การที่ผมเลือกบทอัลลีจากเรื่อง Le Corsaires มาเป็นการแสดงครั้งสุดท้ายของระดับชั้นมัธยมปลาย ก็เพื่อที่จะได้ระลึกถึงวันที่ผมได้เจอกันกับเธอ ด้วยการแสดงคลาสสิกครั้งสุดท้ายของผม
แต่อีกไม่นานผมคงจะผิดหวัง ถ้าผมไม่สามารถเอื้อมถึงได้ ผมก็ไม่ควรจะเอื้อมไป เพราะถ้าผมเข้าไปใกล้ แม้ผมจะรู้ว่าตัวเองจะต้องจากมามือเปล่า แต่ผมก็จะยังคงวนเวียนอยู่ข้างๆ ฮวีกยอมโดยที่ไม่สามารถผลักไสเธอไปได้
จะเป็นความใฝ่ฝัน หรืออะไร ผมก็ไม่สนหรอก ขอแค่ฮวีกยอมมองมาที่ผมก็พอ ถ้ามีอะไรที่พอจะทำใด้ ผมก็อยากจะเป็นรุ่นพี่ที่ทำให้เธอไม่ต้องคอยวิ่งตามไปตลอดชีวิต เพราะไม่อย่างนั้น เธอก็คงจะเอาแต่จ้องมองด้านหลังของผมไปตลอดชีวิต ดังนั้นเพื่อตัวเอง เพื่อฮวีกยอม ผมจะต้องเปลี่ยนเท่านั้น
“รุ่นพี่เต้นคลาสสิกต่อไปไม่ได้เหรอคะ”
“…”
“…ถ้าได้ก็คงจะดีแท้ๆ”
ผมเกือบจะจูบเธอไปทั้งๆ อย่างนั้นซะแล้ว ใบหน้าแดงระเรื่อที่อยู่ข้างๆ และเสียงลงท้ายประโยคอันแผ่วเบาช่างดูน่ารักจริงๆ รู้อย่างนี้สู้ไม่รู้จักกันเลยยังจะดีเสียกว่า เพราะยิ่งรู้จักถลำลึกลงไป ยิ่งเข้าใกล้ไปเรื่อยๆ ผมก็ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าควรจะทำอย่างไรกับหัวใจที่พองโตขึ้นจนรับมือไม่ไหวแบบนี้
เด็กที่มักจะดูน่าเป็นห่วงอยู่เสมอ แต่ก็เป็นเด็กที่ดูกล้าหาญอย่างคาดไม่ถึง สาวน้อยผู้โชคร้ายที่ไม่มีแม้แต่ดวงเรื่องการเสี่ยงโชค แต่ก็ยังเป็นสาวน้อยที่เป็นเหมือนโชคดีสำหรับผม ทั้งที่ไม่ใช่หญิงสาวที่สวยสะดุดตาอะไรเป็นพิเศษ แต่ไม่รู้ทำไม ฮวีกยอมกลับเปล่งประกายจนสามารถหาเจอได้ในครั้งเดียวเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
ผมมักจะยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัวเสมอ มักจะคว้าเอาไว้โดยไม่ทันคิดตลอด ถึงจะแกล้งหันหลังให้เพื่อทำเป็นเย็นชาใส่ แต่พอรู้ตัวอีกที ผมก็จะมาวนเวียนอยู่ข้างกายของฮวีกยอมเสมอ ต่อให้พยายามแสร้งทำเป็นว่ามันไม่ใช่ แต่มุมหนึ่งภายในใจ ความต้องการอันร้อนระอุนั้นพุ่งขึ้นมาเสียแล้ว
“กลิ่นแตงโม”
ในตอนนั้นที่ฮวีกยอมเป็นฝ่ายเข้าหาผมก่อน แล้วจูบเหมือนกับโดนอะไรบางอย่างครอบงำ ทำให้ผมได้รับรู้ว่า ผมไม่สามารถที่จะหลบซ่อนความปรารถนานี้ และหัวใจดวงนี้ที่ร้อนผ่าวขึ้นมาได้อีกต่อไปแล้ว
ฟางเส้นสุดท้ายที่ผมจับเอาไว้อย่างยากลำบากได้ขาดไปซะแล้ว เพราะผมไม่อยากจะถูกแย่งไป อยากจะให้เธอมองเพียงแค่ผม อยากจะกอดเธอเอาไว้ และอยากจะสัมผัสเธออยู่ตลอด จนเหมือนผมจะเป็นบ้าไปแล้ว ผมเคยปรารถนาในอะไรบางอย่างอย่างแรงกล้าแบบนี้มาก่อนหรือเปล่านะ
“ฮวีกยอม”
น้ำเสียงของผมที่เรียกชื่อของเด็กคนนั้นดังออกมาจากช่องว่างระหว่างริมฝีปาก ฟังดูแปลกหูพิลึก คงเพราะตกใจเกินไป ดวงตาของฮวีกยอมจึงโตยิ่งกว่าเดิม ใบหน้าของผมที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นดูสั่นนิดๆ ผมควรจะทำหน้าอย่างไรให้เธอเห็นดีนะ
