เมื่อได้ยินเสียงขององครักษ์ หยางชูก็รีบลุกขึ้นยืน
“เจออันใดรึ”
องครักษ์นายหนึ่งคุกเข่าอยู่หน้ากำแพงกั้นและชี้ไปที่อิฐ “คุณชายดูนี่ขอรับ กำแพงฝั่งนี้แปลกไปหน่อย เหมือนจะเป็นกลไก เป็นไปได้มากว่าข้างบนมีห้องลับเชื่อมต่อกัน”
หยางชูตั้งใจมอง เขาไม่ค่อยมีความเชี่ยวชาญในเรื่องกลไก เพียงแต่เห็นร่องรอยบางอย่างเท่านั้น
“เปิดได้หรือไม่”
องครักษ์ส่ายหน้า “ดูจากรูปแบบนี้ตัวเปิดน่าจะอยู่ข้างบนขอรับ”
หยางชูเลิกคิ้ว พวกเขามาถึงที่นี่ แต่ไม่สามารถออกไปจากห้องใต้ดินนี้ได้
ข้างบนคงได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถออกไปทางที่พวกเขามาได้เช่นกัน
ไม่ต้องพูดถึงไฟเหล่านั้น ทางนั้นต้องมีคนจับตามองอยู่เป็นแน่
หากสามารถเปิดห้องลับนี้ได้….
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกำแพงขยับ กำแพงที่มีกลไกนั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นอย่างช้าๆ
หยางชูตกใจเขาหันไปมององครักษ์ทั้งหลายแล้วหันไปมองหมิงเวย “ท่านเป็นผู้เปิดหรือ”
หมิงเวยยกมือยักไหล่ นางยืนอยู่เฉยๆ จะไปเปิดได้อย่างไรกัน
แต่เมื่อเห็นกำแพงนั้นค่อยๆ ยกสูงขึ้น หินจำนวนมากก็เคลื่อนออกมาจากผนังอีกด้านแล้วในที่สุดก็รวมตัวกันเป็นขั้นบันได
ทุกคนมองขึ้นไปเห็นขั้นบันไดหินที่เชื่อมต่อกับเพดาน เท้าคู่หนึ่งที่สวมรองเท้าผ้าสีน้ำเงินยืนอยู่ด้านบน
“พวกท่านไม่ได้หากลไกอยู่หรือ ทำไมล่ะ ไม่กล้าขึ้นมาหรืออย่างไร”
พอได้ยินเสียงนี้แววตาของหมิงเวยก็เปลี่ยนไป เท้าคู่นั้นค่อยๆ ก้าวลงเดิน จนกระทั่งเดินมาถึงขั้นที่แปดถึงหยุด
ใบหน้าที่มีอายุขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงความหล่อเหลาปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา
“นายท่านสาม!” หยางชูตะโกนออกไป คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือนายท่านสามที่แต่งกายเป็นนายท่านสี่
สีหน้าท่าทางของเขาในตอนนี้แตกต่างจากนายท่านสี่อย่างสิ้นเชิง
ท่าทางสุภาพอ่อนโยนมีรอยยิ้มเล็กน้อย แต่ยังมีความหยิ่งผยองอย่างอธิบายไม่ถูก
“คุณชายหยาง” เขาคารวะอย่างสง่างาม “พวกท่านสืบพบว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ ทำให้ข้าประหลาดใจมาก”
หยางชูกล่าวอย่างเย็นชา “ท่านปรากฏตัวอย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้ ไม่กลัวข้าเอาผิดท่านหรือ”
นายท่านสามหัวเราะ “คนเที่ยงตรงพูดความจริง ไม่พูดอ้อมค้อมไม่ตรงประเด็น ตอนแรกหินถล่มตามด้วยไฟไหม้ ข้าคิดจะทำอันใด พวกท่านย่อมรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้ว จนถึงเวลานั้นหากต้องการเอาผิดข้า พวกท่านมีชีวิตรอดออกไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยพูดเถิด”
หยางชูเห็นเขาเป็นเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “หลายปีแล้วที่ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดหยิ่งยโสเท่าท่านเลย”
“ท่านชมข้าเกินไปแล้ว” นายท่านสามตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หากอาหว่านอยู่ที่นี่ด้วยนางคงพูดว่าสมกับที่เป็นพ่อลูกกัน เอาคำประชดเสียดสีของผู้อื่นเป็นคำชม ช่างไร้ยางอายเหมือนกันเสียจริง
เมื่อสนทนากับหยางชูเสร็จแล้วนายท่านสามก็หันมาทางหมิงเวยแล้วยิ้ม
“เสี่ยวชี พบพ่อแล้วไม่เรียกเลยหรือ” ราวกับพ่อลูกที่พลัดพรากจากกันมาหลายปี
หมิงเวยทำได้แค่ยิ้ม “ข้ากล้าเรียกท่านว่าท่านพ่อ แล้วท่านกล้าขานรับหรือไม่เจ้าคะ”
นายท่านสามเอามือไขว้หลัง “ทำไมข้าจะไม่กล้าเล่า ถึงเจ้าจะเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่ไหนไม่รู้ แต่มาเข้าร่างเสี่ยวชีก็ถือว่ามีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดข้าจะไม่ยอมรับได้อย่างไร”
หมิงเวยเอียงศีรษะแล้วคิด “พูดเช่นนี้ก็มีเหตุผล”
นายท่านสามถอนหายใจ “ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้าเลย ถึงแม้เจ้าจะไม่ใช่เสี่ยวชีตัวจริง แต่อย่างไรก็เป็นสายเลือดของข้า แต่เจ้าดันทุรังเช่นนี้พ่อก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก!”
