คนไข้ที่มีบาดแผลสาหัสจากการถูกมีดแทงสิบสองแผล..
และยังมีผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บภายนอกที่มีบาดแผลสาหัสในลักษณะต่างๆกันอยู่อีกราวหกหรือเจ็ดคน และด้วยสภาพที่สาหัสสากรรจ์ ทำให้คนไข้ต่างก็แน่นิ่งไปอย่างหมดสภาพ
แม้ว่าผู้ป่วยจะได้รับบาดเจ็บมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่สภาพของแต่ละคนก็ล้วนเหมือนกันคืออยู่ในสภาพใกล้ตายแทบทั้งสิ้น หากพวกเขาเข้ารักษาตามโรงพยาบาลทั่วไป ต่อให้แพทย์สามารถช่วยชีวิตของพวกเขาไว้ได้ แต่ก็คงต้องกลายเป็นคนทุพลภาพพอยู่ดี หรือไม่ก็ต้องกลายเป็นผู้ป่วยที่มีปัญหาทางด้านจิตใจแทน
แต่หลิงหยุนเพียงแค่ใช้ยันต์บำบัดในมือค่อยๆทำการรักษาผู้ป่วยไปทีละคน หลังจากที่ใช้ยันต์บำบัดไปจำนวนหนึ่งแล้ว ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บภายนอกอย่างสาหัสมานั้นก็หายเป็นปกติทันที กล้ามเนื้อที่เสียหายไปก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ กระดูกที่หักก็ต่อติด ผิวหนังก็กลับมาสมานกัน และยังนุ่มนวลกว่าเดิมเสียอีก แม้แต่แผลเป็นก็ไม่เหลือร่องรอยให้ได้เห็น
ในจำนวนผู้ป่วยทั้งยี่สิบสองคนนั้น มีสิบสี่คนที่มีอาการสาหัสภายนอก ผู้ป่วยเหล่านี้จึงสามารถรักษาให้หายได้อย่างง่ายดายด้วยยันต์บำบัด และหลิงหยุนก็ใช้เวลาในการรักษาไปเพียงแค่สินาที นั่นหมายความว่าหลิงหยุนใช้เวลาในการรักษาผู้ป่วยแต่ละคนไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำไป
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ได้เห็นคนไข้ที่มีอาการบาดเจ็บสาหัสอย่างซี่โครงหักสิบกว่าซี่ ถูกแทงมาสิบกว่าแผล หรือแม้แต่ถูกรถชนอาการสาหัสมา สามารถลุกขึ้นยืนพูดจาได้เป็นปกติ และกำลังส่งเสียงร้องขอบคุณหลิงหยุนที่ได้ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ ต่างก็ได้แต่อึ้งไปจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
น้ำตาของผู้ที่ได้เห็นเหตุการณ์มากมายต่างก็ไหลอาบแก้ม แต่ละคนถึงกับหายใจติดขัด ใบหน้าแดงด้วยความตื่นเต้น และขนลุกไปทั่วทั้งร่างกาย!
นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตาย! หลิงหยุนไม่ได้ทำการรักษาโรค แต่น่าจะเรียกว่ากำลังให้ชีวิตใหม่เสียมากกว่า! เพราะแต่ละคนที่หายดีแล้ว กลับมีพลังและสดชื่นราวกับได้ชีวิตใหม่ ไม่เพียงพวกเขาไม่ต้องเจ็บปวดกับความเจ็บป่วยที่ได้รับ หรือบาดแผลใดๆอีก แต่พวกเขายังไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องผลข้างเคียงที่จะตามมาหลังการรักษาอีกด้วย!
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็คิดเหมือนๆกันว่า หากพวกเขาได้รับบาดเจ็บ หรือมีคนในครอบครัวเจ็บป่วย พวกเขาก็จะมาที่คลินิกสามัญชน และหากได้หลิงหยุนเป็นผู้รักษา พวกเขาคงจะโชคดีและมีความสุขอย่างมากเลยทีเดียว!
หลิงหยุนเก่งกาจถึงเพียงนี้ ยังจะมีโรคใหนที่เขาจะไม่สามารถรักษาได้อีกเล่า?!
ทุกคนต่างก็คิดเช่นเดียวกัน และรู้สึกว่าตนเองช่างโชคดีที่ได้มาเห็นเหตุการณ์ในวันนี้ พวกเขาต่างก็นึกภูมิใจแล้วก็พอใจอย่างมาก!
