ด้านหน้าตำหนักฮงฮวา มีขันทีโชและเหล่าขันทีรับใช้ยืนรอรับเสด็จอยู่
“ตื่นบรรทมแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
จาฮอนพยักหน้ารับเล็กน้อยแล้วตรงไปยังตำหนักฮวังรยงเพื่อร่วงประชุมขุนนาง ทว่าเมื่อมาถึงหน้าตำหนักกลับพบว่ามีเสื่อฟางกางปูเอาไว้จนมองไม่เห็นพื้นหิน โดยเหล่าขุนนางสวมชุดผ้าป่านสีขาวนั่งคุกเข่าอยู่ บรรดาขุนนางเหล่านั้นล้วนขุนนางสังกัดฝ่ายเช อีกทั้งยังมีจำนวนเกินครึ่งของขุนนางในท้องพระโรง ความดื้อดึงของคนเหล่านั้นทำให้ในใจของจาฮอนเดือดพล่าน
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
“ฝ่าบาท! ขอทรงโปรดเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ ปล่อยท่านผู้เฒ่ามหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการในคุกหลวงอันหนาวเหน็บเช่นนี้มิได้ โปรดทรงทบทวนการกระทำอันหมายเอาชีวิตขุนนางผู้ภักดีด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“โปรดทรงเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เหล่าขุนนางฝ่ายเชพากันค้อมศีรษะแนบติดพื้น เสียงเอ่ยขอให้ฝ่าบาทปล่อยมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการออกจากคุกหลวงดังก้องเสียจนตำหนักฮวังรยงสั่นสะเทือน
ร่างสูงเดินผ่านผู้คนเหล่านั้นมาหยุดยืนตรงทางเข้าตำหนักฮวังรยง หลังจากกำหนดลมหายใจอยู่ครู่หนึ่งจึงหันกลับมาจ้องมอง ความไม่สบอารมณ์ที่โซกังพยายามช่วยอย่างสุดกำลังให้มันบรรเทาลง ถูกก่อกวนจนกลับเป็นขุ่นมัวเช่นเดิม มิหนำซ้ำยังเพิ่มทวีคูณยิ่งขึ้น
ดวงตานับสิบคู่ที่จดจ้องมาทำให้รู้สึกเช่นนั้น ทันทีที่หันหลังกลับมา ผู้คนตรงหน้าก็เหลือบสายตาขึ้นมามองเพื่อสังเกตสีหน้าของตน และเมื่อหันกายกลับมาเต็มตัว ทุกคนจึงยิ่งค้อมต่ำจนหน้าผากสัมผัสเสื่อ
จากนั้นขุนนางวัยล่วงเลยห้าสิบปีและมีตำแหน่งต่ำกว่ามหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการเล็กน้อย ก็เริ่มต้นออกหน้า
“ใยถึงทรงกลั่นแกล้งขุนนางผู้ภักดีของจักรพรรดิองค์ก่อน มิใช่เรื่องที่เหมาะควรเลยพ่ะย่ะค่ะ
“ฝ่าบาท! โปรดทรงเมตตาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“โปรดทรงเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จาฮอนถอดถอนใจเฮือกใหญ่และพยายามผ่อนคลายจิตใจ ทว่าถึงจะอย่างไรสุดท้ายก็ไม่อาจอดกลั้นโทสะได้ ขณะตัดสินใจจะแสดงโทสะก็พลันนึกถึงคำพูดของโซกัง
ความจริงแล้วจนถึงเวลานี้ แม้ทุกคนจะเคยได้ยินคำกล่าวเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งและไร้ความเมตตาอย่างร้ายกาจแล้ว แต่กลับไม่เคยได้ยินน้ำเสียงแสดงโทสะดั่งเพลิงอัคคีเลยสักครั้ง ทว่าเรื่องราวในครั้งนี้ ไม่เพียงก่อให้เกิดความขุ่นเคืองมหาศาลเท่านั้น กระทั่งโทสะก็ยังเพิ่มขึ้นตามด้วย ทั้งความรุนแรง ทั้งจำนวนครั้งก็เพิ่มขึ้นจนสังเกตเห็นชัด ภายในตำหนักฮงฮวาขณะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตำหนักฮวังรยงให้โซกังฟัง เขาก็ขว้างปาถ้วยชาลงพื้นจนมันแตกกระจายไม่รู้ตั้งกี่ใบ
