รอยยิ้มลึกลับปรากฏบนใบหน้าของนายท่านสาม เขามองหยางชูเดินเข้าไปในห้องเก็บพระสูตร
อย่างไรเขาก็เป็นคุณชายตระกูลโหว ทนแรงยุยงไม่ได้อยู่แล้ว
ผู้อื่นมองว่าเขานั้นเย่อหยิ่งกว่าตน เขาจะเสียใจหรือไม่กัน
หลักฐานเอาผิดอยู่ตรงหน้า แต่ไม่สามารถไปเอามาได้คงไม่สบายใจมากใช่หรือไม่
ไม่สบายใจน่ะถูกแล้ว จงก้าวเข้าสู่กับดักอย่างเชื่อฟังเถอะ…
เกิดประกายไฟแวบขึ้นส่องกระทบเขา
“นายท่านสาม…” ทหารหน่วยกล้าตายที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขาตะโกนขึ้น นายท่านสามได้ยินเสียงติงๆๆ เป็นเสียงของอาวุธกระทบกัน
เกิดอะไรขึ้น!
นายท่านสามตกตะลึงและพบว่าหยางชูไม่ได้ก้าวเข้าไปในห้องเก็บพระสูตร
ในขณะที่เขาล้มลงบนพื้นนั้นจู่ๆ ก็หันกลับไปลงมือ พริบตาเดียวหยางชูและองครักษ์ของเขาก็ได้ต่อสู้กับคนของตนแล้ว
หมิงเวยเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่ที่เดิม นางมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ใช้จิตวิทยาในการยั่วยุได้ไม่เลวเลย ท่านพูดมากมายถึงเพียงนั้น เดิมทีไม่ใช่เพื่อยืดเวลา แต่เพื่อสร้างภาพลวงตาให้เข้าใจว่า หากพวกเราต้องการหลักฐานเอาผิดจำเป็นต้องทำตามที่ท่านบอกเท่านั้น”
นายท่านสามยังคงยิ้ม “ไม่เชื่อข้าเลยไม่กล้าเข้าไปงั้นหรือ”
“ใช่” หมิงเวยยิ้มตอบ “กลไกของท่าน เคยฆ่าเกิงซานยอดฝีมือของหวงเฉิงซือมาได้ พวกเราจะกล้าเสี่ยงได้อย่างไรกัน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ดวงตาของนายท่านสามวูบไหว
หมิงเวยพูดต่อว่า “ก่อนหน้านี้พวกเราไม่เข้าใจว่าเกิงซานตายได้อย่างไร หากต้องหักคอเขาต้องใช้ยอดฝีมือเช่นไรจึงจะฆ่าเขาได้ เมื่อท่านพูดถึงห้องลับข้าถึงได้เข้าใจ ท่านมีกุญแจสิบสองห่วงของหอเทียนจีอยู่ในมือก็อาจล่วงรู้ความลับบางอย่างของหอเทียนจี หอเทียนจีมีชื่อเสียงในด้านกลไก หากท่านจัดเรียงอย่างเหมาะสม กลไกจะหักคอของเกิงซานด้วยพลังเหนือมนุษย์ได้ในพริบตา สามารถเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ได้”
นางถามด้วยรอยยิ้ม “ใช่หรือไม่ท่านพ่อ”
นายท่านสามถอนหายใจเบาๆ แววตาของเขาฉายแววทั้งชื่นชมและเสียดาย “หากเสี่ยวชีของข้าไม่โง่เขลา นางคงฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ใช่หรือไม่”
“ไม่มีพ่อคนใดที่ฉลาดและกล้าได้ถึงเพียงนี้ ท่านไม่มีความมั่นใจที่จะฆ่าพวกเราด้วยกำลังและอาวุธถึงได้จงใจปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราด้วยวิธีนี้ ท่านใจกว้างเกินไป นั่นทำให้เราคิดว่าท่านคงมีอะไรให้พึ่งพาถึงไม่กล้าที่จะลงมือง่ายๆ จากนั้นสนทนากันยาวๆ ทำสีหน้าภาคภูมิใจเพื่อกระตุ้นให้พวกเราไม่พอใจ มนุษย์น่ะ ถูกชักจูงด้วยอารมณ์ได้ง่าย ความโกรธ ความเกลียดชัง เมื่ออยู่ท่ามกลางอารมณ์เหล่านี้แล้วล้วนเป็นเรื่องง่ายที่จะเลือกโดยปราศจากเหตุผล”
“อันที่จริงหากกระโดดออกจากกับดักอารมณ์ของท่านก็จะพบได้ง่ายเลยว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเดินตามทางที่ท่านปูเอาไว้” หมิงเวยชี้ไปที่ห้องเก็บพระสูตร
“ทำไมพวกเราต้องเข้าไปอย่างว่าง่ายกันหรือ การไปเอาหลักฐานจำเป็นต้องรีบถึงเพียงนั้นเลยหรือ แค่จับพวกท่านทั้งหมดก่อนจากนั้นรอให้ฝุ่นละอองก่อตัวแล้วค่อยๆ แตกกระจายก็ยังไม่สาย”
“….” นายท่านสามถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “สมกับเป็นบุตรสาวของข้า”
“พวกท่าน!” เสียงของหยางชูดังมาจากอีกด้าน “คนที่ดูกลอุบายของท่านออกไม่ได้มีแค่นาง อย่าทำเป็นเหมือนข้าไม่ได้อยู่ตรงนี้จะได้หรือไม่!”
