ติงซิ๋งหวาดผวา แต่เนื่องจากร่างกายของเขาถูกแช่แข็งเอาไว้จึงเคลื่อนไหวได้ช้าเกินพรรณนา
จักรพรรดินีใช้โอกาสนี้ลงมือ
ตูม!
ร่างของติงซิ๋งที่ถูกแช่แข็งราวกับรูปปั้นน้ำแข็งถูกทำลายแหลกออกเป็นเศษน้ำแข็งนับหมื่นก้อน และด้วยการที่ร่างของเขาถูกแช่แข็งอยู่ โลหิตจึงไม่ไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว
วารีพลังหยินเร้นลับมีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารีที่เย็นยะเยือกที่สุดในโลก!
แต่นิรันดร์สองนิพพานก็ใช่ว่าจะตายง่ายๆ ดวงวิญญาณของติงซิ๋งลอยออกมาจากร่างกายและพยายามหลบหนี
ดวงวิญญาณของเขามีขนาดเล็กเท่ากำปั้นและเคลื่อนไหวได้ว่องไวจนยากที่จะจับทัน
จักรพรรดินีเค้นเสียงเย็นชาและชี้นิ้วออกไป ‘พรึบ’ คลื่นดาบพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่า
‘ฉัวะ’ ดวงวิญญาณของติงซิ๋งระเบิดออกราวกับดอกไม้ไฟและกระจัดกระจายไปทั่วทิศทาง
นิรันดร์สองนิพพานสิ้นชีพอย่างน่าอนาถ!
จักรพรรดินีและหลิงฮันมองหน้ากัน ทั้งสองคนคือราชาที่มีพลังต่อสู้ไร้เทียมทานในระดับสองนิพพาน เมื่อพวกเราร่วมมือกันการจะสังหารติงซิ๋งได้ในสองถึงสามกระบวนท่าย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
“ไปหาคนอื่นๆกันเถอะ ไม่รู้ว่าจ่างซุนเหลียงและราชาคนอื่นๆปะทะกันรึยัง” หลิงฮันกล่าว
ทั้งสามคนมุ่งหน้าไปยังเมืองจันทราตระหง่าน
“จะว่าไปแล้วทำไมหอคอยทมิฬชั้นที่เจ็ดถึงไม่เปิดออก?” จู่ๆหลิงฮันก็นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“ข้าก็ไม่รู้” หอคอยน้อยสับสน “หลังจากที่เจ้าบรรลุระดับโลกียนิพพาน ข้าได้รับความทรงจำบางอย่างกลับคืนมาซึ่งมันก็ทำให้มีปริศนาที่ไม่เข้าใจเพิ่มขึ้นไปอีก แต่สิ่งหนึ่งที่ข้ามั่นใจในตอนนี้คือข้าได้รู้แล้วว่าตัวข้าคืออะไร”
เจ้าก็คือหอคอยปากเสียไม่ใช่รึไง?
“เจ้าหมายถึง เจ้ารู้ชื่อเรียกที่แท้จริงของหอคอยทมิฬแล้ว?” หลิงฮันเอ่ยถาม
หอคอยทมิฬนั้นเป็นเพียงชื่อที่เขาตั้งขึ้นมาเองเพราะตัวหอคอยมีสีดำสนิท ซึ่งในความเป็นจริงเขาก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับหอคอยนี้เท่าไหร่
“อืม” หอคอยน้อยพยักหน้า “ชื่อเรียกที่แท้จริงของข้าคือ… หอคอยสามภพ!”
ครืนนน!
ทันใดนั้นเองเสียงกึกก้องราวกับสวรรค์และปฐพีกำลังสั่นสะท้านก็ดังสนั่นไปทั่วผืนดิน
หลิงฮันเผยท่าทางตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด ต้องเป็นเพราะหอคอยน้อยกล่าวว่า ‘หอคอยสามภพ’ แน่ๆที่ทำให้สวรรค์เกิดการตอบสนอง บางสิ่งบางอย่างที่ทรงพลังมากจนสามารถทำให้สวรรค์และปฐพีสั่นคลอนนั้น เพียงแค่เรียกชื่อของมันสวรรค์และปฐพีก็จะตอบสนอง
มีคำกล่าวว่าราชานิรันดร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น เพียงแค่เรียกชื่อของราชานิรันดร์ก็สามารถทำให้เกิดอัสนีบาตได้
แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่บทสนทนาของเขากับหอคอยทมิฬนั้นถูกจำกัดอยู่ในห้วงจิตวิญญาณ!