อีกทั้งในวันหนึ่ง ไม่ใช่แค่เพียงถ้วยชา ยังขว้างปากระทั่งถาดขนมยักกวาทิ้งด้วย หากไม่ใช่โซกังมาช่วยเกลี้ยกล่อมปลอบโยนแล้ว จนถึงตอนนี้เขาคงไม่อาจจะตระหนักว่าเหตุใดตนถึงไม่อาจผ่อนคลายและมีโทสะปะทุล้นเช่นนี้
‘กระหม่อมไม่เป็นอะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านจาฮอนโกรธเพราะคนเหล่านั้นตั้งใจทำร้ายกระหม่อม เรื่องนั้นก็ทำให้กระหม่อมดีใจอย่างยิ่ง แต่กระหม่อมก็ไม่ปรารถนาให้โทสะมากัดกินและทำลายสวามีผู้เป็นที่รักเช่นกัน กระหม่อมมีร่างกายอ่อนแอมาแต่กำเนิด กระทั่งอาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังกลายเป็นหนักหนาได้ ดั่งเช่นที่หมอหลวงกราบทูลอยู่เสมอ ก่อนหน้านี้ยามถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง สตรีอย่างโซยงยังมิป่วยไข้ ทว่ากระหม่อมกลับป่วยเสียอย่างนั้น ดังนั้น นี่ก็คือเป็นความรับผิดชอบของกระหม่อม ต้องคอยใส่ใจสุขภาพของสวามี หากเอาแต่มีโทสะไม่รู้จบเช่นนี้ เกิดเป็นโรคร้ายแรงขึ้น กระหม่อมจะทำเช่นไรได้เล่า’
‘โซกังอา…’
‘ท่านจาฮอน หรือทรงรังเกียจที่จะให้กระหม่อมรับผิดชอบหรือ’
‘ไม่มีทาง แน่นอนว่าเจ้าต้องรับผิดชอบข้า ดังนั้นอย่าได้ถามคำถามไร้สาระเช่นนี้เลย’
หลังจากฟังคำพูดยาวเหยียดของร่างบาง จาฮอนก็ตระหนักแล้วว่าตนแสดงโทสะต่อคนเหล่านั้นด้วยเรื่องส่วนตัว พลันเข้าใจว่าเป็นความโกรธเพราะตั้งใจทำให้คนรักของเขาบาดเจ็บและผลักลงในหลุมลึกของความทรมาน
มันย่อมดีกว่าการสั่งสมความโกรธแค้นไปเรื่อยๆ ก็จริง ทว่าถึงจะปลดปล่อยโทสะออกมามากมายเพียงใด สุดท้ายมันก็เพียงย้อนคืนสู่ตัวเองเท่านั้น อีกทั้งพอปลดปล่อยอย่างไร้จุดหมาย ก็ไม่ได้ทำให้ได้รับสิ่งที่ต้องการ กลับกลายเป็นว่าอาจทำให้สูญเสียคนของตนด้วยซ้ำ ดังนั้นควรคำนึงถึงผลได้ผลเสียก่อน ถึงแสดงโทสะออกมาก็ย่อมเป็นเรื่องดี
จาฮอนขบคิดเรื่องเหล่านั้นตามคำกล่าวของโซกัง เขาจึงแสดงสีหน้าโกรธเคืองอย่างชัดแจ้ง ทว่าไม่ได้ระเบิดโทสะ เพียงแสดงมันออกมาให้เห็นพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงข่มขู่
“เมตตาหรือ! ตอนนี้พวกเจ้ากำลังบอกให้เราเมตตานักโทษผู้โหดเ**้ยมเช่นนั้น! ทั้งๆ ที่ความผิดของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการมากมายเสียจนอัดแน่นเต็มบันทึกเล่มหนึ่ง ทว่าพวกเจ้ากลับมาขอความเมตตาจากเรา ด้วยเหตุผลเพียงแค่เขาเป็นขุนนางในจักรพรรดิองค์ก่อน!”