พูดจบเขาก็ใช้กริชในมือแทงตอกตึงทหารนายหนึ่งเอาไว้
พอเขายื่นมือออกหมายจะยึดคางของอีกฝ่ายน่าเสียดายที่ช้าไปก้าวหนึ่ง เลือดสีดำทะลักออกมาจากมุมปากของอีกฝ่าย เขากินยาพิษจริงๆ!
เขาเลิกคิ้วแล้วเดินไปหาอีกคน ฆ่าตัวตายทันทีที่ถูกจับ การกระทำที่รวดเร็วฉับพลันเช่นนี้เป็นทหารของจวนจวิ้นอ๋องงั้นหรือ
“คุณชายระวังขอรับ!” เสียงเตือนขององครักษ์ดังมาจากด้านหลัง
หยางชูกระโดดหลบ ใบมีดวาดผ่านเฉียดไหล่เขาไป
แต่เอวกลับโดนแทงเข้า เมื่อเขาบิดมันออกความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามา
หยางชูขมวดคิ้วแล้วใช้มีดสั้นตวัดกลับไปอย่างไม่ลังเล
“อึก” เลือดพุ่งออกมาทหารนายนั้นถูกปาดคอโดยตรง
“ไม่จำเป็นต้องมีพยานปากรอดชีวิตแล้ว” เขาพูด
“ขอรับ!” องครักษ์ทั้งสี่ไม่ยั้งมืออีกต่อไปจัดการปลิดชีวิตทันที
หยางชูกดบาดแผลที่เอวของตนและพบว่ามันไม่ลึกนักจึงพันแผลเอาไว้แล้วเดินกลับมา
องครักษ์ของนายท่านสามตายไปแล้วสองนาย คนที่เหลือองครักษ์ทั้งสี่สามารถรับมือได้อยู่แล้ว
“นายท่านสาม” เขายืนนิ่ง “ท่านยอมจำนนดีๆ หรือจะให้ข้าลงมือ”
มองทหารถูกฆ่าตายไปทีละคนนายท่านสามก็ถอนหายใจ “ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคนจำนวนมากขนาดนี้ไม่เพียงพอ น่าเสียดายข้างกายท่านอ๋องมีคนถ่อย มักจะรอเหยียบข้า”
หยางชูหัวเราะ “เอาล่ะ คำพูดนี้ท่านเก็บไว้บอกกับใต้เท้าเจี่ยงเถอะ! ข้าถนัดลงมือไม่ถนัดพูด การตีฝีปากกับท่านไม่ใช่สิ่งที่ข้าถนัด พวกท่านเป็นปัญญาชน คุยกันเองคงสนุกกว่า จับกุมเขาไว้!”
“ขอรับ!”
องครักษ์สองนายก้าวไปข้างหน้าเพื่อจับกุมนายท่านสาม
หมิงเวยเห็นการเคลื่อนไหวเล็กน้อยใต้เท้าของเขา ลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้นในใจ นางตะโกนออกไป “ระวัง!”