จู่ๆ หลายคนก็เริ่มรู้สึกว่าซองแดงที่พวกเขานำมามอบให้หลิงหยุนก่อนหน้านี้ ช่างเป็นจำนวนเงินที่เล็กน้อยเสียเหลือเกิน.. เล็กน้อยมากจริงๆ เพราะหากเทียบกับความสามารถของหลิงหยุนแล้ว มันน้อยนิดมากเกินกว่าผลประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับในวันข้างหน้า
หนิงหลิงยู่ถึงกับหลั่งน้ำตา เสี่ยวเม่ยหนิงเองก็เช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่หลินเมิ่งหาน หลงหวู่ เหลียงเฟิงอี้ กงเสี่ยวลู่ ฉางหลิง ซูปิงหยาน…
แม้แต่ซูหลิงเฟยที่วุ่นวายอยู่กับบการบันทึกภาพเพื่อใช้รายงานข่าวของเธอ ข่าวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาเป็นร้อยปี ก็ยังไม่สามารถอดกลั้นได้ และถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาเช่นกัน!
ซูหลิงเฟยได้เห็นความมหัศจรรย์ครั้งนี้ด้วยตาตัวเอง จู่ๆเธอก็รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ที่เธอเคยพบเห็นความรุนแรงของหลิงหยุน และเคยคิดว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มที่เกียจคร้าน หยาบคาย และน่ารำคาญนั้น เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของตนเอง
เพราะความแข็งแกร่งของหลิงหยุนนั้น ไม่เพียงใช้ฆ่าคนได้ แต่ยังสามารถใช้ช่วยชีวิตคนได้อีกด้วย!
‘หลิงหยุนเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก! มิน่าเฟิงเฟิงถึงได้..’
แต่จู่ๆ ซูหลิงเฟยก็รู้สึกราวกับถูกทุบหัวใจอย่างรุนแรง..
‘หรือว่าฉันเองก็..’ ซูหลิงเฟยไม่กล้าคิดต่อ..
เฉิงเทียน และครอบครัวต่างก็เพิ่งรู้วันนี้เช่นเดียวกันว่า นอกจากหลิงหยุนจะฆ่าคนได้แล้ว ยังสามารรักษาคนได้อีกด้วย!
นั่นทำให้เฉิงเทียนถึงกับอึ้งไป เขาเพิ่งจะเข้าใจวันนี้เองว่า เพราะเหตุใดลูกสาวของเขาถึงได้ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อวิ่งตามหลิงหยุนเช่นนี้!
พร้อมกันนั้น.. เฉิงเทียนก็เพิ่งจะเข้าใจเฉิงเม่ยเฟิงซึ่งเป็นลูกสาวคนโตเช่นกันว่า ที่เธอหลงรักหลิงหยุนก็เพราะว่าเธอได้พบเห็นศักยภาพที่น่าอัศจรรย์ของเด็กหนุ่มคนนี้นั่นเอง!
หนึ่งพันห้าร้อยล้าน?! น้อยเกินไป! เฉิงเทียนทั้งกระอักกระอ่วนและมีความสุขไปพร้อมๆกัน และมั่นใจว่าช่างโชคดีที่ตนเองเลือกเส้นทางที่ถูกต้องเช่นนี้!
หากทั่วโลกได้รู้ถึงศักยภาพ และความสามารถทางการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ของหลิงหยุน และรู้ว่าหลิงหยุนถือหุ้นของธุรกิจตระกูลเฉิงด้วยแล้ว หุ้นของบริษัทยาในกลุ่มของเฉิงฟาร์มาซูติคัลคงต้องขึ้นเอาๆอย่างแน่นอน!
เช่นนี้แล้ว.. ตระกูลซันจะยังสามารถกดดันตระกูลเฉิงได้อีกอย่างไรกัน?
เฉิงเทียนไม่กล้าคิดต่อ.. เขาตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่นไปหมด!
หลินเจิ้งกังเองก็เช่นกัน.. เขาเคยรู้สึกกังวลว่าการกระทำของหลิงหยุนจะสร้างความไม่พอใจให้กับผู้นำระดับสูง แต่ตอนนี้เขาถึงกับโยนความรู้สึกพวกนั้นทิ้งไป
เขาตัดสินใจในทันทีว่าอย่างไรก็คงต้องหาเหตุผลอยู่ที่เมืองจิงฉูต่ออีกสักสองสามวัน เพื่อหาเวลาพูดคุยกับหลิงหยุนตามลำพัง หลินเจิ้งกังจำเป็นต้องพูดคุยอะไรบางอย่างกับเขา
ลูกเขยแบบนี้จะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร? นับว่าลูกสาวของเขาเลือกได้ถูกคนจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเลี้ยงลูกสาวให้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลได้เช่นนี้
ครั้งนี้ตระกูลหลินคงจะถึงคราวรุ่งเรืองแล้ว! และนั่นคือสิ่งที่หลินเจิ้งกังคิดอยู่ในหัว
‘ดูท่าท่านคนแก่อย่างฉันคงต้องไปเรียนวิชาแพทย์ใหม่เสียแล้ว.. และคงต้องยอมตัวเป็นศิษย์ของหลานชายแล้วสิ!’
