ตอนที่ 433 : ตามหาคนและยืมกำลังคน
พลังของเฉินกูพุ่งทะยานขึ้นมา ซึ่งชัดแล้วว่ามันคือการทะลวงผ่าน
แม้ว่าพลังนี้จะอ่อนแอกว่าอ้าวเยว่อยู่ แต่อย่างน้อยมันก็มีสิทธิที่จะนำไปเทียบกับอ้าวเยว่ได้ และไม่ได้ถูกพลังของนางบดขยี้แบบแต่ก่อน
อ้าวเยว่มองไปที่เฉินกูและดึงพลังกลับมา
นางไม่อาจจะลงมือได้ในระหว่างที่เฉินกูทะลวงผ่าน หากจะชนะ นางต้องชนะอย่างมีเกียรติ !
เมื่อไม่มีพลังของอ้าวเยว่มากดทับ เฉินกูก็ไม่ได้วอกแวกอีกต่อไป เขาเพ่งสมาธิกับการอัดแน่นระดับการบ่มเพาะของตัวเอง ไม่นานพลังของเขาก็คงที่
“ ยินดีด้วย อาจารย์เฉิน ” จางหยูเป็นคนแรกที่แสดงความยินดี
“ ยินดีด้วย อาจารย์เฉิน ! ” คนของสำนักคังเฉียงต่างก็พากันยินดีกับเขา
“ ยินดีด้วยอาจารย์ ! ” มังกรแดงและอินทรีย์ปีกฟ้า รวมถึงสัตว์อสูรตัวอื่นๆพากันแสดงความยินดีออกมา
“ ยินดีด้วยราชาสัตว์อสูร ! ” เซียนทั้งสี่รู้สึกหนักใจ แต่พวกเขาก็ยังแสดงความยินดีออกมา
มีแค่อ้าวเยว่และอ้าวอู่เหยียนที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของทุกคน เฉินกูก็หัวเราะออกมา “ ขอบคุณ ขอบคุณเจ้าสำนัก ขอบคุณทุกคน ! ”
หลังจากที่ติดอยู่ขั้นสูงในระดับสูงสุดมากว่า 2-3 พันปี ในที่สุดเขาก็ทะลวงผ่านได้ เขาจะหงุดหงิดได้ยังไง ?
ตอนนี้เขาพอจะทัดเทียมกับคนจากเผ่ามังกรได้ เขาทัดเทียมกับผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่ามังกรได้
“ เจ้า…” เฉินกูมองไปที่อ้าวเยว่ “ ขอบคุณมาก ”
พูดไปแล้วการที่เขาทะลวงผ่านได้นี้ ถือว่าอ้าวเยว่มีส่วนไม่ใช่น้อย หากไม่ใช่เพราะแรงกดดันจากอ้าวเยว่ เขาอาจจะทะลวงผ่านไม่ได้ ที่สำคัญกว่านั้นคือ ตอนที่เขาทะลวงผ่าน อ้าวเยว่ก็ไม่ได้ใช้โอกาสนี้เข้าโจมตี ซึ่งทำให้เขาซาบซึ้งในตัวนางอย่างมาก
ตอนนั้นเฉินกูมั่นใจว่าตัวเองมีฐานะเพียงพอที่จะพูดคุยกับอ้าวเยว่ และสภาพจิตใจของเขาก็เปลี่ยนไป เขาไม่ได้สนใจเรื่องคำดูหมิ่นของอ้าวเยว่อีกต่อไป
ยิ่งด้อยกว่าเท่าไหร่ คนเรายิ่งรู้สึกด้อยเกียรติเท่านั้น คนที่แข็งแกร่งที่แท้จริงจะมองว่ามันเป็นเรื่องตลกเท่านั้น
อ้าวเยว่ตกใจ นางไม่คิดว่าเฉินกูจะพูดแบบนี้ออกมา
“ ไม่จำเป็น ” อ้าวเยว่พูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ ข้าต้องการจะชนะก็จริง แต่ใช่ว่าจะใช้วิธีไร้เกียรติ ”
นางพูดขึ้นด้วยท่าทีเฉยเมย “ เจ้าทะลวงผ่านขึ้นมาแล้วยังไง ? ข้ายังมั่นใจว่าข้ายังเอาชนะเจ้าได้ ”
มันไม่ยากที่จะเห็นได้ว่านางมั่นใจแค่ไหนเมื่อดูจากคำพูดนี้
“ ข้ายอมรับว่าตอนนี้ข้ายังไม่ใช่คู่มือของเจ้า ” จิตใจของเฉินกูเปลี่ยนไปอย่างมาก แม้ว่าคำพูดของอ้าวเยว่จะฟังดูไม่น่าพอใจ แต่เขาก็ยังคงยิ้มออกมา “ แต่คงอีกไม่นาน ข้าจะก้าวข้ามเจ้า ข้ามั่นใจว่าข้าจะทัดเทียมกับเจ้าได้ ” ทั้งสองต่างก็เข้าใจกฎในระดับที่พอๆกัน ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ แต่ในการใช้งานกฎนั้น อ้าวเยว่ใช้มันได้ดีกว่าเขา
“ เหนือกว่าข้ารึ ? ” มุมปากของอ้าวเยว่ยกขึ้น ความมีเสน่ห์ที่ยากจะพบได้ ทำให้ผู้คนรอบๆตะลึง “ดี ข้าจะรอดู ”
