ทุกคนต่างก็พากันชื่นชมคังชือหลิน ราวกับว่าคังชือหลินคือคนที่ดีที่สุดของสมาคมค่ายกล
“ไม่ หัวหน้า ท่านบอกเองไม่ใช่รึว่าจะไม่เลือกข้า ? ” คังชือหลินลนลานและพูดขึ้นมาด้วยความกังวล
หงยู่สีหน้าเปลี่ยนไป เพราะกลัวว่าจะถูกเข้าใจผิดเขาจึงรีบพูดขึ้นมา “คังชือหลินเจ้าอย่าพูดไร้สาระ ! เจ้าใช้หูข้างไหนฟังว่าข้าจะไม่เลือกเจ้า ? ”
คังชือหลินชะงักและพูดขึ้นมา “แม้ว่าท่านจะไม่ได้พูด แต่สิ่งที่ท่านจะสื่อก็หมายถึงว่าท่านจะไม่เลือกข้าไม่ใช่รึ ? ”
“ ผู้อาวุโสคังชือหลิน ” หงยู่ถอนหายใจออกมา และพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจที่ข้าบอกผิดไป ข้าแค่บอกว่าเจ้ามีพรสวรรค์ที่ดี และมีแค่เจ้าที่มีสิทธิทำงานที่ท่านเซียนได้มอบหมายให้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกเลยที่เจ้าจะได้รับหน้าที่นี้ ”
หลังจากนั้น หงยู่ก็มองไปที่ผู้อาวุโสคนที่เหลือทันที
ทุกคนต่างก็พากันจับจ้องไปที่คังชือหลินราวกับบีบบังคับเขา
“ข้าเห็นด้วยกับหัวหน้า ผู้อาวุโสคังชือหลิน คือคนที่เหมาะสมที่สุด”
“ข้าด้วย”
“ข้าเองก็คิดว่าผู้อาวุโสคังชือหลินนั้นเหมาะสมแล้ว ข้าไม่คิดว่าหัวหน้าจะคิดเหมือนกันกับข้า”
ตอนนั้นทุกคนต่างก็พากันเสนอชื่อคังชือหลิน ไม่มีใครคัดค้านเลย นอกจากตัวคังชือหลินเอง
ลั่วซู่หยางไม่ได้โง่ เป็นธรรมดาที่เขาจะเข้าใจดีว่าหงยู่และผู้อาวุโสพวกนี้ทำอะไร แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามพวกนี้ เขาอยู่เฉยๆและปล่อยให้คนเลือกคังชือหลิน
สำหรับคังชือหลินแล้ว ลั่วซู่หยางรู้จักอีกฝ่ายแค่เล็กน้อย แต่ความสามารถของอีกฝ่ายนั้นถือว่าดีแต่ก็ไม่ได้ดีนัก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีที่ว่างในสมาคมค่ายกลให้กับคังชือหลิน บางทีการออกจากที่นี่ไปยังสำนักคังเฉียงในฐานะอาจารย์ อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคังชือหลิน
“เอาล่ะ ผู้อาวุโสคังชือหลิน เป็นเจ้านี่แหละ” ลั่วซู่หยางไม่ได้เปิดโอกาสให้คังชือหลินได้ปฏิเสธ
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วซู่หยาง ผู้อาวุโสหลายคนต่างก็พากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
หงยู่แอบถอนหายใจ ในที่สุดเขาก็กำจัดคนที่เป็นหอกข้างแคร่ของเขาได้ !
ลั่วซู่หยางมองไปที่หงยู่และผู้อาวุโสคนอื่นๆ แต่กลับไม่ได้เข้าไปขัดขวางอะไร เขาหันไปมองคังชือหลินและพูดขึ้นมา “ผู้อาวุโสคังชือหลิน อย่าผิดหวังไปเลย สำนักที่เจ้าจะไปเป็นอาจารย์ให้นั้นไม่ได้ธรรมดาแบบที่เจ้าคิด ”
คังชือหลินทั้งสลดและอยากร้องไห้ เขาไม่ได้ยินอะไรเลยแม้แต่น้อย
ไม่ธรรมดา ?
