พักที่น้ำพุอาบพิษ
ตอนนี้เมื่อเจอลำธารเข้าแล้ว โม่เทียนเกอจึงสามารถระบุตำแหน่งของนางบนแผนที่ได้ หลังจากนั้น นางร่างแผนการเดินทางอย่างรอบคอบ ซึ่งจะช่วยให้นางหลีกเลี่ยงจากการบังเอิญเจอคนอื่นๆ เข้า โชคดีที่แผนที่นี้ช่วยให้นางเข้าใจว่าสถานที่เหล่านั้นเป็นเช่นไร
แผนที่นี้คือคู่มือสำหรับลูกศิษย์ หากมองหาสถานที่ที่ทุกคนอาจไม่ชอบ นางก็จะสามารถเลี่ยงคนส่วนใหญ่ได้ หากว่ามีคนบางส่วนที่โชคไม่ดีและถูกส่งไปที่นั่น เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะออกจากตรงนั้นไปในที่สุด
สถานที่ที่นางกำลังมองหาคือที่ที่ดูน่าจะพออยู่อาศัยได้และดูอันตรายในสายตาคนทั่วไป มีหน้าผายื่น เหว รวมถึงบ่อน้ำพุอาบพิษที่ปล่อยหมอกพิษออกมาตลอดทั้งปี แผนที่เขียนไว้ชัดเจนว่าตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่ดี เป็นสถานที่อันตรายที่ควรไปและสัตว์ปีศาจที่นั่นก็ฆ่าตายไม่ได้โดยง่าย ในสถานที่นั้น ที่จริงแล้วมีฝูงลิงปีศาจที่อาจจะค่อนข้างเป็นปัญหามากทีเดียว
โม่เทียนเกอครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เนื่องจากมันเป็นสถานที่อันตราย นางก็แค่ต้องเข้าไปด้วยความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ นางก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ไม่น่าจะต้องเจออุบัติเหตุอะไรที่นั่น ส่วนฝูงลิงปีศาจเหล่านั้น พวกมันอยู่ถูกที่ถูกทางสำหรับนาง นางเชี่ยวชาญในด้านม่านพลังและในทางกลับกัน สัตว์ปีศาจระดับหนึ่งไม่สามารถรับรู้ถึงม่านพลังได้ ไม่ว่าลิงจะมีมากมายสักแค่ไหนนางก็ไม่กลัว นางแค่ต้องหาที่เหมาะๆ วางม่านพลังวงกต และล่อพวกลิงให้เข้าไปในม่านพลังนั้น
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว นางก็ไปต่ออย่างราบรื่นในเส้นทางที่เลือก วิชาซ่อนลมปราณของนางไม่ได้ดีสมบูรณ์แบบ แต่เพราะจิตสัมผัสของผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณไม่ได้แข็งแกร่งนัก จึงแทบจะสัมผัสถึงตัวตนของนางไม่ได้
นางใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบริเวณที่ระบุในแผนที่ หลังจากตรวจดูสภาพรอบตัวอย่างเร็ว นางก็ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว เหมือนกับที่ในแผนที่อธิบายไว้ ที่นี่ไม่น่ารื่นรมย์จริงเสียด้วย เมื่อนางเข้าไปใกล้ ก็เห็นหมอกพิษในบริเวณนั้นได้ทันที อาจจะเพราะน้ำพุอาบพิษนั้นก็เป็นได้ พุ่มไม้หนามากจนนางไม่สามารถมองเห็นทางเดิน ยิ่งไปกว่านั้น พุ่มไม้ส่วนใหญ่ยังมีพิษอีกด้วย
ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน แต่ทั่วทั้งสถานที่นี้ดูขมุกขมัวไปหมด นางไม่สามารถมองเห็นท้องฟ้าได้เลยจากตรงนี้