แต่ก็สายไปแล้ว ทันใดนั้นแผ่นกระดานที่นายท่านสามเหยียบอยู่ก็จมลงโดยที่เขาก็ตกลงไปด้วย
ในขณะเดียวกันผนังด้านซ้ายเกิดรอยร้าวและมีแสงลอดออกมา
หยางชูรีบคว้าร่มหนังปลาฉลามไว้ในมือ เขาเขย่ามือแล้วกางร่มออกจึงกั้นลูกศรลับที่ยิงมาเอาไว้ได้
ทั้งสองคนปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน แต่องครักษ์ทั้งสี่นายไม่ได้โชคดีถึงเพียงนั้น มีสองคนถูกแทงบาดเจ็บ คนหนึ่งแค่แผลถลอก ส่วนอีกคนยืนอยู่ในที่ที่ลาดชันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ
หยางชูเก็บร่มแล้วกัดฟัน “นายท่านสามผู้นี้เจ้าเล่ห์เสียจริง! ที่แท้ยังมีไม้ตายอยู่อีก”
หมิงเวยย่อตัวลงและแตะแผ่นกระดานสำหรับเหยียบที่เพิ่งตกลงไปอย่างครุ่นคิด
“เป็นอย่างไรบ้าง เปิดได้หรือไม่”
หมิงเวยส่ายหน้า “เปิดไม่ได้เจ้าค่ะ นี่เป็นกลไกครั้งเดียว หากใช้งานอีกครั้งมันจะเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์”
หยางชูทุบกำแพงอย่างเจ็บใจ “ไม่คิดว่านายท่านสามจะเชี่ยวชาญด้านกลไก ครั้งนี้ปล่อยให้เขาหนีไปได้ไม่รู้ว่าเขาจะทำเรื่องอะไรอีก”
“อย่าใจร้อนไปเลยเจ้าค่ะ” หมิงเวยดูใจเย็นมาก “ดูจากนิสัยของเขาพ่ายแพ้เช่นนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะหนีไปไกล นักฆ่าตัวฉกาจที่สุดของเขายังไม่ออกมาข้าเดาว่าเขาคงไม่สามารถออกจากวัดเป่าหลิงได้”
หยางชูชะงักแล้วนึกขึ้นได้ว่า “ท่านหมายถึงหินเทพธิดางั้นหรือ”
หมิงเวยพยักหน้า
“ถ้างั้นพวกเราต้องรีบออกไป!”
หมิงเวยชี้ไปที่ห้องเก็บพระสูตร “ตอนนี้มีปัญหาอย่างหนึ่งไม่รู้ว่าท่านเห็นแล้วหรือยัง”
“อะไรหรือ”
“ถ้าพวกเราออกไปจากที่นี่จะต้องฝ่าห้องลับนี้ไป” นางหันหลังกลับแล้วชี้ “หากกลับไปทางเดิมที่เราจากมาจะต้องกลับไปที่ยอดเขาชุ่ยมู่ก่อนซึ่งระยะทางค่อนข้างไกลเกินไปเจ้าค่ะ”
หยางชูปวดหัว “เวลานี้พวกเราจะช้าไม่ได้”
“ใช่! ถ้ามีดินปืนก็จะดีจะได้ระเบิดกำแพงโดยตรง…”
……………
ไฟไหม้ภูเขาได้ดับลงแล้วเวลาค่ำก็เยื้องกรายเข้ามา เจี่ยงเหวินเฟิงมองยอดเขาชุ่ยมู่ท่ามกลางความมืดแล้วเลิกคิ้ว
สุดท้ายก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ก่อนพลบค่ำ
โชคดีที่พวกเขามีเบาะแสที่แน่นอนไม่เช่นนั้นก็คงหาแบบไร้จุดหมาย
ในเวลานี้องครักษ์เงาปรากฏตัวขึ้นแล้วรีบเข้ามาคารวะเขา “ใต้เท้า พบอุโมงค์แล้วขอรับ”
สติของเจี่ยงเหวินเฟิงกลับมา “คุณชายหยางล่ะ”
“คุณชายได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้” องครักษ์เงาตอบ “คนของพวกเรากำลังค้นหาต่อไป เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักพักข้าน้อยจึงมารายงานขอรับ”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “ดี พวกท่านหาต่อไป ชีวิตของคุณชายสำคัญมาก”
“ขอรับ”
องครักษ์เงาหมุนตัวกลับไปเจี่ยงเหวินเฟิงได้ยินหมิงเฉิงที่อยู่ข้างกายเขาร้องด้วยความตกใจ “ใต้เท้าดูนั่นขอรับ! นั่นคืออะไรกัน”
ทางฝั่งของหินเทพธิดาเกิดแสงสีแดงซึ่งดูคมชัดมากในยามค่ำคืน
…………………………………………….