หอคอยสามภพคือการมีอยู่ที่ท้าทายสวรรค์ขนาดนั้นเชียว?
“อย่าได้เอ่อชื่อนั้นออกมา แม้แต่นึกถึงก็ห้าม” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่เช่นนั้นตัวตนที่ยิ่งใหญ่อาจจะรู้ตัวได้”
เดี๋ยวก่อน… หรือว่าที่หอคอยทมิฬตกไปอยู่ในทวีปฮงเทียนจะเป็นเพราะต้องการหลบหลีกการรับรู้ของตัวตนยิ่งใหญ่ที่ว่า?
จะว่าไปแล้ว จักรพรรดิจอมอสูรเองก็เคยบอกเหมือนกันว่าทวีปฮงเทียนนั้นครั้งหนึ่งเคยเห็นส่วนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ล่วงหล่นไปยังโลกใบเล็ก
หรือความจริงนั้นเจ้าของคนเก่าของหอคอยทมิฬจะคิดว่าการทิ้งหอคอยทมิฬเอาไว้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะยังไม่ปลอดภัยพอ ถึงได้จงใจส่งหอคอยทมิฬไปยังโลกใบเล็กเพื่อซ่อนให้มิดชิดยิ่งกว่าเดิม
หลิงฮันลองถามหอคอยน้อยในเรื่องนี้แต่หอคอยน้อยก็ไม่รู้อะไร
ในเมื่อเป็นคำถามที่ไม่มีทางได้คำตอบหลิงฮันจึงเลิกคิดเรื่องนี้ เวลาผ่านไปไม่นานพวกเขาสามคนก็กลับมาถึงเมืองจันทราตระหง่าน
หลิงฮันไม่จำเป็นต้องสืบหาข้อมูลก็รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนได้ทันทีเนื่องจากกำลังเป็นประเด็นพูดคุยอันร้อนแรง
ราชาแห่งยุคอย่างจ่างซุนเหลียง เซียวเซิ่ง ซ่งจี๋ หม่าอิ่งและคนอื่นทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้สำเร็จและทำการปะทะกัน
ศึกแรก จ่างซุนเหลียงสามารถเอาชนะเซียวเซิ่งได้
ศึกที่สอง ซ่งจี๋ท้าประลองจ่างซุนเหลียง แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดแพ้หรือชนะ
ศึกที่สาม หม่าอิ่งและเซียวเซิ่งประลองกันสามวันสามคืน และจบลงด้วยผลลัพธ์ที่ว่าหม่าอิ่งพ่ายแพ้เพราะด้อยกว่าเล็กน้อย
นอกจากพวกเขาแล้วก็ยังมีรุ่นเยาว์ที่ทรงพลังอีกหลายคนปรากฏตัว แม้รุ่นเยาว์เหล่านั้นจะไม่แข็งแกร่งเท่าพวกจ่างซุนเหลียงแต่ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ
การปะทะกันของเหล่ารุ่นเยาว์คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว โดยสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นคืองานเลี้ยงที่ตระกูลฟู่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ตระกูลฟู่ได้เชิญชวนเหล่าอัจฉริยะทั้งหมดที่ทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานในหุบเหวสืบสานนิพพานสำเร็จ
มีสุดยอดอัจฉริยะบางส่วนอย่างจ่างซุนเหลียง เซียวเซิ่งและราชาแห่งยุคคนอื่นๆที่ควรค่าแก่การเชิญชวนให้เข้าร่วมตระกูล
ตระกูลฟู่ไม่ใช่ขุมอำนาจที่มีเพียงคนของตัวเอง มีบ่อยครั้งที่พวกเขาเชื้อเชิญให้เหล่าอัจฉริยะเข้าร่วมกับตน ซึ่งเหล่าอัจฉริยะที่ว่าก็ล้วนแต่ยินยอม
