ซ้ำกันอย่างแน่นอน”
“หมายถึงอะ…”
“เพราะมันเป็นกิ๊บติดผมที่พี่สั่งทำเป็นพิเศษเพื่อมอบให้ฮวีกยอมยังไงล่ะ”
“…คะ?”
คำพูดที่ไม่คาดคิดของรุ่นพี่อีกงทำให้ตัวรุ่นพี่โซยอนสั่นอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของรุ่นพี่โซยอนที่ซีดเซียวจนผิดปกติ ตอนนี้ดูเริ่มจะกลายเป็นสีน้ำเงินอ่อนๆ ไปซะแล้ว แม้แต่ฉันเองก็ยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกเลย
เกิดความเงียบงันขึ้นมาอีกครั้ง มันเย็นสะท้านจนทำให้รู้สึกขนลุก แก้มของรุ่นพี่โซยอนที่แข็งทื่อไปหลายวินาทีกำลังสั่นเทา ฉันมองรุ่นพี่โซยอนกับรุ่นพี่อีกงสลับกันไปมา และไม่สามารถทำให้ปากที่อ้าค้างไว้หุบลงได้
“เพราะฉะนั้น จะบอกว่าหน้าตาเหมือนกัน หรือได้มาเป็นของขวัญ คำพูดพวกนี้ทั้งหมดน่ะ เป็นคำโกหกของเธอทั้งนั้นไงล่ะ”
หลังจากที่รุ่นพี่อีกงปล่อยมือของฉัน เขาก็ค่อยๆ ก้าวไปหารุ่นพี่โซยอน ต่อจากนั้นรุ่นพี่โซยอนก็ยกมือที่สั่นเทาขึ้นมาปิดปากของตัวเองไว้ แล้วเริ่มก้าวถอยหลัง รุ่นพี่อีกงที่เดินไปจนถึงข้างหน้ารุ่นพี่โซยอนยิ้มหวานพลางหัวเราะ
ท่าทีของรุ่นพี่อีกงที่เอาแต่นิ่งเฉยซึ่งไม่ได้เข้ากับสถานการณ์นี้เลย กับท่าทางอึกอักของรุ่นพี่โซยอนที่มาพร้อมกับใบหน้าซีดเผือด และดวงตาสั่นไหวที่กลอกไปมาอย่างไร้จุดหมาย ดูต่างกันชัดเจนเหมือนสีขาวกับสีดำ
ฉันที่เฝ้ามองด้วยความรู้สึกประหม่าพิลึกไม่สามารถที่จะพูดอะไรออกไปได้ เพื่อนๆ ของรุ่นพี่โซยอนเองก็ดูจะกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด แล้วจู่ๆ มือของรุ่นพี่อีกงก็ลอยขึ้นมากลางอากาศช้าๆ ก่อนที่จะค่อยๆ แกะกิ๊บติดผมเจ้าปัญหาที่ติดอยู่ที่หัวของรุ่นพี่โซยอนออก
“ระ รุ่นพี่…”
“เธอคงจะอายต่อหน้าเพื่อนๆ งั้นพี่จะไม่พูดต่อก็แล้วกัน”
“รุ่นพี่… มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ…”