ภายในบ้านเลขที่-1 ของหมู่บ้านในทะเลสาบจิงฉู
ทันทีที่หลิงหยุนขั้นไปบนรถ และแล่นออกไปจากคลินิกนั้น เขาก็ได้บอกความจริงกับเหล่ากุ่ยและตี้เสี่ยวอู๋
ส่วนถังเมิ่งนั้นก็ได้เดาใจหลิงหยุนได้อย่างถูกต้องว่า หลังจากที่ผู้คนได้เห็นการรักษาที่น่าอัศจรรย์ของหลิงหยุนแล้วนั้น หลังจบงาน หลิงหยุนก็คงต้องตอบคำถามมากมายไม่จบไม่สิ้น เขาจึงต้องหาวิธีหนีเอาตัวรอดออกมาจากที่นั่นก่อน
ในเวลาเดียวกันนั้น หลิงหยุนก็ได้ส่งกระแสจิตบอกไป๋เซียนเอ๋อที่วิ่งตามรถมา เพราะรู้ดีว่าหากไป๋เซียนเอ๋อคิดว่าเขาร่างกายเหนื่อยล้าจริงๆ นางคงต้องเป็นกังวลอย่างมากเลยทีเดียว
และในตอนนี้.. สาวงามทั้งหกรวมทั้งฉินตงเฉี่วย ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่บ้านของหลิงหยุน
ความจริงแล้ว ที่หลิงหยุนต้องแกล้งป่วยนั้น ก็เพราะรู้ดีว่าตนเองจะต้องถูกพาตัวกลับไปที่บ้านในอ่าวจิงฉีอย่างแน่นอน และฉินตงเฉี่วยคงจะต้องเค้นถามเขาเรื่องสาวงามที่มาร่วมงานมากมายในวันนี้
หลิงหยุนเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายอย่างไร? ในเมื่อไม่สามารถอธิบายได้ หลิงหยุนจึงไม่ต้องการอธิบายอะไร และรอให้วันเวลาผ่านไปจนนางสามารถทำความเข้าใจไปได้เอง
หลิงหยุนมองสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของสาวงามทั้งห้าคนของเขา แต่ก็ไม่สามารถบอกความจริงกับพวกเธอได้ว่าเขาแกล้งป่วย เพราะหากทุกคนรู้ความจริง และไม่มีท่าทางตื่นตระหนกตกใจ ฉินตงเฉี่วยซึ่งเป็นคนเฉลียวฉลาด ก็คงต้องจับได้ และรู้ความจริงในทันที
ดังนั้น.. ทันทีที่กลับไปถึงบ้าน หลิงหยุนจึงรีบเข้าไปในห้องนอนของตนเอง และจัดการปิดประสาทการรับรู้ทั้งห้า ทำสมาธิ และเริ่มดูดซับพลังชีวิตเข้าไปในร่างกาย เพื่อทดแทนส่วนที่สูญเสียไปกับการใช้ในการรักษาผู้ป่วย
ทางด้านตี้เสี่ยวอู๋นั้น หลิงหยุนได้สั่งให้เขากลับไปที่โรงแรมแชงกรีล่า ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพต้อนรับแขกเหรื่อแทนเขา ส่วนเหล่ากุ่ยนั้นก็ออกไปทำธุระบางอย่าง
แม้ว่าภายในร่างกายของหลิงหยุนนั้นจะมีพลังชีวิตอยู่ไม่น้อย แต่การต้องรักษาผู้ป่วยอาการสาหัสถึงยี่สิบสองคนในคราวเดียวนั้น ก็ทำให้พลังชีวิตในร่างกายของเขาร่อยหรอลงไปกว่าสามสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่มีอาการบาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด
อีกทั้งคืนนี้หลิงหยุนเองก็วางแผนที่จะเข้าหอกับเหยาลู่ในคืนนี้ เขาจึงต้องฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาสู่ระดับสูงสุดก่อนที่จะถึงตอนเย็น เพราะเมื่อเขาได้เข้าหอกับเหยาลู่ เขาก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-8 ได้อย่างง่ายดาย