เมื่อไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ โม่เทียนเกอแข็งใจและก้าวต่อไปข้างหน้า หลังจากใช้จิตสัมผัสของนางเพื่อกวาดดูรอบบริเวณนี้ ไม่เพียงแต่นางจะเข้าใจคร่าวๆ ถึงภูมิประเทศตรงนี้ แต่นางยังพบตำแหน่งของฝูงลิงอีกด้วย
ตรงสุดขอบของน้ำพุอาบพิษ มีการกระเพื่อมของพลังวิญญาณบางๆ อยู่มาก จิตสัมผัสของผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณไม่แข็งแกร่งนัก เพราะฉะนั้น การกระเพื่อมของพลังวิญญาณจากสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งที่อยู่โดดเดี่ยวจึงยากที่จะรับรู้ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นฝูงสัตว์ปีศาจ การจะรับรู้ถึงพลังวิญญาณของพวกมันจะเป็นการง่ายมากๆ
นางกลืนยาฟื้นคืนสติเข้าไปอีกเม็ดเพื่อป้องกันหมอกพิษไม่ให้ส่งผลต่อร่างกาย จากนั้น ณ จุดหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากฝูงลิง นางวางม่านพลังหลงทิศและม่านดักวิญญาณ
เป็นดังชื่อของมัน การใช้งานหลักๆ ของม่านพลังหลงทิศก็เพื่อทำให้คนอื่นสับสนเพื่อที่พวกเขาจะได้หลงทาง เมื่อไหร่ที่เดินเข้าไปในม่านพลังนี้ พวกเขาจะเดินวนอยู่อย่างนั้นข้างในโดยที่ไม่สามารถออกไปได้ พวกมนุษย์อธิบายว่าเป็น “ผีผ่านกำแพง” [1]
ส่วนม่านดักวิญญาณ เป็นม่านพลังที่ใช้โดยเฉพาะในการรับมือทั้งกับมนุษย์และสัตว์ร้ายที่มีพลังวิญญาณอยู่ในร่างกาย หลังจากเข้าไปในม่านพลังนี้ ความเร็วในการโคจรพลังวิญญาณของพวกเขาจะช้าลงมาก โดยทั่วไป ม่านพลังนี้จะวางไว้ในถ้ำของผู้ฝึกตนเพื่อป้องกันคนอื่นๆ ฝ่าเข้ามา
เพียงแค่ม่านพลังสองอันนี้คงยังไม่พอ หลังจากใช้เวลาคิดสักพัก นางจึงวางม่านพลังอีกหนึ่งอัน นั่นคือม่านพลังชีวิตและความตายห้าธาตุ ม่านพลังนี้ค่อนข้างซับซ้อนกว่าอีกสองอันเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ตอนที่นางศึกษาคู่มือม่านพลังเมื่อนานมาแล้ว นางจึงดัดแปลงม่านพลังนี้เล็กน้อย ขณะนี้ทั้งพลังการป้องกันและพลังจู่โจมของมันเป็นที่น่าพอใจ ดังนั้นการใช้ม่านพลังนี้จึงมีความปลอดภัยมากขึ้น
หลังจากนางวางกับดักเสร็จสิ้น โม่เทียนเกอก็อยู่ในใจกลางของม่านพลังและปรับพลังวิญญาณของตัวเองให้อยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด จากนั้นจงใจปล่อยลมปราณของนางไปในทิศทางที่ฝูงลิงปีศาจอยู่
สัตว์ปีศาจระดับหนึ่งไม่ได้ฉลาดกว่าสัตว์ป่าทั่วไปมากนัก พวกมันไม่สามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ ได้และต้องอาศัยสัญชาตญาณของมันทั้งหมด ในไม่ช้า เงาตะคุ่มของพวกมันก็เริ่มจะออกมาจากน้ำพุอาบพิษ
พอได้ยินเสียงแหลมสูง โม่เทียนเกอก็มองเห็นสัตว์ปีศาจพวกนี้ให้ชัดๆ แน่นอนว่าพวกมันคือฝูงลิง
การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของลมปราณที่ยั่วยวนใจ ฝูงลิงปีศาจเหล่านี้แห่กันเข้าไปยังจุดที่โม่เทียนเกอคอยอยู่โดยไม่รีรอ อย่างไรก็ตาม พวกมันถูกจับอยู่ในบ่วงก่อนที่จะเข้าถึงตัวนางได้
ฝูงลิงวิ่งวนอยู่รอบตัวนางในท่าทางแบบ “เจ้าไล่ข้า ข้าไล่เจ้า” เกิดเป็นวงแหวนที่มีตัวนางเป็นศูนย์กลาง ที่จริงแบบนี้มันก็ดูสนุกดีเหมือนกัน แต่โม่เทียนเกอไม่กล้าประมาท และกวัดแกว่งธงม่านพลังในมือของนางต่อไป
ทันใดนั้น ทรายดูดร้อนแรงก็ปรากฏขึ้นในม่านพลัง ฝูงลิงส่งเสียงแหลมสูงดังสนั่น ปีนป่ายไปตรงนั้นตรงนี้อย่างชุลมุน แต่ไม่ว่าพวกมันจะวิ่งสักแค่ไหนก็ไม่สามารถหนีออกไปได้ ความเจ็บปวดจากการถูกเผาไหม้ทำให้พวกมันสู้กันพัลวันในขณะที่เหยียบกันเองไปด้วย
เมื่อมองภาพที่ปรากฏ โม่เทียนเกอโบกธงม่านพลังอีกครั้ง จู่ๆ หินนับไม่ถ้วนก็ตกลงมาในม่านพลัง เมื่อไม่มีที่ให้หลบ พวกลิงจึงตายไปทีละตัวภายใต้หินเหล่านั้น
เมื่อเหล่าลิงปีศาจถูกฆ่าครบถ้วนเรียบร้อย โม่เทียนเกอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกในที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะนางวางกับดักไว้ล่วงหน้า ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณอย่างนางไม่มีทางรับมือกับสัตว์ปีศาจระดับแรกจำนวนมากขนาดนั้นได้แน่ ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่านางจะสามารถฆ่าพวกมันได้อย่างราบรื่น แต่นางก็ต้องเสียพลังวิญญาณไปค่อนข้างมากทีเดียว
ความสามารถของศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณนั้นต่ำเกินไป ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถใช้เครื่องมือวิญญาณหลายอย่างในคราวเดียวได้ ทว่าพวกเขายังไม่สามารถอยู่ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทได้นานเกินไปด้วย แม้ว่าสำหรับอาวุธวิเศษที่ไม่มีการจำกัดระดับการฝึกตน แต่พลังของมันที่แสดงออกมาก็ยังมีจำกัดหากศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณเป็นผู้ใช้ เพราะฉะนั้น ยิ่งโม่เทียนเกอฝึกตนมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งปรารถนาจะเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังให้จงได้
เมื่อนางฟื้นฟูพลังวิญญาณแล้ว จึงเริ่มเก็บซากลิงปีศาจที่กระจัดกระจายอยู่ พวกมันมีประมาณยี่สิบหรือสามสิบตัว คาดว่าด้วยการต่อสู้ทั้งหลายที่ปะทุขึ้นในป่าเขานี้ ทุกคนคงไม่มีเวลาฆ่าสัตว์ปีศาจได้มากมายนัก ลิงปีศาจพวกนี้จึงน่าจะเพียงพอสำหรับนางที่จะได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง ดังนั้น หลังจากนำซากของลิงปีศาจเก็บใส่กระเป๋าเอกภพ นางจึงนั่งลงทำสมาธิ ไม่มีความตั้งใจที่จะล่าสัตว์ปีศาจต่อไป เป้าหมายของนางมีเพียงแค่การได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังเท่านั้น นางไม่อยากจะเอาชีวิตไปเสี่ยงหรือดึงดูดความสนใจของคนอื่น