“ไม่มีทางเลือกงั้นหรือ…” หมิงเวยมองเขา “ที่ท่านฆ่าท่านแม่ก็เพราะไม่มีทางเลือกด้วยงั้นหรือ”
นายท่านสามยิ้มแล้วพยักหน้า “ใช่ ไม่มีทางเลือก ผู้ใดใช้ให้นางดูออกล่ะ แม่ของเจ้าเป็นสตรีที่มีความรักอันลึกซึ้งผ่านไปสิบปีก็ยังมีพ่ออยู่ในใจ”
พอเขาพูดประโยคนี้ในที่สุดชิ้นส่วนที่ขาดหายไปที่พวกเขาได้สรุปไว้ก่อนหน้านี้ก็ครบแล้ว
หยางชูถาม “ท่านฆ่าฮูหยินสามเพราะนางจำท่านได้อย่างนั้นหรือ”
“ใช่…” นายท่านสามพูดอย่างใจเย็น “แต่เรื่องนี้ต้องโทษพวกท่าน”
“เกี่ยวอันใดกับพวกเรา”
นายท่านสามมองหมิงเวย “โทษที่เจ้าจู่ๆ ก็หายดีทำให้นางมีความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตต่อ โทษการมาของเจ้าทำให้นางมีความกล้าที่จะหลุดพ้นจากพวกเรา ข้าคนนี้มีลางสังหรณ์ที่ดีมาก ก่อนเกิดเหตุการณ์ของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋อง รู้สึกว่าไม่ถูกต้องจึงรีบออกจากเป่ยหูได้ทันเวลา พอเจ้ามาที่นี่ลางสังหรณ์ของข้าก็เตือนอีกครั้ง รู้สึกว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น”
หมิงเวยมองเขาอย่างเย็นชา
นายท่านสามดูภาคภูมิใจ “คืนวันนั้นลางสังหรณ์ของข้ารุนแรงมาก รู้สึกจะมีเรื่องแย่เกิดขึ้นจึงไปที่สวนอวี๋ฟางเพื่อเอาของ ผู้ใดจะรู้ว่าวันนั้นเป็นเจ้าที่ไปแทนแม่ของเจ้า”
เรื่องหลังจากนั้น เขาไม่ต้องพูดหมิงเวยก็คาดเดาได้
นายท่านสามไปที่สวนอวี๋ฟางเพื่อไปเอาปิ่นทอง แต่กลายเป็นฮูหยินสามจำเขาได้
“ข้าไม่ได้อยากฆ่านาง!”
นายท่านสามเอามือไพล่หลังพลางถอนหายใจ “ข้ารักแม่ของเจ้าจริงๆ ในตอนแรกเพื่อที่จะได้แต่งงานกับนาง ข้าต้องใช้ความคิดความสามารถไปไม่น้อย เดิมทีเป็นท่านอาสี่ของเจ้าที่พบนางเป็นคนแรก
โชคดีที่ข้านำหน้าเขาไปหนึ่งก้าวถึงได้แต่งงานกับนางเป็นสามีภรรยากันมาแปดปี นางให้กำเนิดแค่เจ้าเพียงคนเดียวแล้วยังเป็นเด็กโง่อีก แต่พ่อก็ไม่มีความคิดที่จะหย่ากับนางแล้วรับอนุเข้ามาเลย”
คำสารภาพนี้หากเปลี่ยนน้ำเสียงคงจะซาบซึ้งไม่น้อยเลยทีเดียว
“แต่ผู้ใดใช้ให้นางจำข้าได้ล่ะ! ข้ายังจำสีหน้าของนางได้ ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ ถามว่าใช่ข้าหรือไม่แล้วข้าจะตอบอันใดได้กันล่ะ ข้าทนไม่ได้ที่จะทำให้นางรู้สึกผิดหวังจึงตอบได้แค่ว่าใช่ นางก็ร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ ข้าเห็นนางเป็นเช่นนั้นก็ปวดใจทำได้แค่ปลอบนางไปแล้วเอาผ้าคาดเอวพันรอบคอนาง…”
หมิงเวยใกล้จะอาเจียนอยู่แล้ว จะมีคนไร้ยางอายเช่นนี้อยู่บนโลกได้อย่างไร!