ขั้นปรับร่างกาย-8 และขั้นปรับร่างกาย-9 นั้น ล้วนอยู่ในด่านสุดท้ายของขั้นปรับร่างกายทั้งสิ้น ความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากที่หลิงหยุนจะผ่านไปถึงไปได้ แต่หลิงหยุนต้องการก้าวเข้าสู่แต่ละขั้นอย่างมั่นคง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมานึกเสียใจในภายหลัง
ดังนั้นหลิงหยุนจึงให้ความสำคัญ และระมัดระวังอย่างมากไม่ว่าจะเป็นระดับย่อย หรือว่าขั้นใหญ่ เพราะเขาเกรงว่าหากรีบร้อนฝึกฝน อาจจะนำมาซึ่งปัญหาไม่รู้จบในวันข้างหน้า
หากการได้กลับมาเกิดใหม่ในครั้งนี้ แต่หลิงหยุนกลับไม่สามารถทำได้ดี เขาก็คงต้องรู้สึกผิดหวังอย่างมากเลยทีเดียว
ดังนั้นทุกย่างก้าวในการฝึกของหลิงหยุนนั้นจะต้องมั่นคง และต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดช่องโหว่ใดๆกับสภาวะจิตใจของตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองต้องโชคร้ายกลับกลายเป็นมารได้
ระหว่างที่หลิงหยุนฝึกประสาททั้งห้าของตนอยู่นั้น สาวงามทั้งเจ็ดคนที่อยู่ในบ้าน ต่างก็เริ่มแย่งห้องนอนกัน..
ภายในบ้านเลขที่-1 ของหลิงหยุนนั้นใหญ่โตมาก และมีเนื้อที่ใช้สอยภายในบ้านถึง 1300 ตารางเมตร และมีห้องนอนเฉพาะด้านบนอยู่ถึงแปดห้องด้วยกัน
เสี่ยวเม่ยหนิงและเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้น ต่างก็ไม่แก่งแย่งวุ่นวายกับใคร เมื่อกลับมาถึงบ้าน และพบว่าหลิงหยุนกำลังพักฟื้นอยู่ในห้องนอน พวกเธอทั้งคู่ต่างก็แยกย้ายกันกลับเข้าไปในห้องนอนของตนเอง
สำหรับไป๋เซียนเอ๋อนั้น นางพักอยู่ในห้องซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของห้องหลิงหยุน และทุกคนต่างก็รู้ว่านางเป็นสุนัขจิ้งจอกเก้าหาง จึงไม่มีใครต้องการทะเลาะแก่งแย่งกับนาง
ระหว่างที่หลิงหยุนออกเดินทางไปที่เกาะเตียวหยูนั้น ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ก็เคยมาที่บ้านเลขที่-1 แห่งนี้ และทั้งคู่ก็เป็นเครือญาติของหลิงหยุน จึงนับได้ว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้อยู่ครึ่งหนึ่ง จึงไม่มีใครต้องการทะเลาะกับทั้งคู่เช่นกัน
มีเพียงหลินเมิ่งหานและหลงหวู่ที่ต่างก็กำลังเปิดศึกแย่งชิงห้องนอนที่อยู่ตรงข้ามห้องของหลิงหยุน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมใคร และตอนนี้ทั้งคู่ก็กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ความจริงแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่ทั้งสองสาวจะต้องมาทะเลาะเบาะแว้งแย่งห้องนอนกันเช่นนี้ เพราะทั้งคู่ต่างคนต่างก็มีบ้านของตนเองอยู่แล้ว แต่ที่ต้องเอาชนะคะคานกันอยู่นี้ ก็เพราะต่างคนต่างก็รู้สถานะของอีกฝ่ายที่มีต่อหลิงหยุนดี – คนหนึ่งคือภรรยา ส่วนอีกคนก็คือคู่หมั้น
หลินเมิ่งหานนับว่าเป็นภรรยาคนแรกของหลิงหยุน ส่วนหลงหวู่ก็เป็นคู่หมั้นที่พ่อแม่หมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่เด็ก ต่างคนต่างก็หน้ามืด และไม่มีใครยอมลงให้ใคร..