มันไม่ธรรมดาแต่มันก็เป็นแค่สำนัก มันจะเทียบกับสมาคมค่ายกลได้ยังไง ?
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ได้โกหกที่ว่าเขารักสมาคมค่ายกล สมาคมค่ายกลคือบ้านหลังที่สองของเขา หากดูทั้งสมาคมแล้วอาจจะไม่มีใครภักดีต่อสมาคมเท่ากับเขา แต่ตอนนี้บ้านหลังที่สองของเขากลับไล่เขาออกไป เขาจะรับผลลัพธ์นี้ได้ยังไง ?
เขาเหมือนกับโดนญาติสนิทหักหลัง ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้
“ข้าบอกเจ้าได้แค่ว่าสำนักนั้นชื่อสำนักคังเฉียง มันตั้งอยู่บนภูเขาร้างที่เขตเหนือภายในเขตตงโจว ข้อมูลเกี่ยวกับสำนักคังเฉียงนั้นเมื่อเจ้าไปถึง เจ้าจะเข้าใจเองว่าข้าพูดถึงอะไร เจ้าไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ได้” ลั่วซู่หยางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าอย่าคิดว่ามันเป็นโชคร้าย อันที่จริงแล้วนี่คือโอกาสครั้งใหญ่ของเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะข้ากับสมาคมค่ายกลเกี่ยวข้องกันมาเกินไป ข้าคงอาสาไปเอง โชคนี้คงไม่ได้ตกไปถึงเจ้า”
ทำไมลั่วซู่หยางถึงไม่พูดสิ่งที่เขาได้รู้ เกี่ยวกับสำนักคังเฉียงมา ?
เพราะเขารู้ดีว่าเรื่องแบบนี้มันน่าตกใจ และฟังดูตลกเกินการรับรู้ของคนได้ แม้ว่าเขาจะพูดออกมาแต่ก็คงไม่มีใครเชื่อ แล้วทำไมเขาต้องเปลืองน้ำลายด้วย ?
ลั่วซู่หยางมองไปที่คังชือหลินและพูดต่อ “ข้าหวังว่าเจ้าจะทำงานของเจ้าให้ดี และรับผิดชอบหน้าที่ของอาจารย์เอาไว้ …บางที เจ้าอาจจะประสบความสำเร็จในระดับที่เจ้าก็คาดไม่ถึง จนแม้แต่สมาคมค่ายกล, แม้แต่ข้า เจ้าก็อาจจะมองข้ามพวกเราได้ ”
ทุกคนได้ยินแบบนั้นต่างก็พากันตะลึง
สำนักไหนกันที่มีอำนาจมากแบบนั้นได้ ?
เซียนค่ายกลบ้าไปแล้วหรือไง ?