“ตอบสิ คิมฮวีกยอม”
ฮวีกยอมอาจจะกลัวเสียงของผมที่ดูดุเกินไป ริมฝีปากของเธอจึงสั่นขึ้นมาเบาๆ ผมแทรกลิ้นเข้าไปในปากที่เผยอออกอย่างไร้สติ ผมรู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายเกร็งไปหมด ดวงตาทั้งสองข้างของเธอปิดสนิท ขนตาที่สั่นไหว ริมฝีปากอุ่นๆ และสัมผัสของลิ้นที่หวิวจนแทบคลั่ง
ผมไม่รู้เลยจริงๆ ว่าควรจะทำอย่างไรดีกับเธอผู้แสนหวานคนนี้
* * *
“ผมชอบ… ฮวีกยอม”
“…ว่าไงนะ?”
“คิมฮวีกยอม ผมบอกว่าผมชอบยัยนั่นไงล่ะ”
คำพูดของอีเซเหมือนกับลูกธนูที่ปักลงตรงกลางใจของผม ผมทำได้เพียงแต่จ้องมองไปยังอีเซอย่างเลื่อนลอย คงเป็นเพราะเขาวิ่งมาสินะ อีเซที่กำลังหายใจอย่างเหนื่อยหอบนั่น ดูโตขึ้นเยอะเลยแฮะ หมอนี่ตัวสูงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
นึกว่าจะทำเป็นแต่ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ไม่รู้จักโตซะอีก แต่ใบหน้าบูดบึ้งที่จ้องมองผมเขม็งของเจ้านั่น มันคือใบหน้าของผู้ใหญ่ชัดๆ
ในตอนนั้น ปลายลิ้นของผมเต็มไปด้วยรสขม ผมฝืนยิ้มเพื่อแกล้งทำเป็นไม่สะทกสะท้านอะไร และเพิกเฉยต่อหัวใจอันปวดร้าว วินาทีนั้น ผมรู้เลยว่าจบสิ้นแล้ว ผมอาจจะล้มฟุบลงไปเลยก็ได้ แต่ต่อหน้าอีเซ ผมจะต้องเป็นพี่ชายสุดแกร่งให้ถึงที่สุด
“แล้ว”
“…นี่น่ะ นาฬิกาพี่ใช่ไหมล่ะ”
ที่มือของเจ้านั่น มีนาฬิกาของผมวางอยู่ ในตอนนั้นความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเข้าครอบงำผม อีเซจ้องมองมาที่ดวงตาของผม ก่อนจะเดินมาข้างหน้าผม แล้ววางนาฬิกานั่นลงบนโต๊ะเสียงดังลั่น
“ทำไมท่านลีอีกงผู้นี้ถึงกับอุตส่าห์โดดซ้อมไปถึงที่นั่นกันนะ เพื่อไปดูแลรุ่นน้องในทีมแค่คนเดียวงั้นเหรอ พี่คงไม่ได้ไปด้วยเหตุผลนั้นหรอกใช่ไหม”
ระหว่างที่เสียงไม่ค่อยสบอารมณ์ของอีเซดังขึ้นมา ผมไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปเลย ได้แต่ก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะ
ผมไม่อาจรับมือกับความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาได้ และความทรงจำตอนสารภาพรักเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ที่แม้จะพยายามบอกออกไปก็ไม่อาจถ่ายทอดไปถึงเธอได้ก็ผุดขึ้นในหัว รวมไปถึงใบหน้าของเด็กนั่นที่หัวช้าเสียจนผมอยากจะด่าในความทึ่มของเธอ
เสียงถอนหายใจของอีเซดังขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นอย่างนิ่งๆ แล้วมองไปที่อีเซ ผมมองเห็นใบหน้าเคร่งขรึมของอีเซ แล้วผมกำลังทำสีหน้าอย่างไรอยู่กันนะ
“ก็เป็นแค่รุ่นน้องที่ฉันใส่ใจนิดหน่อยเท่านั้นแหละ ก็เด็กนั่นดูน่าเป็นห่วงยังไงไม่รู้นี่นา”