ครั้งนี้อ้าวเยว่ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่จากคำพูดของนางแล้ว ก็ยังเห็นได้ว่านางมั่นใจในตัวเอง
เมื่อบรรยากาศเป็นกันเองขึ้น จางหยูก็เผยรอยยิ้มพอใจออกมา ในที่สุดสองคนนี้ก็หยุดทะเลาะกันแล้ว
ลั่วซู่หยางลังเลและพูดขึ้นมา “เจ้าสำนัก หากไม่มีอะไรแล้วพวกเราขอตัว ”
หยางเพ้ยอัน,ชุยเจี่ยนและหงจินเป่า พากันมองหน้ากันและพูดขึ้นมา “เจ้าสำนัก พวกเราขอตัว ! ”
เมื่อได้เห็นความแข็งแกร่งของเฉินกูและอ้าวเยว่ รวมไปถึงการทะลวงผ่านของเฉินกู ทั้งสี่คนต่างก็รู้สึกร้อนใจ พวกเขาอยากกลับไปที่เขตกลางในตอนนี้ทันที
เผ่ามังกรมียอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นสูงสุดถึง 2 คน และตอนนี้ราชาสัตว์อสูรก็ก้าวขึ้นไปถึงระดับนั้นได้ ไม่รู้ตัวเลยว่าเผ่ามนุษย์กลับด้อยกว่ามาก ช่องว่างของความแข็งแกร่งทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงวิกฤต พวกเขาอยากจะพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่อาจจะล้าหลังหลังราชาสัตว์อสูรได้มากนัก
จางหยูไม่ได้คิดจะยุ่งอะไรกับเรื่องนี้ แต่เมื่อเขามองไปยังเซียนทั้งสี่ อยู่ๆเขาก็พูดขึ้น “ ช้าก่อน พวกเจ้าช่วยอะไรข้าหน่อยได้หรือไม่ ? ”
“ เจ้าสำนัก ท่านบอกมาได้เลย ! ” ลั่วซู่หยางตอบกลับด้วยความเคารพ
เขาตัดสินแล้วว่า จางหยูคือตัวตนที่น่ากลัวเหนือกว่าขอบเขตตุ้นซวน เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่กล้าพูดกับจางหยูด้วยท่าทีดังเดิม เขาไม่กล้าจะคัดค้านคำพูดของจางหยูด้วยซ้ำ เขาอยากให้จางหยูบอกให้เขาช่วย ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี ซึ่งนั่นจะทำให้เขาผูกมิตรกับจางหยูได้มากขึ้น และเขาอาจจะมีหวังที่จะก้าวขึ้นไปในระดับที่เขาคาดไม่ถึง
หากไม่ใช่เพราะมันยากที่จะแยกตัวจากสมาคมค่ายกลได้ งั้นเขาคงอยากเข้าร่วมสำนักคังเฉียง
หยางเพ้ยอัน,ชุยเจี่ยนและหงจินเป่าเอง ก็มีความคิดและท่าทีแบบเดียวกัน
“ ข้าอยากให้พวกท่านช่วยหาคนสักคน…ไม่สิสามคน ! ” จางหยูสูดหายใจเข้าลึกๆและพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ ด้วยอำนาจของท่านแล้ว บางทีพวกท่านอาจจะมีหวังหาพวกเขาพบ ! ” สมาคมคมค่ายกล, หลอมและปรุงยา เป็นสามสมาคมใหญ่ที่สุดในทวีปป่า อำนาจของสมาคมทั้งสามแผ่ไปทั่วในหมู่มนุษย์ แม้ว่าหยางเพ้ยอันจะด้อยกว่า แต่กองกำลังที่เขามีก็ไม่ได้ด้อยกว่าทั้งสามมากนัก
“ หาคนรึ ? ”
พวกเขาพากันแปลกใจขึ้นมา
ลั่วซู่หยางถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ ท่านต้องการตามหาใครกัน ? ”
“คนแรกและคนที่สำคัญที่สุดคือ จางเฮ่าหลัน ” บางทีเพราะความทรงจำแย่ๆในหัว จางหยูจึงไม่ได้เผยรอยยิ้มออกมา เสียงของเขาฟังดูแหบแห้ง “ คนนี้…สำหรับข้าแล้วสำคัญอย่างมาก ! หากพวกเจ้าหาเขาพบ จงดูแลให้เขาปลอดภัย ไม่ว่าจะต้องใช้อะไร พวกเจ้าก็อย่าให้เขาบาดเจ็บ ! ”
จางเฮ่าหลัน ผู้ก่อตั้งสำนักคังเฉียง เขาเป็นเจ้าสำนักคนแรกของสำนักคังเฉียง
แน่นอนฐานะที่สำคัญกว่านั้นคือ….เขาเป็นพ่อของจางหยู พ่อเพียงคนเดียวในความทรงจำของจางหยู!