ในขณะที่นางเข้าฌานอยู่ ความโกลาหลก็ปะทุขึ้นในป่าเขาแห่งนี้
ครั้งแรกที่ศิษย์สำนักจื่อซย่าถูกฆ่า ยังไม่มีใครรู้เรื่องนั้น แต่แม้กระนั้น คนที่มีเจตนาอาฆาตก็มีอยู่มาก ในไม่ช้า คนอื่นๆ ก็เริ่มที่จะลงมือบ้าง
นอกเหนือจากการได้เปรียบในจำนวนคน ศิษย์สำนักจื่อซย่ายังถือว่าอีกสองกลุ่มเป็นกลุ่มที่ล่มสลายไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมปล่อยให้เรื่องจบ ในตอนบ่าย ศึกการต่อสู้จึงเกิดขึ้นอย่างเปิดเผย
แม้ว่าจำนวนทั้งหมดของศิษย์สำนักอวิ๋นอู้และโรงเรียนจินเตารวมกันยังไม่เท่ากับจำนวนศิษย์ที่สำนักจื่อซย่ามี แต่เพราะพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังและโจมตีแบบลับๆ หลายคนจึงทำสำเร็จ
ถึงอย่างนั้น เมื่อศิษย์สำนักจื่อซย่าเริ่มจะตอบโต้ในตอนหลัง ทั้งสองฝ่ายต่างชนะและแพ้พอๆ กันขณะที่จำนวนคนที่ถูกฆ่ามีเพิ่มมากขึ้น พวกเขาไม่สนใจจะระมัดระวังอะไรอีกแล้ว ทั้งสองฝ่ายเข้าต่อสู้ทันทีหลังจากได้เจอกัน
โม่เทียนเกอไม่รู้เรื่องนี้เลย ซึ่งจัดว่าเป็นโชคดีอย่างน่าขันที่นางมาอยู่ที่ในสถานที่นี้ มิเช่นนั้น นางอาจจะถูกลากเข้าไปร่วมต่อสู้ด้วยก็เป็นได้
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง โม่เทียนเกอยังอยู่ในม่านพลังของนางและไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีก นางใช้แสงไม่ได้เพราะมันอาจจะดึงดูดคนอื่นๆ เข้ามา อีกอย่าง ต่อให้มันไม่ได้ดึงดูดคน แต่ก็อาจจะดึงดูดสัตว์ปีศาจเข้ามาได้ การต่อสู้ในตอนกลางคืนคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ไม่ว่าอย่างไร นางยังพอมองเห็นได้และแค่ต้องอดทนอีกคืนเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้ม่านพลังทางออกก็จะถูกเปิดออกแล้ว
ทันใดนั้น นางก็ขมวดคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้น
มีพลังวิญญาณกระเพื่อมอยู่ด้านนอก เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนกำลังเข้ามาหานาง
นางคิดถึงทางเลือกต่างๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บม่านพลังที่นางวางไว้ก่อนหน้านี้ ทิ้งไว้เพียงแค่ม่านพลังชีวิตและความตายห้าธาตุ จากนั้นนางจึงซ่อนตัวและคอยมองอย่างระวัง
คนผู้นั้นวิ่งมาอย่างเร็วจนเหมือนกับว่าฝีเท้าของเขากำลังลอยอยู่ แม้ว่าเขาจะสะดุดบ้างเป็นครั้งคราว แต่เขาก็ยังคงวิ่งต่อไม่หยุด อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจู่ๆ เขาจะวิ่งเข้าไปเจอบางอย่างและ ‘ปัง!’ หลังจากเสียงดังนั้น ก็ไม่มีเสียงอื่นใดให้ได้ยินอีกเลย
——
[1] ผีผ่านกำแพง หรือ ผีชนกำแพง ใช้ในการอธิบาย ‘การหลงทางในช่วงเย็น’ คนจะเดินไปรอบๆ เป็นวงกลมและมักจะกลับไปยังจุดเดิมในที่สุด