จังหวะรัก นักบัลเลต์ 17-2

ตอนที่ 17-2

หลังจากที่พวกเราถึงที่พักแล้วเอาสัมภาระลงเรียบร้อย พวกรุ่นพี่ก็เอาแต่พูดเจื้อยแจ้วเสียงดังไม่หยุดซึ่งต่างไปจากปกติในระหว่างที่เตรียมอาหารเย็น  

 

 

ระหว่างที่พวกเราย่างเนื้อและปิ้งอาหารทะเลอย่างพวกกุ้งบนเตาบาร์บีคิวถ่าน พลางชนแก้วเครื่องดื่มกันเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว เวลาก็เข้าสู่ช่วงมืดค่ำโดยไม่รู้ตัว แสงไฟจากเรือไดหมึกที่ลอยอยู่บนทะเลตอนกลางคืนอันมืดมิดกำลังกะพริบอยู่เนืองๆ 

 

 

ฉันดื่มดำอยู่กับลมทะเลที่ให้รสเค็มๆ พลางจ้องมองดูแสงไฟเหล่านั้นที่กะพริบเหมือนกับดาว 

 

 

“สวยจัง…” 

 

 

บนท้องฟ้าสีดำสนิทไร้เมฆ มีดวงจันทร์สีขาวใหญ่ยักษ์กำลังลอยอยู่ ความมืดของสถานที่แห่งนี้ที่ไม่ได้มีแสงไฟอยู่รอบทิศทางเหมือนกับในเมืองทำให้แสงจันทร์ยังคงสาดส่องลงมาบนผิวทะเลตลอดเวลา  

 

 

ระหว่างที่ฉันจ้องมองไปยังภาพของแสงจันทร์สีขาวที่สั่นไหวไปตามสายน้ำ ฉันก็รู้สึกว่าช่องว่างภายในหัวใจของฉันถูกเปิดออกมา จะเรียกว่ารู้สึกถึงความเป็นอิสระได้หรือเปล่านะ เจ้าความอิสระแปลกๆ นั้นมันกำลังกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง 

 

 

ในตอนนั้นเองที่ฉันได้ยินเสียงแชะภาพของกล้องดังมาจากข้างหลัง ด้วยความตกใจในเสียงนั้น ฉันจึงหันหน้าไปดู และพบว่ารุ่นพี่อีกงเดินเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เขายืนยิ้มหวาน พร้อมกับถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือ 

 

 

“รูปออกมาไม่ค่อยชัดเลยแฮะ แสงจันทร์เนี่ย” 

 

 

คิ้วที่เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบของรุ่นพี่ถึงกับขมวดมุ่น ขณะที่เขามองดูหน้าจอโทรศัพท์ พลางพูดด้วยความรู้สึกเสียดาย แต่พอฉันจ้องรุ่นพี่ด้วยสีหน้างงๆ รุ่นพี่ที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าฉันโดยไม่ทันรู้ตัวก็ยื่นโทรศัพท์ที่ถืออยู่มาไว้ตรงหน้า 

 

 

“แต่ก็ออกมาสวยดีเนอะ” 

 

 

ที่หน้าจอมีภาพด้านหลังของฉันที่ยืนพิงระเบียงแล้วจ้องมองทะเลในยามค่ำคืน พร้อมกับดวงจันทร์เต็มดวงที่ลอยสูงเด่นอยู่บนท้องฟ้า เป็นการจัดองค์ประกอบที่ค่อนข้างดูดีทีเดียวเลยล่ะ ขณะที่ฉันกำลังจ้องมองภาพนั้นอยู่ รุ่นพี่ก็จัดระเบียบทรงผมของฉันที่ยุ่งเหยิงเพราะลมพัด 

 

 

“อีกสักพักพวกเราไปเดินเล่นกันไหม” 

 

 

“เดินเล่นเหรอคะ” 

 

 

“เดินเล่นริมทะเลตอนกลางคืน ไปเดตกันหน่อยไหม” 

 

 

รุ่นพี่จับเส้นผมของฉันไปทัดหูอย่างเบามือ ก่อนจะโค้งตัวต่ำลงมาอยู่ในระดับความสูงเท่ากับฉัน แล้วยิ้มอ่อนๆ  

 

 