ท่านหมอเสี่ยวทั้งตื่นเต้นแล้วก็ตกใจ.. เขาได้แต่คิดว่าไม่เพียงหลานสาวของเขาที่ต้องเรียนวิชาแพทย์จากหลิงหยุน แม้แต่เขาเองก็คงต้องไปเริ่มเรียนจากหลิงหยุนเช่นกัน
แต่ดูเหมือนคนที่ตกใจ และตื่นเต้นที่สุดกลับเป็นฉินตงเฉี่วยกับเหล่ากุ่ย..
‘ตระกูลฉินคงปลอดภัยแล้ว พี่ใหญ่เองก็คงจะปลอดภัยด้วยเช่นกัน!’
‘ตระกูลหลิงรอดแล้ว! หลิงเสี่ยว และหลิงเย่วก็จะรอดด้วย!’
และนี่คือสิ่งที่ทั้งคู่ต่างก็คิดอยู่ในใจ
เหล่ากุ่ยนั้นถึงกับกล้าคิดว่า ‘ไม่แน่ว่าแม่ของหลิงหยุนซึ่งเป็นธิดาพรรคมารคนก่อน ก็อาจจะ..’
แต่ถึงกระนั้น.. เหล่ากุ่ยก็ไม่กล้าคิดอะไรมากไปกว่านั้น!
แต่หากเหล่ากุ่ยได้รู้ว่าเหตุการณ์โกลาหลวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นเพราะธิดาพรรคมารคนใหม่แล้วล่ะก็.. ไม่แน่ว่าเขาคงต้องกระอักเลือดอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่รู้ว่ากระอักเลือดเพราะขบขัน หรือว่าโกรธมากกันแน่?!
มาถึงเวลานี้.. ทุกคนต่างก็อยู่ในอาการตกใจ และครุ่นคิดกันไปต่างๆนานา แล้วความคิดของหลายๆคนที่มีต่อหลิงหยุนก็เปลี่ยนไปในทันที..
ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนแล้วแต่เกิดจากหน้าตาที่หล่อเหลา ท่าทางที่มั่นใจ และความสงบนิ่งในระหว่างที่ทำการรักษาผู้ป่วยของหลิงหยุนนั่นเอง!
ผู้คนต่างก็จ้องมองหลิงหยุนที่กำลังถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากทำการรักษาผู้ป่วยทั้งสิบสี่คนแล้ว ทุกคนจ้องมองหลิงหยุนราวกับเขาเป็นเทวดา..
ยังคงเหลือผู้ป่วยอีกแปดคน ซึ่งสี่คนอยู่ในอาการสาหัส และดูเหมือนว่าจะอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว แม้แต่ทางโรงพยาบาลก็ได้ระบุเป็นคนไข้โคม่าเรียบร้อยแล้ว
ยังมีผู้สูงวัยอีกสองคนที่ดูเหมือนจะหน้าแก่กว่าอายุ ผมบาง ฟันร่วง และผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูก ทั้งคู่ล้วนต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็ง และสามารถสิ้นลมได้ตลอดเวลา
ส่วนอีกหนึ่งคนนั้นเป็นคนไข้ที่นอนหมดสติมาด้วยอาการโคม่านานเท่าไหร่แล้วไม่มีใครรู้ และดูเหมือนว่าคงยากที่จะฟื้นมีสติขึ้นมาได้อีก
คนสุดท้ายเป็นคนเสียสติที่ถูกจับมัดไว้ ดูเหมือนจะเพิ่งอายุราวยี่สิบปี เขาจ้องมองหลิงหยุนที่กำลังจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน
“อะไร? นี่หลิงหยุนรักษาคนบ้าได้จริงๆน่ะเหรอ?”
“โรคจิตเวชเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง จะต้องได้รับการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า แล้วเขาจะรักษาได้ยังไงกัน?”
“ต้องได้สิ ขนาดคนใกล้ตายเขายังทำให้ฟื้นได้เลย อย่าว่าแต่คนบ้า.. เขาต้องรักษาได้อยู่แล้ว!”