ไม่มีใครเชื่อในคำพูดของลั่วซู่หยางเพราะมันฟังดูเกินจริงไป
ในสายตาของพวกเขาแล้ว สมาคมค่ายกล, ปรุงยาและหลอม คือสามสมาคมชั้นนำของทวีปป่า แม้แต่พันธมิตรร้อยสำนักก็ยังด้อยกว่า บอกได้ว่านี่คือบัลลังก์ระดับสูง ลั่วซู่หยางชมว่าสำนักคังเฉียงเหนือว่าสมาคมค่ายกล แน่นอนว่าทุกคนไม่เชื่อเรื่องนี้ พวกเขาคิดว่าลั่วซู่หยางคงแต่งเรื่องเพื่อโกหกคังชือหลิน
คังชือหลินเงียบไปอยู่สักพักและเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา “มันไม่มีโอกาสหายากสำหรับผู้น้อยอย่างข้า ผู้น้อยหวังแค่ว่าจะได้อยู่ในสมาคมค่ายกลนี้ไปตลอด ”
“คังชือหลิน! ” ลั่วซู่หยางสลดไป “ ช่างเถอะ ข้าไม่อยากพูดออกมาเป็นครั้งที่สอง ”
เมื่อพูดจบเขาก็แผ่จิตสังหารออกมาครอบคลุมไปทั่วทั้งห้องโถง ทุกคนต่างก็รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา
คังชือหลินเหงื่อผุดขึ้นมาและแทบจะหายใจไม่ได้
“ท่านเซียน ยกโทษให้ข้าด้วย ! ” คังชือหลินหน้าซีดเผือด เขารีบพูดขึ้น “ ข้าเต็มใจจะไปยังสำนักคังเฉียง ไม่คัดค้านใดๆ ! ”
เขามั่นใจว่าหากเขากล้าปฏิเสธ งั้นเซียนค่ายกลคงฆ่าเขาทีนี่
แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการออกจากสมาคมค่ายกล และไม่เต็มใจไปยังสำนักคังเฉียงเพื่อเป็นอาจารย์แต่เขาก็ยังไม่อยากตาย
ตอนที่คังชือหลินก้มหน้ายอมรับผลลัพธ์นี้ จิตสังหารก็ได้หายไปในทันทีราวกับว่ามันไม่เคยมีมาก่อน
“ดีมากคังชือหลิน ข้าไม่ผิดหวังในตัวเจ้า” ใบหน้าที่เย็นชาของลั่วซู่หยางกลับเผยรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มที่อบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ เขาเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็วจนทำให้ทุกคนตะลึง “ เจ้าไปเก็บของเถอะ ข้าขอจบการประชุมแต่เพียงเท่านี้ ไปได้ ”
เขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก และเขาอยากส่งคังชือหลินไปที่สำนักคังเฉียงทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าต้องไปจัดการ เขาจึงต้องให้คังชือหลินไปที่สำนักคังเฉียงเพียงลำพัง “ ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน ด้วยความเร็วของเจ้าแล้วเจ้าน่าจะไปถึงสำนักคังเฉียงในสามวันได้ ”
เมื่อเห็นว่าลั่วซู่หยางกำหนดเวลาไว้คังชือหลินก็ต้องเศร้ากว่าเดิม
“ได้ ท่านเซียน !” คังชือหลินตอบกลับด้วยความสลด
ตอนนั้นคังชือหลินเหมือนกับหมดแรง เขาราวกับคนกำลังจะตายที่เหลือเวลาชีวิตไม่กี่ปี
อาณาจักรโจวที่เขตเหนือเป็นที่ที่ห่างไกลและล้าหลัง ที่นั่นจะมีสำนักดีๆได้ยังไง ?
คังชือหลินไม่ได้ใส่ใจคำพูดของลั่วซู่หยางเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาไม่คิดจริงๆว่าเขตเหนือจะมีสำนักดีๆได้ ไม่ว่าสำนักจะดีแค่ไหนแต่จะดีกว่าสำนัก 6 ดาวในเขตกลางและที่อื่นๆได้รึ ?
เขตเหนือคือที่ล้าหลังที่สุดของทวีปป่า ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ ที่นั่นมีสำนัก 6 ดาวเพียงไม่กี่แห่งและสำนัก 6 ดาวเหล่านั้นก็หายไปตามประวัติศาสตร์…
“ทำให้ดี อย่าทำให้ข้าผิดหวัง” ลั่วซู่หยางเดินไปตรงหน้าคังชือหลินก่อนจะตบไหล่อีกฝ่ายและพูดขึ้น “เจ้าอาจจะไม่เข้าใจว่าตอนนี้ข้าพูดถึงอะไร แต่มันก็ไม่สำคัญ เจ้าต้องทำให้ดี จำคำพูดข้าไว้ เมื่อเจ้าไปยังสำนักคังเฉียง เจ้าจะเข้าใจเอง ”
ลั่วซู่หยางไม่มีลูก ไม่งั้นแล้วเขาคงส่งลูกเขาไปที่สำนักคังเฉียงโดยไม่ลังเล โอกาสแบบนี้คงไม่ตกเป็นของคังชือหลิน
ในมุมมองของลั่วูซู่หยางนั้น สำนักคังเฉียงคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่คังชือหลินเข้าร่วมสำนักคังเฉียง อนาคตของเขาก็ไร้ขีดจำกัด !