แต่ทันทีที่มือของรุ่นพี่ผละออกจากฉัน ฉันก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสของโลหะเย็นๆ ที่ใบหู เอ๋ พอจับที่หัวของตัวเองซึ่งถูกมือของรุ่นพี่แตะมาตั้งแต่เมื่อกี้ ฉันก็จับถูกอะไรบางอย่างแข็งๆ เย็นๆ 

 

 

“ของขวัญน่ะ” 

 

 

รุ่นพี่มองมาที่ใบหน้าเอ๋อๆ ของฉัน พร้อมกับพูดในโทนเสียงต่ำ สิ่งที่ปลายนิ้วของฉันสัมผัส มันคือกิ๊บติดผมที่มีเครื่องประดับกลมๆ เล็กๆ ติดอยู่ 

 

 

“…นี่รุ่นพี่ไปเรียนมายากลมาเหรอคะเนี่ย” 

 

 

รุ่นพี่ในวันนี้ เอาแต่เสกอะไรบางอย่างออกมาราวกับใช้เวทมนตร์ ไม่สิ ไม่ใช่แค่วันนี้เท่านั้นนี่นา ความแนบเนียนที่ฉันไม่ทันสังเกตเห็นเช่นนี้ ยังคงทิ้งร่องรอยอยู่ภายในความทรงจำของฉัน 

 

 

คำพูดที่ฉันเผลอพูดออกมาลอยๆ ทำให้รุ่นพี่ยิ้มอย่างร่าเริง พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส 

 

 

“เพราะว่าเธอมันหัวช้าต่างหากล่ะ” 

 

 

“…อย่างงั้นเหรอคะ” 

 

 

“ปกติเธอทำหน้าตาน่ารักแบบนั้นเสมอเลยเหรอ” 

 

 

ขณะที่ฉันกำลังคิดทบทวนถึงความหัวช้าอย่างรุนแรงของตัวเองอยู่ รุ่นพี่ก็หยิกแก้มฉันเล่น พลางยิ้มหวาน ฉันเลยจำเป็นต้องหลบสายตาเพราะไม่รู้จะรับมืออย่างไรดีกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่รุ่นพี่กลับเข้ามากอดฉันไว้ แล้วกระซิบลงตรงข้างหู 

 

 

“น่ารักจนอยากจุ๊บเลยล่ะ พี่รอจนถึงตอนไปเดินเล่นด้วยกันไม่ไหวแล้วสิ” 

 

 

“…แต่ช่วยทนไว้หน่อยก็ดีนะคะ” 

 

 

ฉันพูดลอยๆ ขึ้นมาเบาๆ แต่ดูท่ารุ่นพี่จะได้ยิน เขาจึงหัวเราะเสียงดังออกมา เหมือนกับว่ากลั้นขำเอาไว้ไม่ไหวแล้ว จากนั้นเขาจึงปล่อยฉันออกจากอ้อมกอดในทันที ถึงจะแค่สัมผัสกันเพียงแป๊บเดียว แต่จริงๆ แล้วฉันก็ยังรู้สึกเสียดายที่ร่างกายของรุ่นพี่ต้องแยกห่างจากฉันไป 

 

 

“ดวงจันทร์สว่างจัง” 

 

 

ใบหน้าด้านข้างของรุ่นพี่ที่เงยหน้ามองท้องฟ้าขณะกำลังยืนพิงระเบียงนั้น ทั้งขาวและงดงามราวกับดวงจันทร์ กิ๊บติดผมที่ติดอยู่ด้านข้างมีน้ำหนักประมาณหนึ่งจนพอรู้สึกได้ ฉันยืนอยู่เคียงข้างรุ่นพี่พลางเบนสายตาขึ้นมองท้องฟ้าตามรุ่นพี่ 

 

 

ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ใต้ท้องฟ้าที่ไม่ชินตา พวกเรากำลังมองดูอะไรบางอยู่ที่ไม่คุ้นชินไปด้วยกัน ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันมีความสุข และหัวใจเต้นรัวจนตัวสั่น การทำอะไร ‘ครั้งแรก’ ด้วยกัน และการได้เปิดเผยความรู้สึกนั้นออกมา มันเป็นเรื่องที่เท่จนน่าประทับใจจริงๆ 

 