และตอนนี้ผู้คนที่อยู่ทั้งภายในภายนอกนั้น มากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ได้กลายเป็นแฟนคลับของหลิงหยุนไปแล้ว พวกเขาต่างก็อยู่ข้างหลิงหยุน และเชื่อว่าไม่มีโรคภัยไข้เจ็บใดในโลกที่หลิงหยุนจะรักษาไม่ได้!
หลิงหยุนยังไม่เข้าสู่ขั้นพลังชี่ และจิตหยั่งรู้ของเขาก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะรักษาโรคทางสมองได้ แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่ใช้เก้าเข็มปลุกชีพรักษาเท่านั้น
แต่นับว่าเป็นโชคดีของหลิงหยุน ที่เวลานี้เขามีของวิเศษอยู่ในในตัวมากมาย อย่างเช่นศิลากลั่นวิญญาณ!
-เซียนเอ๋อ.. ข้าจำเป็นต้องเอาศิลากลั่นวิญญาณออกมาใช้ชั่วครู่ เจ้าอย่าลืมใช้วิชาลวงตาบดบังไม่ให้ผู้คนเห็นศิลาก้อนนี้เด็ดขาด-
หลิงหยุนส่งกระแสจิตบอกไป๋เซียนเอ๋อ พร้อมกับนึกขอบคุณหลินเจิ้งกัง และท่านปู่หลิน!
หลิงหยุนยังคงไม่แก้มัดผู้ป่วยที่มีอาการทางจิต เขายกมือขวาขึ้นกดศรีษะของผู้ป่วยลง และใช้จิตหยั่งรู้ขั้นสุดเข้าไปตรวจสอบ!
หลิงหยุนถ่ายเทพลังชีวิตจากร่างกายของเขาผ่านฝ่ามือข้างขวาลงไปที่ศรีษะของผู้ป่วยจิตเวช ในเวลาเดียวกันก็ใช้มังกรคำรามถามผู้ป่วยว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
“ฮ่า.. ฮ่า..”
“หิวมั๊ย? อยากกินอะไรมั๊ย?”’
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออก และขมวดคิ้วเข้าหากัน พร้อมกับคิดในใจว่า ‘ดูเหมือนอาการจะค่อนข้างหนัก’
เมื่อเห็นหลิงหยุนขมวดคิ้ว ท่านหมอเสี่ยว เหมี่ยวเสี่ยวเหมา ฉินตงเฉี่วย และหนิงหลิงยู่ต่างก็พูดอะไรไม่ออก และเริ่มเป็นกังวลังไปด้วย ท่านหมอเสี่ยวส่งกระแสจิตถามหลิงหยุน
-หลิงหยุน.. มีอะไร? เธอรักษาไม่ได้งั้นรึ?-
หลิงหยุนส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับตอบไปว่า -ท่านปู่ไม่ต้องกังวล.. ผมเพียงแค่ใช้พลังชี่ตรวจสอบความผิดปกติของระบบประสาทเท่านั้น-
ความจริงแล้วหลิงหยุนไม่ได้ใช้พลังชี่ แต่เขาใช้พลังชีวิตที่อยู่ในร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีจิตหยั่งรู้ที่ทรงอานุภาพอีก หลิงหยุนผสานพลังของจิตหยั่งรู้เข้ากับพลังชีวิตที่ถ่ายเทลงไป เพื่อตรวจสอบระบบประสาทของผู้ป่วยจิตเวชรายนี้!
หลายคนอาจไม่เข้าใจ.. สิ่งที่หลิงหยุนกำลังทำอยู่ในตอนนี้ ไม่ต่างจากการตรวจสอบคลื่นไฟฟ้าในสมองของมนุษย์ด้วยโพลีกราฟ (Polygraph) ในทางการแพทย์ปัจจุบันนั่นเอง
หลิงหยุนเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-7 แล้ว และจุดตันเถียนของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นมาก ตอนนี้จุดตันเถียนของเขามีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 20 เซนติเมตร ซึ่งมีขนาดเท่ากับลูกบาสเก็ตบอลเลยทีเดียว
บางคนอาจคิดว่าจุดตันเถียนขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ หากคนผู้นั้นมีเอวที่คอดเล็ก จุดตันเถียนคงจะไม่สามารถขยายใหญ่ได้ถึง 20 เซนติเมตรอย่างแน่นอน
แต่ความจริงคือ.. จุดตันเถียนไม่ได้อยู่ในร่างกาย และไม่ใช่สรีระส่วนหนึ่งของร่างกาย เรียกได้ว่าหากผ่าร่างกายออกมา ก็คงไม่พบจุดตันเถียนอย่างแน่นอน
และตอนนี้จุดตันเถียนขนาดใหญ่ของหลิงหยุน ก็กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าตกใจ!