“จักรพรรดิองค์ก่อนทรงเอาใจใส่และเชื่อใจท่านมหาเสนาบดีตุลาการมากเพียงใด ฝ่าบาทเองก็ทรงทราบดีที่สุดมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“รู้สิ เรารู้ดีเลยล่ะ มหาเสนาบดีตุลาการทำอะไรจักรพรรดิองค์ก่อนบ้างกันเล่า! ส่งสตรีผู้นั้นเข้ามาปลุกปั่น ไหนจะลักลอบพบกับสนมของจักรพรรดิ ไหนจะส่งนักฆ่าเข้ามาในวังหลวง พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือ!”
“ฝ่าบาท ทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว เมื่อครั้งเป็นรัชทายาท พระองค์ทรงสนิทสนมกับคยองยูล มหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการเป็นอย่างมาก เรื่องนั้นทุกคนต่างทราบดี เข้าใจว่าฝ่าบาทคงจะเชื่อว่าคนสนิทอย่างคยองยูลเป็นผู้ซื่อสัตย์ ทว่าหากจะทรงใช้ความรู้สึกส่วนพระองค์มาข่มเหงฝ่ายเชและผู้นำของฝ่ายเช เห็นทีคงจะมิได้พ่ะย่ะค่ะ”
ถ้อยคำของขุนนางผู้หนึ่งทำให้สีหน้าของจาฮอนยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก ก่อนหน้านี้เขาก็แสดงสีหน้ากรุ่นโกรธแจ่มชัดแล้ว แต่ครานี้กลับสัมผัสได้ถึงรังสีแห่งการฆ่าฟัน หากเขาเป็นนักรบเถื่อนและถือดาบอยู่ในมือเวลานี้ ศีรษะของขุนนางที่พ่นถ้อยคำเช่นนั้นออกมาก็คงจะลอยขึ้นกลางอากาศทันใด
ความป่าเถื่อนถึงเพียงนั้นเข้าครอบคลุมความรู้สึกของจาฮอน เพราะคำว่าข่มเหงกระตุ้นโทสะเขา
คนเหล่านี้ไม่สมควรเอ่ยถ้อยคำเช่นนั้นเลย ทำให้คนกลุ่มหนึ่งต้องโดนขับไล่ด้วยข้อหากบฏ ผู้คนมากมายถูกจองจำในคุกด้วยเหตุผลแค่ว่ามีสายเลือดของกบฏโดยไม่ทราบสาเหตุ ประกาศให้คนผู้หนึ่งตายแล้วโยนสู่ฐานะทาส ทว่าโซกังยังกัดฟันอดทน เลือกจะมีชีวิตต่อเพื่อผู้คนเหล่านั้น แม้ตนจะถูกทำร้ายอย่างไร้เมตตา
ฝ่ายเชทำให้โซกังต้องมีชีวิตเช่นนั้น พวกมันไม่มีสิทธิ์เอ่ยคำว่าข่มเหงออกมาด้วยซ้ำ เพราะต้องเปลี่ยนแปลงราชสำนักเพื่อกุมอำนาจ ฝ่ายเชและมหาเสนาบดีตุลาการกลับเหยียบย่ำชีวิตของผู้คนมากมาย ไม่ควรเปิดปากพูดคำนี้ออกมาขอความเมตตาของผู้ใด
เหล่าขุนนางฝ่ายเชช่างไร้ความละอาย
“ใช้ความรู้สึกส่วนตัวข่มเหงฝ่ายเชอย่างนั้นหรือ ช่างน่าขัน ขันทีโชเร่งเท้าไปยังตำหนักอุนฮยอน แล้วนำม้วนกระดาษห่อด้วยผ้าแพรสีเหลืองมาให้ข้าที”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีโชตอบรับรับสั่งของฝ่าบาททันควันและขยับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ปกติแล้วย่อมต้องเรียกข้ารับใช้ไปจัดการ แต่ตนก็ทราบดีว่านั่นเป็นหนึ่งในหลักฐานที่พระองค์จะทรงใช้ยามไต่สวน ดังนั้น ขันทีโชจึงเลือกจะจัดการด้วยตนเอง