 

ฉันได้ยินเสียงของคลื่นทะเลที่เหมือนเสียงดนตรี ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกของพวกรุ่นพี่ อากาศที่ห้อมล้อมฉันและลมที่พัดไหวเต็มไปด้วยกลิ่นเค็มเล็กน้อยของทะเล ทะเลกลางคืนที่เป็นประกายเพราะแสงจันทร์ เสียงคลื่นที่ราวกับเสียงดนตรี และบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเค็ม พวกเรากำลังดื่มด่ำกับสิ่งเหล่านั้นไปด้วยกัน 

 

 

ค่ำคืนนี้ช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติจริงๆ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

เข็มของนาฬิกาข้อมือเดินผ่านเวลาเที่ยงคืนไปโดยไม่รู้ตัว และกำลังชี้บอกเวลาเช้ามืด พวกรุ่นพี่ที่เอาผ้าห่มมาคลุมร่างกายกันอย่างมิดชิดที่ห้องนั่งเล่นเริ่มจะสัปหงกกันแล้ว ฉันจึงค่อยๆ แอบย่องออกไปข้างนอกโดยไม่มีเสียง นอกจากเสียงคลื่นกระเซ็นแล้ว รอบข้างก็เงียบสงบไปหมด 

 

 

พอหันหน้าไปมอง ฉันก็มองเห็นภาพของตัวเองสะท้อนอยู่บนประตูกระจก ตรงผมด้านข้างมีกิ๊บติดผมที่เป็นรูปดาวซึ่งรุ่นพี่ติดให้กำลังส่องแสงระยิบระยับอยู่ 

 

 

“ฮวีกยอม ทางนี้” 

 

 

ในตอนนั้นฉันได้ยินเสียงของรุ่นพี่กระซิบเบาๆ มาจากทางบันไดฝั่งที่หันหน้าไปทางชายหาด ฉันจึงรีบวิ่งไปยังที่ที่เสียงนั้นดังออกมา 

 

 

“หนาวเนอะ” 

 

 

รุ่นพี่พันผ้าพันคอที่ถืออยู่ไว้รอบคอของฉันแน่น อุณหภูมิที่เย็นลงภายในเวลาเพียงชั่วครู่ทำให้ร่างกายรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาเบาๆ ฉันกลัดกระดุมเสื้อคาร์ดิแกนที่ใส่อยู่ให้เรียบร้อยพลางเดินมายืนข้างรุ่นพี่ 

 

 

“มือ” 

 

 

มืออันแข็งแรงของรุ่นพี่แบอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันจึงเอื้อมไปจับมือนั้นอย่างระวัง หลังจากที่นิ้วมือของพวกเราประสานกันไว้ รุ่นพี่ก็ดึงมือฉันมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อนอก อุณหภูมิอุ่นๆ จากตัวของรุ่นพี่ส่งผ่านมาถึงฉัน 

 

 

“พอไม่มีใครอยู่ ก็เหมือนพวกเราเหมาที่นี่ไว้หมดเลยนะคะ” 

 

 

ชายหาดเงียบสงบจนแทบจะไม่รู้สึกถึงผู้คน ทรายบนชายหาดที่กระทบกับแสงจันทร์กำลังส่องแสงสีขาวระยิบระยับ สายน้ำสีขาวของคลื่นทะเลที่ซัดมาเบาๆ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้ในความมืด นั่นเลยทำให้ฉันรู้สึกอารมณ์ดีจนคิดอยากจะฮัมเพลงออกมาซะเดี๋ยวนั้น 

 

 

“ยังมีพี่อยู่นี่ไงล่ะ” 

 

 

รุ่นพี่ที่เอาแต่เดินเงียบอยู่พักใหญ่ๆ เปิดปากพูดขึ้นมาเสียงเบา น้ำเสียงอ่อนแรงที่ดูแหบหน่อยๆ ทำให้ฉันได้แต่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร พร้อมกับรอฟังคำถัดไปจากรุ่นพี่ 

 

 

“พี่จะลงแข่งการแข่งขันในเดือนหน้า ในสาขาโมเดิร์นล่ะ” 

 

 