แต่ฉินตงเฉี่วยเองก็ไม่ต่างจากหญิงสาวคนอื่น เมื่อพบว่าภายในใจของตนเองนั้นร้อนรนราวกับถูกไฟเผา จึงได้พาหนิงหลิงยู่ไปที่ห้องฟิตเนสชั้นล่าง และฝึกการเคลื่อนไหวร่างกายให้กับเธอแทน
เมื่อถึงเวลาหกโมงเย็นที่พระอาทิตย์เริ่มตกดิน หลิงหยุนก็หยุดฝึก และได้ใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูเหตุการณ์ภายในบ้าน เขาถึงกับนึกขันเมื่อได้รับรู้เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น
หลิงหยุนค่อยๆเดินลมปราณไปทั่วร่างกาย และทำให้ใบหน้าของตนเองซีดเซียว แล้วจึงเปิดประตูเดินออกไปนอกห้อง
“มีใครทำอาหารบ้างหรือยัง? ผมหิวแล้ว!” หลิงหยุนร้องถามระหว่างที่เดินออกมาจากห้อง
ทันทีที่หลิงหยุนโยนหินถามทาง สาวงามภายในบ้านต่างก็พากันวิ่งกรูออกมาทันที
ฉินตงเฉี่วยหยุดฝึก และพุ่งออกมาประคองร่างของหลิงหยุนไว้พร้อมกับถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
“เจ้าเด็กดื้อ.. เจ้าเป็นยังไงบ้าง? เหตุใดหน้าของเจ้าถึงได้ซีดเซียวเช่นนี้?”
เสี่ยวเม่ยหนิง และไป๋เซียนเอ๋อ ต่างก็วิ่งกรูออกมาจากห้องนอนเช่นกัน ส่วนหลินเมิ่งหานกับหลงหวู่นั้นวิ่งออกมาจากห้องเดียวกัน แต่หมี่ยวเสี่ยวเหมายังคงนิ่งเงียบอยู่ในห้องนอนของตนเอง ไม่วิ่งออกมาเหมือนเช่นหญิงสาวคนอื่น
หลิงหยุนแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “ข้าหมดเรี่ยวหมดแรง และมีพละกำลังเหลือไม่ถึงยี่สิบส่วน แต่ก็ยังพอมีแรงที่จะเดินไหว..”
ฉินตงเฉี่ยที่เป็นห่วงเป็นใยอย่างมากนั้น ได้แต่ตำหนิงหลิงหยุนว่า “คราวหน้าคราวหลังเจ้าก็ไม่ควรเช่นนั้นอีก ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจต้องได้รับอันตรายอย่างมาก!”
“น้าหญิง.. ที่นั่นเป็นคลินิกของข้า หากท่านเป็นข้า ท่านก็ต้องทำเช่นเดียวกับที่ข้าทำ!”
ฉินตงเฉี่วยเห็นสภาพที่น่าสังเวชของหลิงหยุน ก็ได้แต่นึกเสียใจ และเป็นห่วงเป็นใยเขาอย่างมาก จากนั้นจึงเหลือบมองหลินเมิ่งหานและหลงหวู่พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“พวกเจ้าสองคนเอาแต่ทะเลาะกัน ส่งเสียงรบกวนหลิงหยุน! หากพวกเจ้ายังทะเลาะกันอีก ข้าจะให้หลิงหยุนไล่พวกเจ้าออกไปจากบ้าน”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหยุนค้นพบว่าการมีบ้านหลังใหญ่เป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก เพราะเมื่อมีผู้คนมาอยู่รวมกันมากๆ ก็มักมีแต่ปัญหา
หลินเมิ่งหานและหลงหวู่ ทะเลาะกันตลอดทั้งบ่าย ทั้งคู่มองหน้ากัน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร..
หลิงหยุนได้แต่ทำเสียงหยอกเย้า “อะไรกัน.. พวกคุณนี่นะทะเลาะกัน? จริงเหรอ?”