ทันทีที่ขันทีโชขยับก้าวรวดเร็วจนลับตาจากตำหนักฮวังรยง ฝ่าบาทก็ไม่ได้กล่าวอันใดอีก แต่ขยับก้าวอย่างเชื่องช้า เดินทอดน่องผ่านกลุ่มคนที่หมอบอยู่บนเสื่อฟางแล้วสำรวจเหล่าขุนนางของราชสำนัก ไม่ใช่การสำรวจตรวจสอบว่าเป็นตำแหน่งใด แต่ตรวจสอบว่าไม่มีผู้ใดอยู่บ้างต่างหาก นั่นเป็นการประเมินอย่างรวดเร็วแม้จะมีขุนนางจำนวนมากหมอบอยู่ มันเผยให้เห็นว่าราชสำนักถูกขุนนางฝ่ายเชครอบครองมากเพียงใดแล้ว
ร่างสูงขยับก้าวย่างพลางสำรวจว่า ณ ที่แห่งนี้มีผู้ใดอยู่และมีผู้ใดไม่อยู่บ้าง ก่อนจะกลับมายืนด้านหน้าตำหนักฮวังรยงอีกครั้ง
“เราได้เห็นแล้วว่ามีใครอยู่และไม่มีใครอยู่บ้าง พวกเจ้าเลือกพวกพ้องแทนความถูกต้อง แทนกฎหมายบ้านเมือง เราไม่เคยข่มเหงฝ่ายเช ฝ่ายเชต่างหากที่ขัดขวางการประชุมขุนนางของเรา อีกทั้งยังสร้างความกระทบกระเทือนจิตใจ เช่นนั้น เห็นทีเราก็คงจะต้องลงโทษฝ่ายเชด้วยความรู้สึกส่วนตัวเสียบ้าง!”
“ฝ่าบาท! เรื่องนั้น…!”
“องครักษ์ฮวังรยงเข้ามา ตั้งแต่ตอนนี้ไม่ต้องสนฐานะใดๆ ทั้งสิ้น ผู้ใดกล้าเปิดปากจงตัดหัวมันเสีย เราอนุญาต”
“พ่ะย่ะค่ะ”
แม้จะเป็นรับสั่งอย่างกะทันหัน แต่เหล่าองครักษ์ฮวังรยงก็ตอบรับทันทีโดยไม่มีความลังเล กระทั่งทหารที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ขุนนางหลุดปากอุทาน หน่วยฮวังรยงก็ถึงกับเล็งดาบไปทางคนผู้นั้น จาฮอนยกยิ้มเย็นเยียบพร้อมกับกล่าวต่อ
“ตั้งแต่ตอนนี้ เราไม่อยากได้ยินคำพูดสักคำจากพวกเจ้า พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดปาก”
หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว ยังจาฮอนคือจักรพรรดิผู้แสดงท่าทีเผด็จการอย่างเฉียบขาด ด้วยการปลดเสนาบดีทั้งสามฝ่ายสู่ตำแหน่งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์แทน
ยามนั้นมีการลากขุนนางกว่าสิบคนออกไปด้านนอกตำหนักฮวังรยง มีสองคนถูกคมดาบจ่ออยู่ ทว่าไม่มีผู้ใดถูกประหารทั้งสิ้นเพราะฝ่าบาทไม่มีรับสั่ง ทว่าเวลานี้กลับเอื้อนเอ่ยรับสั่งว่าอนุญาตให้ ‘ตัดหัว’ ได้ทันที
แต่อย่างไรก็ตามด้วยความรักตัวกลัวตาย ทำให้เหล่าขุนนางไม่กล้าเปล่งเสียงและได้แต่คอยลอบสังเกตเท่านั้น รวมถึงบางส่วนก็คิดว่าอาจจะต้องถูกประหารจริงๆ และพวกตนก็มีเพียงชีวิตเดียวจึงไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ชีวิตก็ย่อมเป็นสิ่งสำคัญมิใช่หรือ ทว่าจะมาเสียใจกับคำตรัสว่าหากเปิดปากจะถูกประหาร มันก็สายไปเสียแล้ว