คำพูดที่รุ่นพี่พูดออกมาอย่างกะทันหันทำให้ฉันตกใจ มันเป็นเรื่องที่จนถึงตอนนี้ รุ่นพี่ไม่เคยมีท่าทีแบบนั้นมาก่อน ฉันเลยไม่อาจคาดเดาได้ถูก 

 

 

รุ่นพี่ยิ้มเขินๆ พร้อมกับเกาแก้มแกรกๆ เขาเอาแต่จ้องฉันที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ก่อนจะพูดต่อ 

 

 

“ถ้าผลออกมาดี ช่วยฟังคำขอของพี่สักอย่างหนึ่งได้ไหม” 

 

 

“…คำขอเหรอคะ” 

 

 

“อือ” 

 

 

รอยยิ้มของรุ่นพี่ทำให้ฉันลังเลสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับ จากนั้นรุ่นพี่ก็หยุดเดินแล้วหันมายืนอยู่ข้างหน้าฉัน ก่อนจะยื่นนิ้วก้อยมา พอฉันเผลอเกี่ยวก้อยตาม รุ่นพี่ทำท่าเหมือนจะขอตราประทับและขอลายเซ็น ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยคำว่า ห้ามคืนคำนะ  

 

 

“…โมเดิร์น สนุกไหมคะ” 

 

 

คำถามที่หลุดออกมาจากปากของฉันในครั้งนี้ทำให้รุ่นพี่จ้องหน้าฉันด้วยสีหน้าตกใจแทน ฉันลังเลใจและไม่กล้ามองหน้ารุ่นพี่ตรงๆ จึงเลือกที่จะก้มหน้าลงไปมองปลายรองเท้ากีฬาที่อยู่บนพื้นทรายแทน 

 

 

จู่ๆ ฉันก็นึกถึงวันหนึ่งในฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าว วันที่รุ่นพี่บอกเป็นครั้งแรกว่าจะเต้นโมเดิร์น ฉันในตอนนั้นรู้สึกเศร้าและเจ็บปวดหัวใจเป็นอย่างมากเพราะคิดว่ารุ่นพี่อีกง บุคคลที่เป็นตัวแทนบัลเลต์สำหรับฉัน กำลังจะโบยบินไปยังที่ที่ฉันไม่สามารถมองเห็น ทั้งที่ฉันยังไม่ทันจะเอื้อมไปถึงตัวเขาเสียด้วยซ้ำ 

 

 

เพราะแบบนั้นหรือเปล่านะ คำนั้นที่ติดอยู่ในใจของฉันซึ่งฉันอยากถามมาโดยตลอดมันถึงไม่สามารถหลุดออกมาได้ง่ายๆ ฉันเองก็คงอยากจะถามรุ่นพี่เหมือนกัน ว่าโมเดิร์นสนุกไหม ชอบหรือเปล่า เหมือนกับในตอนนั้นที่รุ่นพี่เคยถามฉันที่สวนสาธารณะ เหมือนกับคำถามที่ว่าบัลเลต์สนุกไหม 

 

 

คำถามนั้นที่วนเวียนอยู่ที่ปากมานานแสนนาน พอได้พ่นมันออกมาแล้ว มุมหนึ่งของหัวใจก็รู้สึกแสบร้อนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

“…อือ สนุกดี” 

 

 

เสียงของรุ่นพี่ที่ได้ยินหลังจากนิ่งเงียบไปนาน มันฟังดูทั้งตื่นเต้น แต่ก็ดูเยือกเย็นแปลกๆ ฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แล้วมองตรงไปยังรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของรุ่นพี่ที่ส่งยิ้มมาให้ปรากฎเห็นเด่นชัดอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ขณะที่เขากำลังทอดสายตามองมายังฉัน พร้อมกับมือที่ยังคงล้วงอยู่ในกระเป๋า 

 

 

“ถึงจะดูเหมือนใกล้เคียงกับคลาสสิก แต่ก็มีอะไรหลายอย่างที่แตกต่าง มันก็เลยสนุกน่ะ อย่างการหายใจก็ต่างนะ ในคลาสสิก การหายใจจะต้องห้ามขาดตอน แต่โมเดิร์นจะต้องลงน้ำหนักเป็นระยะ เลยต้องควบคุมความหนักเบาของลมหายใจ” 

 

 