ฉินตงเฉี่วยถึงกับหน้าซีดพร้อมกับบบส่งกระแสจิตบอกหลิงหยุนว่า
-ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเจ้าคนเดียว! พวกนางสองคนทะเลาะกันเพราะแย่งห้องนอนที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของเจ้า เจ้าก็จัดการแก้ปัญหาเองก็แล้วกัน ข้าเวียนหัว!-
หลิงหยุนไม่ตอบ และไม่องหลินเมิ่งหานกับหลงหวู่ แต่กลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสาร
“ผมหิวข้าวแล้ว..”
หลิงหยุนยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงด้วยซ้ำไป เขาจึงรู้สึกหิวมาก..
ฉินตงเฉี่วยได้ฟังก็รีบตอบกลับไปว่า “ข้าให้หลิงยู่ไปเตรียมอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว ข้าจะพยุงเจ้าไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อเดินลงบันไดไป หลิงหยุนก็พบว่าหลิงยู่ได้นำอาหารขึ้นมาวางรอไว้ที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว และกำลังรอให้เขาลงมา
“พี่ใหญ่.. ดีขึ้นแล้วเหรอคะ?”
“หลิงยู่.. ไม่ต้องกังวลใจไป! พี่แค่รู้สึกอ่อนเพลียเท่านั้น คืนนี้พี่คงต้องหาสถานที่เงียบๆสำหรับฝึก เดี๋ยวก็ฟื้นคืนสู่สภาพเดิมเองล่ะ..”
“แต่ตอนนี้ขอพี่กินข้าวก่อน พี่หิวจะตายอยู่แล้ว!”
ความจริงแล้วหลิงหยุนแทบไม่ต้องร้องขออะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้สาวงามทั้งหลายต่างก็พากันทำหน้าที่ของตนเอง บางคนช่วยตักข้าว บางคนช่วยหยิบตะเกียบ และบางคนก็ช่วยตักซุป..
‘ชีวิตแบบนี้ก็ไม่ดีเหมือนกัน..’
หลิงหยุนมองภาพที่อยู่ตรงนั้นพร้อมกับเริ่มเห็นประโยชน์ของการอยู่ร่วมกันหลายๆคน
‘มีสาวสวยมากมายมาคอยดูแลเอาใจใส่แบบนี้ ก็ดีไม่น้อยเลย!’
ภายใต้การดูแลอย่างดีของสาวงาม หลิงหยุนก็สวาปามอาหารเข้าไปจนอิ่มแป้ล จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น และเริ่มจัดการปัญหาความขัดแย้งระหว่างหลงหวู่กับหลินเมิ่งหาน
หลิงหยุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด!
“คุณสองคนอยู่ที่นี่ไม่ได้!”
“ทำไมล่ะ?!” หลินเมิ่งหาน และหลงหวู่ต่างก็ร้องออกมาพร้อมกันอย่างตกใจ
หลิงหยุนจ้องหน้าหลินเมิ่งหานและพูดออกไปตรงๆว่า “คุณฝึกวิชาพลังเย็น ระหว่างที่ฝึกบ้านอุณหภูมิภายในบ้านก็จะลดลงเหลือศูนย์ทันที และนี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น แล้วคนอื่นๆที่อยู่ในบ้านจะอยู่ยังไง?”
แต่แล้วก็แอบใช้กระแสจิตบอกกับหลินเมิ่งหานอย่างอ่อนโยนว่า
-ที่รัก.. นั่นเป็นแค่ข้ออ้างของผม จำไม่ได้เหรอทุกครั้งที่เราสองคนมีอะไรกัน เสียงของคุณดังมากแค่ใหน? คุณยังอยากอยู่ที่นี่จริงๆน่ะเหรอ?-
หลินเมิ่งหานหายโกรธทันที แต่กลับยิ้มออกมาแทน..
“แล้วฉันล่ะ.. ทำไมถึงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้?” หลงหวู่ร้องถามออกมาอย่างไม่พอใจ