ท่าทีของลั่วซู่หยางทำให้คังชือหลินรู้สึกอบอุ่น ตลอดการอยู่ในสมาคมค่ายกลมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วซู่หยางพูดกับเขาอ่อนโยนและใกล้ชิดแบบนี้ เขาถึงกับรู้สึกว่าลั่วซู่หยางไม่ได้คิดว่าเขาเป็นลูกน้องแต่ปฏิบัติต่อเขาอย่างเท่าเทียมด้วย
“ อย่าแปลกใจไป” ลั่วซู่หยางเหมือนจะรับรู้ความรู้สึกของคังชือหลินได้ เขาพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าถือว่าเป็นคนของสำนักคังเฉียงแล้ว เป็นธรรมดาที่ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าเช่นเดิมไม่ได้ รอให้เจ้าเข้าร่วมสำนักคังเฉียงให้ได้เต็มตัวก่อน จากนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าอาจารย์ ไม่ใช่แค่ข้า แม้แต่เซียนโอสถ, เซียนอักษรและเซียนหลอม เมื่อพวกเขาพบเจ้าในอนาคต พวกเขาก็จะเรียกเจ้าว่าอาจารย์ ตำแหน่งของเจ้าไม่ได้ด้อยกว่าพวกเราเลย ! ”
คังชือหลินมองไปที่ลั่วซู่หยางด้วยความสับสน
“จริงรึ ? ข้าคังชือหลินจะถูกเรียกว่าอาจารย์โดยเหล่าเซียนทั้งสี่รึ?” เขาแทบไม่เชื่อเรื่องนี้
ลั่วซู่หยางแสดงสีหน้าจริงจังออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้โกหก
คังชือหลินอดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจจะมีฐานะเท่าเทียมกับยอดฝีมือระดับสูงสุดในอนาคต
หงยู่และผู้อาวุโสคนที่เหลือต่างก็มองคังชือหลินไม่ต่างอะไรจากคนโง่ “ ท่านเซียนโกหกแบบนี้ แต่ก็ยังเชื่ออยู่อีกรึ ? สมองเขายังปกติดีอยู่รึ ? ” ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังไม่เชื่อคำพูดของลั่วซู่หยาง
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองคังชือหลินด้วยความสงสาร
แต่มันก็แค่สงสาร ไม่มีใครอยากไปแทนที่คังชือหลินเพื่อไปยังสำนักคังเฉียงในฐานะอาจารย์ เรื่องแย่ๆและยุ่งยากมักตกเป็นของคังชือหลินเสมอ แล้วจะมีใครให้คังชือหลินอยู่ในสมาคมค่ายกลต่อ ? เขายังไม่มีพรรคพวกด้วย
สายตาของลั่วซู่หยางว่องไว เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงในสายตาของหงยู่ และคนอื่นๆแต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาแค่แอบส่ายหน้า “ คนพวกนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพลาดอะไรไป…”
พวกโง่ !
“ เอาล่ะ ผู้อาวุโสคังชือหลิน เจ้าควรไปได้แล้ว ” ลั่วซู่หยางละสายตากลับมาและบอกกับคังชือหลินผ่านการส่งข้อความ “ ใช่สิ หลังจากที่ไปถึงสำนักคังเฉียง ข้าฝากทักทายเจ้าสำนักด้วยและฝากข้อความบอกเขาทีว่าข้าจะภารกิจที่เจ้าสำนักมอบหมายมาให้สำเร็จภายในเวลาที่กำหนด และจะไม่มีทางทำให้เจ้าสำนักผิดหวัง !”