“ จริงๆแล้วข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ” จางหยูเผยรอยยิ้มออกมา “ ข้าหวังว่าท่านจะช่วยข้าตามหาเขา หากหาเจอก็ถือว่าดี แต่หากหาไม่เจอ…เฮ้อ ข้าหวังว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ ! ”
ตอนแรกจางหยูคิดจะรอให้เขาแข็งแกร่งกว่านี้ก่อน หลังจากที่ขึ้นไปถึงขอบเขตตุ้นซวนขั้นสมบูรณ์ได้ เขาจะออกไปตามหาพ่อกับศัตรูทั้งสอง ด้วยระดับการบ่มเพาะของเขาแล้ว แม้ว่าจะใช้เวลา 3 ปีในการตามหาก็อาจจะไม่เพียงพอ แต่ด้วยการมาของเหล่าเซียนก็ทำให้เขามีความคิดใหม่ การพึ่งพลังของทั้งสี่คนนี้ ในการตามหาพ่อและศัตรูทั้งสองก็ถือว่าเป็นความคิดที่ดี
จางหยูกลับมารวบรวมสติ ปลายนิ้วของเขาแผ่พลังออกมาและสร้างเป็นภาพหน้าตาของพ่อในความทรงจำของเขาขึ้น “ นี่คือหน้าตาของเขา ด้วยความสามารถของพวกท่านแล้ว ข้าว่ามันไม่ยากที่จะจดจำได้ ”
ทุกคนต่างก็อึ้ง แม้แต่คนของสำนักคังเฉียงที่อยู่ในสำนักมานาน ก็เพิ่งจะเคยเห็นว่าเจ้าสำนักไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้แบบนี้ บางทีชายคนนี้คงสำคัญต่อเจ้าสำนักอย่างมาก
“ เป็นเขานี่เอง ! ” ในหมู่ฝูงชน อู่เฉินจำจางเฮ่าหลันได้ทันที “ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าสำนักถึงไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้….”
จางเฮ่าหลันหายตัวไปถึง 7 ปี ไม่สิ 8 ปี เมื่อนับปีนี้ด้วยแล้ว ใน 8 ปีนี้ไม่มีข่าวคราวใดๆเลย อู่เฉินถึงกับสงสัยว่า จางเฮ่าหลันได้ไปพบกับเหตุไม่คาดคิดเข้า…
บางที จางหยูอาจจะคิดแบบเดียวกับอู่เฉิน
“ แล้วอีกสองคนล่ะ ?” ลั่วซู่หยางรู้สึกได้ว่าจางหยูสนใจจางเฮ่าหลันเป็นพิเศษ เขาได้จดจำหน้าตาของจางเฮ่าหลันให้ขึ้นใจ ก่อนจะถามออกมา
เมื่อพูดถึงอีกสองคน จางหยูก็ใจเย็นขึ้นมาได้ เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ อีกสองคนคือตู้รั่วหยุน อีกคนคือหลินไห่หยา ” ตอนที่พูดนั้น จางหยูได้ควบคุมปราณสร้างภาพของทั้งสองคนขึ้น “ คนทางซ้ายคือตู้รั่วหยุน คนทางขวาคือหลินไห่หยา สองคนนี้ไม่ได้แข็งแก่งนัก และอาจจะยังไม่ถึงขอบเขตหลิงซวน ”
เหล่าเซียนจดจำหน้าตาของทั้งสองเอาไว้
“ สองคนนี้เราจำเป็นต้องปกป้องหรือไม่ ? ” ลั่วซู่หยางลังเลและถามขึ้นมา
“ ไม่ ” จางหยูพูดขึ้นและแสดงความเย็นชาออกมา “ แค่ไม่ต้องฆ่าพวกเขา พวกท่านคงเข้าใจสินะว่าข้าหมายถึงอะไร ? ”
ตอนนั้น โอวเสินเฟิง,เซียวเหยียน และคนอื่นๆก็พอกันปะติดปะต่อเรื่องได้ ตู้รั่วหยุนและหลินไห่หยา สองคนนี่คือคนร้ายที่สร้างความวุ่นวายให้กับสำนักคังเฉียงไม่ใช่รึ ?