สายตาของนายท่านสามจับจ้องไปที่ใบหน้าของนาง
“เจ้าโตมาได้เหมือนแม่ของเจ้ามาก” เขาพูดเบาๆ “มันทำให้ข้านึกถึงครั้งแรกที่เราพบกัน ในตอนนั้นนางสะอาดมากเหมือนน้ำค้างหยดแรกในยามเช้า ช่างงดงามและบริสุทธิ์ แต่น่าเสียดายสิ่งสวยงามมักอยู่ได้ไม่นาน แปดเปื้อนได้ง่าย…”
“นั่นไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกหรือ!” หมิงเวยตะโกนขึ้น “ไม่ใช่เพราะเจ้าหรือ นางถึงได้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น เจ้าทำให้นางมีชีวิตเหมือนอยู่ในนรก แล้วยังจะมารังเกียจที่นางไม่บริสุทธิ์อยู่อีกหรือ”
“ข้าก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น” นายท่านสามพูดเสียงเบา “ปีนั้นที่ข้าแกล้งตาย กว่าจะกลับตงหนิงได้ไม่ง่ายเลย สัตว์เดรัจฉานอย่างน้องหกก็ทำให้นางเปื้อนมลทินไปแล้ว แล้วข้าจะทำอย่างไรได้ ผู้ที่ตายไปแล้วคนหนึ่งแค่ยืนอยู่บนแสงสว่างยังทำไม่ได้เลยแล้วจะไปทวงคืนความยุติธรรมได้อย่างไร
หลายปีมานี้พ่อก็รู้สึกขมขื่น! รู้สึกอัปยศอดสูทำได้เพียงแค่อดทน แม้กระทั่งให้นางไปรับใช้ผู้อื่น เพียงแค่นึกถึงวันที่สามีภรรยารักใคร่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ก็รู้สึกปวดใจราวกับถูกมีดกรีด…”
“พอแล้วๆ” หยางชูขัดจังหวะเขาอย่างทนไม่ได้
“ท่านพูดไปแล้วไม่รู้สึกอยากอาเจียนบ้างหรือ พวกเราฟังแล้วยังอยากอาเจียนเลย นายท่านสาม อย่าอ้อมค้อมเลยที่ท่านเสี่ยงมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราคงไม่ใช่เพื่อมาสารภาพความรู้สึกหรอกใช่หรือไม่”
นายท่านสามยิ้ม “ที่คุณชายหยางกล่าวมาก็ถูก ข้าสร้างฉากการตายเช่นนี้ ไม่คิดเลยว่าพวกท่านจะเข้าไปในยุ้งฉางโดยไม่ได้ตั้งใจ เทพเซียนนำทางให้พวกท่าน ข้าก็ไม่มีทางเลือกทำได้เพียงไปตามทางแห่งสวรรค์”
“อ้อ”
นายท่านสองมองปิ่นสีทองบนเรือนผมของหมิงเวย “ดูเหมือนว่าพวกท่านจะรู้ที่มาของสิ่งนั้นแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเรามามีช่วงเวลาที่ดีกันดีหรือไม่”
หยางชูหรี่ตา “อย่างไรกัน”
“ข้าจะพาพวกท่านไปห้องลับ ขณะเดียวกันก็จะบอกเรื่องกลไกนั่นกับพวกท่านอย่างตรงไปตรงมา หากพวกท่านสามารถออกไปจากที่นี่ได้ก็สามารถนำหลักฐานความผิดออกไปได้ ข้าจะขอยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ถ้าพวกท่านไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ก็จงตายอยู่ในนี้เสียเถิด”
นายท่านสามยิ้ม “เช่นนี้ เด็ดขาดดีหรือไม่”
………………………………….