“…”
“เพราะงั้น…”
“ไร้สาระชะมัด”
ในตอนที่เสียงแหลมสูงของอีเซดังขัดคำพูดของผมขึ้นมา ผมกลืนน้ำลายแห้งๆ ลงคอ พลางหลับตา ต่อจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงของประตูที่ถูกปิดอย่างแรง ผมเอนตัวลงไปที่เก้าอี้พร้อมกับเอามือถูหน้า ลมหายใจอุ่นๆ ถูกกักอยู่ในฝ่ามือ คำพูดมากมายที่ทำให้ภายในลำคอรู้สึกคันไปหมดนั่นได้กลายมาเป็นลมหายใจที่กำลังพรั่งพรูออกมา
“…แม่งเอ๊ย”
เสียงหัวเราะอย่างสิ้นหวังดังขึ้น แววตาอันว่างเปล่าของผมเหม่อลอยอยู่พักใหญ่ ก่อนที่สายตาของผมจะเคลื่อนไปยังโต๊ะที่รกไปหมด แล้วผมก็เหลือบไปเห็นกล้องสลับลายที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ผมหยิบเจ้าสิ่งนั้นขึ้นมาทาบไว้ที่ตา แล้วส่องไปทางหลอดนีออน หัวใจที่กำลังส่องประกายเหมือนดวงดาว หัวใจของผมเองก็กำลังระยิบระยับเหมือนกับแสงนั่นเช่นกัน
* * *
อีเซ น้องชายเพียงคนเดียวของผมดูจะอารมณ์ร้อนกว่าที่เห็น อย่างน้อยอีเซที่ผมรู้จัก ก็เป็นเด็กที่ค่อนข้างจริงจัง กระตือรือร้น แล้วก็เจ้าอารมณ์ ถึงแม้ว่าผมจะคอยพยายามตักเตือนอีเซอยู่บ่อยๆ แต่ตรงกันข้าม ผมก็มักจะรู้สึกอิจฉาหมอนั่น เพราะนิสัยตรงๆ และไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรคือข้อดีของอีเซ
“ทำให้มันจริงจังสิ”
“…นายต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
อีเซที่อยู่ๆ ก็มาจนถึงห้องซ้อม แล้วลากผมออกมา กำลังอยู่ในสภาพโมโหสุดๆ ผมรออย่างใจเย็นจนเจ้านั่นเริ่มจะสงบลง หมอนั่นโกรธฟึดฟัดอยู่สักพัก พลางหยุดพักหายใจ คำพูดคำแรกที่ส่งมาถึงผมทำให้ผมต้องถามกลับอย่างไม่เข้าใจบริบท ต่อจากนั้นใบหน้าของอีเซก็กระตุกอย่างเห็นได้ชัด
“หมายถึงคิมฮวีกยอมไงเล่า ที่ถามเนี่ย ไม่รู้จริงดิ”
“…แล้วจะให้จริงจังเรื่องอะไรล่ะ”
“เมื่อวานพี่ไปเจอฮวีกยอมมาใช่ไหมล่ะ”
“…”
“พี่ พี่ชอบยัยนั่นไม่ใช่รึไง”
คำพูดที่ออกมาตรงๆ ของอีเซทำให้ผมถึงกับต้องเอามือมาก่ายตรงหน้าผากที่ปวดตุบๆ ขึ้นมา พลางถอนหายใจเบาๆ
“นี่ อีเซ เราอย่ามาพูดเรื่องนี้กันเลยนะ”
“วันนี้ผมจะสารภาพรักกับฮวีกยอม”
วินาทีนั้นหัวใจของผมเหมือนถูกเขย่าจนจะหลุดออกมา ราวกับพื้นดินทรุดตัวลงไป ผมค่อยๆ หันหน้าไปมองอีเซ ดวงตาของเจ้านั่นสั่นไหวอย่างรุนแรง
“ไอ้บ้าเอ๊ย”
“…”
“ถ้าจะทำสีหน้าแบบนั้น พี่จะคอยมาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวฮวีกยอม แล้วทำให้ยัยนั่นสับสนไปทำไมเล่า”
สีหน้าแบบนั้นงั้นเหรอ คำพูดของอีเซทำให้ผมค่อยๆ พยายามรับรู้ถึงสีหน้าของตัวเอง นี่ผมกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่กันแน่ อ้า หน้าอกของผมเจ็บแปลบจนไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลยสักนิด
“ผมจะไม่หนีหรอกนะ แล้วก็จะบอกยัยนั่นไปตรงๆ ด้วยว่าผมชอบเธอ ผมจะไม่มีทางหลีกทางให้พี่เด็ดขาด”
“…”
“เพราะงั้นวันนี้ พี่อย่าได้มาขวางก็แล้วกัน”
การประกาศสงครามอย่างตรงไปตรงมาสมกับเป็นอีเซ ทำให้ข้างในปากมันรู้สึกแห้งไปหมด อีเซคงจะพูดคำที่อยากพูดออกไปจนหมดแล้ว เขาจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วเดินผ่านผมไป ลมเย็นๆ ที่น่าขนลุก ผมได้แต่ยืนเหม่ออยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนที่จะหลุดหัวเราะหึออกมา
‘ไอ้บ้าเอ๊ย’
แม้จะเป็นระหว่างซ้อม คำพูดของอีเซก็ยังคงวนเวียนอยู่ข้างๆ หู บ้า ไอ้บ้าเอ๊ย
ผมยิ้มอย่างขมขื่น อีเซไม่เข้าใจหรอก ว่าถ้ายิ่งเข้าใกล้ก็กลัวว่าเธอจะตีตัวออกห่าง ถ้าคว้าเอาไว้ในกำมือก็กลัวว่าเธอจะสลายหายไป ตั้งแต่ต้นจนจบ ความวิตกกังวลเหล่านั้นที่ทำให้ผมรู้สึกวุ่นวายใจ กลับกลายมาเป็นความหวาดกลัว กลัวว่าจะไม่สามารถสบตากับดวงตาคู่โตที่ส่องประกายนั่นได้อีกครั้ง ซึ่งเจ้านั่นไม่มีทางเข้าใจมันได้หรอก
แต่ทว่า…
ผมเงยหน้าขึ้นช้าๆ ข้างนอกหน้าต่างห้องซ้อมเต้นนั่น ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว ผมมองเห็นเงาเล็กๆ อยู่ในสนามกีฬาที่มืดสลัว วินาทีนั้น ร่างกายของผมก็เริ่มเคลื่อนไหวตรงข้ามกับการสั่งการของสมอง ผมวิ่งออกไปข้างนอกอย่างไม่คิดชีวิต ก่อนจะตะโกนเรียกชื่อเด็กคนนั้นจนสุดเสียง
“คิมฮวีกยอม!”
ภายใต้แสงของตะวันที่กำลังตกดิน ใบหน้าของฮวีกยอมกำลังส่องสว่างเป็นสีส้ม เธอจ้องมองมาที่ผม เพราะแสบตาหรือเปล่านะ คิ้วถึงได้ขมวดเข้าหากัน พร้อมกับตาที่หรี่ลง
“พี่”
อีเซเข้ามายืนขวางหน้าผม พร้อมกับจ้องไม่วางตา ผมเองก็จ้องมองไปที่อีเซโดยไม่ยอมหลบสายตาเช่นกัน ขอโทษนะ อีเซคงจะอ่านสายตาผมออก ใบหน้าของเขาจึงบูดบึ้งขึ้นมาในพริบตา
“อีเซ ปล่อยก่อนเถอะนะ”
คงเป็นเพราะมือของอีเซออกแรงเยอะไป ฮวีกยอมถึงได้ทำหน้าหงิกงอ พลางบิดข้อมือของตัวเอง แต่ว่าอีเซกลับยิ่งออกแรงจนเส้นเลือดบนข้อมือปูดหนักขึ้นกว่าเดิม
ในตอนนั้นเอง ผมที่ไม่อาจอดกลั้นความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้นมาได้อีกต่อไปจึงจ้องอีเซกลับไปด้วยสายตาเย็นยะเยือก สีหน้าที่ไม่เคยแสดงให้อีเซได้เห็นมาก่อนเลยสักครั้ง
“…ปล่อยมือฮวีกยอมก่อน แล้วค่อยพูดเถอะนะ”
น้ำเสียงนิ่งๆ ที่แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกตกใจ แต่อีเซดูจะไม่ได้ตกใจอะไรขนาดนั้น ตรงกันข้าม ฮวีกยอมที่ยืนอยู่ข้างหลังอีเซนั่นต่างหากที่กลับตาโตเป็นไข่ห่าน
“ไม่”
“…ลีอีเซ”
ผมเรียกชื่อของอีเซพร้อมกับเสียงถอนหายใจ พยายามอดกลั้นความรู้สึกที่กำลังจะระเบิดออกมา
“ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าพี่กำลังทำอะไรอยู่กันแน่ พฤติกรรมของพี่ ผมไม่เข้าใจมันเลยสักนิด”
“…”
“ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดออกมาตรงๆ สิ ไอ้คนที่ไม่กล้าแม้แต่จะทำอะไรแบบนั้นน่ะ อย่ามาขวางจะดีกว่า”
คำพูดที่บาดลึกของอีเซทำให้ผมถอนหายใจออกมาเล็กๆ พร้อมกับหันหน้าหนี หมอนั่นพูดถูกแล้ว ผมควรจะต้องซื่อตรงมากกว่านี้ เพราะถ้าผมทำไม่ได้ล่ะก็ ก็มีแต่จะต้องถอยหลังไปเท่านั้น แต่ว่าผมไม่อยากหยุดอยู่แค่นี้ ผมจะไม่ยอมให้ใครแย่งไปเด็ดขาด ความปรารถนาอันแรงกล้านั่นที่ผมอุตส่าห์เก็บกดมันเอาไว้ ตอนนี้มันได้เข้ามายึดพื้นที่ในหัวของผมแล้ว
“ก็กำลังจะทำอยู่นี่ไงล่ะ”
“…หา”?
เสียงที่ดูกระวนกระวายใจของอีเซดังขึ้น ผมที่ทำตัวไม่ถูกได้แต่จ้องมองไปที่ฮวีกยอมที่กำลังก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเองอยู่
“ก็นายบอกว่า ถ้ามีอะไรจะพูดก็ให้พูดออกมาตรงๆ ไม่ใช่เหรอ ฉันก็กำลังจะทำอยู่นี่ไงล่ะ”
คำพูดที่ดูจะจริงจังกว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้ออกมาจากปากของผม ตอนนี้ผมอาจจะไม่สามารถหยุดได้อีกต่อไป ร่างกายและหัวใจของผมเอาแต่จะผลักไสเหตุและผลออกไป ทำไมเวลาอยู่ต่อหน้าเด็กคนนี้ ผมถึงมักจะกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์กันนะ คอยแต่จะก้าวข้ามเส้นที่ขีดเอาไว้
“…รุ่นพี่คะ”
ผมกุมมือของฮวีกยอมเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ฮวีกยอมจ้องสลับไปมาระหว่างอีเซและผมที่ยืนเหม่ออย่างเก้ๆ กังๆ แก้มของเธอกลายเป็นสีแดงแจ๋
ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ เธอที่กำลังเหงื่อตกอย่างไม่รู้สาเหตุ แล้วจับเข้าที่แก้มแดงๆ นั่นเพื่อให้เธอหันมามองที่ผม ผมไม่อาจจะทนได้อีกต่อไปแล้วกับการที่จะให้เธอมองคนอื่นที่ไม่ใช่ผม และยืนข้างๆ คนอื่นที่ไม่ใช่ผม
“หน็อย ลีอีกง!”
“พี่ชอบเธอ”
วินาทีที่คำพูดนั้นหลุดออกไป ความรู้สึกว่างเปล่าที่เหมือนมีอะไรบางอย่างหลุดออกไปจากมุมหนึ่งของหัวใจก็เกิดขึ้น ลมที่ทำให้รู้สึกดีได้พัดผ่านไป เส้นผมที่ค่อนข้างยาวปลิวไปตามลมจนทำให้หน้าผากรู้สึกคัน ฮวีกยอมกำลังจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าลนลาน ดวงตาคู่โตสีอ่อนนั่นกำลังสั่นไหวอย่างอึดอัด
ตอนนี้ผมกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่กันนะ
ความรู้สึกอึดอัดที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุทำให้ผมจับมือฮวีกยอมเอาไว้แน่นกว่าเดิม มือที่สั่นนิดๆ ใบหน้าที่แดงกว่าเดิม และก็ดวงตาคู่โตของเธอที่เหมือนกับจะร้องไห้ออกมาซะเดี๋ยวนั้น
“คิมฮวีกยอม กับเธอน่ะ พี่..”
“…”
“ชอบเธอ”
ต่อจากนี้ไปขอแค่เธอมาอยู่ในอ้อมกอดของผมก็พอ เพื่อที่ผมจะได้รักเธอมากกว่านี้ เพื่อที่ผมจะได้ประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากของเธอได้อีกครั้ง