“ ข้าเข้าใจแล้ว ” ลั่วซู่หยางพยักหน้าตอบรับ “ เจ้าสำนักสบายใจได้ เราจะพยายามหาพวกนี้ให้เจอ ”
ชุยเจี่ยนพูดขึ้น “ สมาคมนักปรุงยาจะช่วยเจ้าสำนักหาพวกเขาให้เจอ ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรไปก็ตาม ! ”
หยางเพ้ยอันและหงจินเป่าเอง ก็รับรองเช่นกัน
“หน้าที่หลักของพวกท่านคือเผยแพร่ทักษะจี๋อู่ขั้นต่ำ สำหรับการค้นหาทั้งสามคนนี้พวกท่านค่อยๆทำก็ได้ ระวังไว้จะดีที่สุด อย่าให้พวกเขารู้ตัวและทำให้ตู้รั่วหยุนกับหลินไห่หยาหนีไป” จางหยูพยักหน้าและถอนหายใจออกมา
ตู้รั่วหยุนกับหลินไห่หยาคือคนเจ้าเล่ห์ หากพวกเขาได้ยินข่าว พวกเขาจะหนีไปซ่อนตัว จางหยูไม่อยากให้พวกนี้รู้ตัว
“ ได้ ! ” เหล่าเซียนตอบกลับด้วยความเคารพ
“ ใช่สิ นอกจากสองเรื่องนี้แล้ว ข้ายังมีอีกอย่างที่อยากขอให้พวกท่านช่วย ” จริงๆแล้วเขาไม่จำเป็นต้องรบกวนพวกนี้ แต่เมื่อเขาติดหนี้บุญคุณพวกนี้แล้ว จางหยูก็จะฝากงานให้ถึงที่สุด และให้พวกนี้รับผิดชอบทุกอย่างแทนเขา “ สำนักคังเฉียงมีศิษย์อยู่มากมาย พวกท่านเองก็คงมีคนที่ใรพรสวรรค์อยู่กับตัว พวกเราขอยืมคนของพวกท่านจะได้หรือไม่ ? ”
“ ยืมคนรึ ? ”
ทั้งสี่คนมองหน้ากันด้วยความสับสน
“ สบายใจได้ ข้อกำหนดข้าไม่ได้สูงมากนัก ตราบใดที่บ่มเพาะถึงขอบเขตตุ้นซวน หรือสายอาชีพผ่าน 5 ดาวได้ก็พอ ” จางหยูพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินแบบนั้นทั้งสี่คนก็แสดงสีหน้าขมขื่นออกมา
ขอบเขตตุ้นซวนหรือสายอาชีพ 5 ดาว ข้อกำหนดนี้ไม่สูงไปหน่อยรึ ?
ต้องรู้ก่อนว่าคนที่ผ่านเกณฑ์นั้น แม้แต่ในสามสมาคมชั้นนำ ก็ใช่ว่าจะมีฐานะที่ต่ำต้อย !
“ ทำไม มันยากรึ ? ” จางหยูยักคิ้ว
“ ไม่ ไม่ เจ้าสำนักพูดมาแล้วเราก็ต้องทำ ” ลั่วซู่หยางกัดฟันแต่ในใจเขากลับร้องตะโกนออกมา “ หลังจากที่กลับไปแล้วข้าจะจัดปรมาจารย์ 5 ดาวคนหนึ่งให้มายังสำนักคังเฉียง ”
ชุยเจี่ยนและหงจินเป่ามองหน้ากัน และรีบตกลงด้วยความขมขื่นที่เต็มหัวใจ
“ ข้าจะส่งคนขอบเขตตุ้นซวนมา ” หยางเพ้ยอันอยากที่จะปฏิเสธ แต่เขาไม่มีความกล้ามากพอ
“ ฮาฮา ดี ! ” จางหยูมองไปที่เซียนเหล่านั้น เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “ หากพวกท่านทำเรื่องพวกนี้ได้ดี ข้ารับปากว่าในอนาคต พวกท่านจะได้โอกาสหนึ่งครั้งกับการ…ก้าวข้ามขอบเขตตุ้นซวน ! ”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ทั้งสี่คนก็พากันหายใจถี่ขึ้นมา