เสียงของรุ่นพี่เวลาอธิบายเกี่ยวกับโมเดิร์นด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วช่างฟังดูระรื่นหูเหลือเกิน ถึงจะฟังแล้วรู้สึกหนักแน่น แต่ก็ยังทำให้รู้สึกเยือกเย็น และเป็นเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ฉันยิ้มเงียบๆ ขณะที่มองนิ่งไปที่ใบหน้าด้านข้างของรุ่นพี่ที่กำลังขยับปากขึ้นลง 

 

 

“แล้วก็คลาสสิกน่ะ ไม่ว่าจะอยู่ในท่าไหนก็จะต้องรักษาสมดุลเป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่โมเดิร์นไม่ใช่อย่างนั้น มันก็เลยยากพอสมควรเลยน่ะสิ จะเรียกว่าทั้งหลากหลาย แล้วก็ดูมีพลังก็ได้มั้ง” 

 

 

“ถ้างั้น รุ่นพี่ชอบเวลาไหนมากที่สุดตอนที่เต้นโมเดิร์นคะ” 

 

 

“อืม นั่นสินะ” 

 

 

รุ่นพี่กลอกตาไปมาเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนที่จะหันกลับมามองฉัน แล้วยิ้มมุมปาก 

 

 

“คงจะเป็นตอนที่กระโดดล่ะมั้ง” 

 

 

“กระโดดงั้นเหรอคะ” 

 

 

“อือ” 

 

 

ภาพการกระโดดของรุ่นพี่ที่ยังหลงเหลืออยู่ในความทรงจำผุดขึ้นมาราวกับเป็นภาพยนตร์ ถึงจะลอยปลิวขึ้นไปเบาๆ เหมือนขนนก แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลัง การกระโดดอันยืดหยุ่นของรุ่นพี่ อีกทั้งไลน์ที่สง่างาม ตั้งตรงโดยไม่เอนเอียงเลยสักนิด ความรู้สึกพิเศษที่มีเพียงแค่รุ่นพี่เท่านั้นที่มี 

 

 

“รู้สึกดีมากเลยล่ะ ก็ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ลอยตัวอยู่บนอากาศน่ะ มันรู้สึกเสียวสุดๆ เลยน่ะสิ” 

 

 

ใบหน้าของรุ่นพี่ที่อมยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนจะแดงขึ้นมานิดๆ ฉันจึงจ้องไปที่ใบหน้าแดงระเรื่อนั่นของรุ่นพี่ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเรื่องแบบนี้จากรุ่นพี่ 

 

 

แม้จะไม่ชิน แต่หัวใจก็เต้นโครมครามไม่หยุด เสียงของความรู้สึกที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนจนถึงตอนนี้ มันทำให้คำพูดต่างๆ ที่ไม่ชินหูแทรกซึมเข้ามาในหัวใจจนรู้สึกจั๊กจี้ 

 

 

“สุดยอดไปเลยนะคะ” 

 

 

“…หือ” 

 

 

“มันเป็นครั้งแรกน่ะค่ะ ที่ฉันได้เห็นสีหน้าแบบนั้นของรุ่นพี่” 

 

 

รุ่นพี่มองหน้าฉันแบบงงๆ ก่อนจะถามว่า ทำไม แปลกเหรอ ดูน่ารักพิลึก ฉันจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา 

 

 

“เปล่าค่ะ” 

 

 

“…” 

 

 

“เท่มากเลยล่ะค่ะ” 

จังหวะรัก นักบัลเลต์

จังหวะรัก นักบัลเลต์

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 30-2 (ตอนพิเศษ) อ่านนิยาย

(จบ)


สำหรับ ฮวีกยอม ฤดูร้อนคือฤดูกาลที่เธอมักจะสูญเสียอะไรบางอย่างไป

แต่ฤดูร้อนปีหนึ่งในวัยเด็ก เธอได้พบเด็กหนุ่มคนหนึ่งเต้นรำอยู่ในสวนสาธารณะ

"ชอบบัลเลต์งั้นเหรอ"

นั่นคือการพบกันครั้งแรกของเธอกับ รุ่นพี่อีกง

และฤดูร้อนปีนั้นก็เปลี่ยนชีวิตของเธอให้ผกผันเข้าสู่วงการบัลเลต์

Options

not work with dark mode
Reset