ยกตัวอย่างเช่นจ่างซุนเหลียง ถึงแม้เขาจะมีศักยภาพที่โดดเด่น แต่หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากขุมอำนาจสามดาว ความเป็นไปได้ที่จะบรรลุระดับขอบเขตตำหนักอมตะก็แทบจะเป็นศูนย์! การจะทะลวงผ่านระดับพลังที่สูงขึ้น จำเป็นต้องได้รับการชี้แนะจากตัวตนทรงพลังที่สะสมและตกผลึกประสบการณ์ในศาสตร์วรยุทธอยู่ก่อนแล้ว การทะลวงผ่านระดับพลังด้วยความพยายามของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ยากแสนยาก
ฉายา ‘ราชา’ เป็นเพียงคำที่แสดงถึงศักยภาพในการต่อสู้ระดับเดียวกันอันไร้เทียมทานเท่านั้น การจะรู้แจ้งและทะลวงผ่านสู่ระดับพลังใหม่ที่ไม่คุ้นเคยได้หรือไม่นั้นไม่ได้เกี่ยวกับฉายา ‘ราชา’ เลยแม้แต่น้อย
เพราะเหตุนี้ทุกคนจึงต้องการให้ได้รับเชิญเข้าร่วมตระกูลฟู่
ในครั้งนี้มีจอมยุทธมากมายที่สามารถเข้าร่วมตระกูลฟู่ได้ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะหลิงฮันกับจักรพรรดินี ทั้งสองคนตัดขาดสวรรค์และปฐพีสำเร็จจนทำให้อำนาจของสวรรค์และปฐพีเกิดการเปลี่ยนแปลง คนอื่นๆจึงทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้ง่ายดายขึ้น
คนที่แต่เดิมไม่มีหวังจะทะลวงผ่านสำเร็จกลับกลายเป็นสำเร็จ คนที่แต่เดิมสามารถตัดนิพพานได้ไม่สมบูรณ์และมีพลังต่อสู้ธรรมดา ก็กลายเป็นว่าตัดนิพพานได้สมบูรณ์
ด้วยเหตุนี้จำนวนคนที่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลฟู่ได้จึงมีถึงสองร้อยเจ็ดสิบสองคน ซึ่งคนจำนวนนี้สามารถนำมิตรสหายเข้าร่วมงานได้
งานเลี้ยงไม่ได้จัดขึ้นที่ต้นตระกูลฟู่เนื่องจากอยู่ไกลเกินไปและถูกจัดขึ้นที่ภูเขานภาโปร่งด้านนอกเมืองจันทราตระหง่าน
หลิงฮันตั้งใจจะลองไปยังตระกูลฟู่ดูและใช้อำนาจของตระกูลฟู่ค้นหาที่ตั้งของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เขา จักรพรรดินีและสตรีนกอมตะพักผ่อนกันหนึ่งวัน ทั้งสามก็มุ่งหน้าไปยังภูเขานภาโปร่ง
ที่ตีนเขามีประตูหินขนาดเล็กตั้งอยู่ซึ่งถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงชน มีเพียงคนส่วนหนึ่งเท่านั้นที่จะสามารถผ่านเข้าประตูไปได้ และตราบใดที่ก้าวเท้าผ่านประตูหินเข้าไป ร่างของคนคนนั้นจะหายไปทันที
หลิงฮันคาดเดาได้ไม่ยากว่าประตูหินบานนี้สมควรเป็นอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์
ที่ด้านหน้าประตูมีใครบางคนยืนเฝ้าอยู่ หากจะผ่านเข้าไปจำเป็นต้องแสดงบัตรเชิญเสียก่อน
“พวกเราไม่มีบัตรเชิญแล้วจะเข้าไปได้อย่างไร?” สตรีนกอมตะเอ่ยถาม