[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร ]
บทที่ 561 : หุ้นบริษัท!
เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของเขาทั้งสองคน!
เรื่องของลูกสาวคนโต – เฉิงเม่ยเฟิง ยังไมทันจะคลี่คลาย และเฉิงเทียนก็ยังคงถูกตระกูลซันไล่บี้อย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ลูกสาวคนเล็กของเขากลับบอกว่าต้องการจะแต่งงานกับหลิงหยุน!
“เมี่ยน.. เลิกคิดเรื่องไร้สาระได้แล้ว! เรื่องระหว่างพี่สาวของลูกกับหลิงหยุนยังไม่ซาเลย ผลกระทบยังมีมาต่อเนื่อง ตอนนี้ลูกกลับมาบอกว่าจะแต่งงงานกับหลิงหยุน แล้วลูกจะให้ตระกูลเฉิงเอาหน้าไปไว้ที่ใหน?”
จ้าวฝัวหมี่ที่นิ่งงันไปด้วยความตกใจอยู่นาน แต่เมื่อเห็นแววตา และสีหน้าที่จริงจังของเฉิงเมี่ยน เธอก็ได้แต่ร้องเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
นี่ยังไม่ได้พูดถึงความรู้สึกของหลิงหยุนที่มีต่อเฉิงเมี่ยน และถึงแม้ว่าหลิงหยุนจะยอมรับเฉิงเมี่ยนได้จริง ตระกูลเฉิงก็ยากที่จะรับเรื่องนี้ได้ ลูกสาวของเขาทั้งสองคนตกหลุมรักผู้ชายคนเดียวกัน ลูกสาวคนโตเพิ่งจะถูกพาตัวไป ส่วนลูกสาวคนเล็กก็จะมาแทนที่พี่สาวตัวเอง เรื่องนี้นี้ยากที่จะยอมรับได้!
“แม่คะ.. พี่ใหญ่กลืนโอสถไร้ใจไปจนลืมหลิงหยุนไปหมดแล้ว และตอนนี้ตัวพี่ใหญ่เองก็อยู่ที่อารามจิ้งซิน แล้วทำไมหนูถึงจะแต่งงานกับหลิงหยุนไม่ได้?”
เฉิงเมี่ยนโต้เถียงอย่างไม่ยอมแพ้ เห็นได้ชัดว่าเธอเองก็ครุ่นคิดเรื่องนี้มานานแล้วเช่นกัน
เฉิงเทียนและจ้าวฝัวหมี่ต่างก็หันไปมองหน้ากัน และทั้งคู่ต่างก็พูดอะไรไม่ออก และไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรมาปฏิเสธลูกสาวของตัวเอง
เฉิงเม่ยเฟิงที่รักและผูกพันกับหลิงหยุนอย่างลึกซึ้ง หลังจากได้กลืนโอสถไร้ใจเข้าไปแล้ว เธอก็ลืมหลิงหยุนจนหมดสิ้น อีกทั้งหลิงหยุนและเฉิงเม่ยเฟิงก็ยังไม่เคยเข้าพิธีแต่งงานกัน
และตราบใดที่ลูกสาวคนโตของเธอยังไม่ได้เข้าพิธีกับหลิงหยุน ก็ไม่มีเหตุผลที่ลูกสาวคนเล็กของเธอจะไม่สามารถเข้าพิธีกับหลิงหยุนได้!
เมื่อครั้งที่เฉิงเมี่ยนชื่นชอบเสียเจิ้นเหยิน เธอก็ยังไม่เคยเอ่ยปากเรื่องจะยกบริษัทในเครือ และหุ้นครึ่งหนึ่งของบริษัทให้กับเขา
เพราะเหตุนี้ ทั้งคู่จึงดูออกว่าลูกสาวคนเล็กของตนนั้นหลงรักหลิงหยุนอย่างหัวปักหัวปำ ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่คิดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เช่นนี้ขึ้นมาได้!
ความจริงแล้วเฉิงเทียนเองก็มีตัวเลขสูงสุดอยู่ในใจที่สิบล้าน เขาคิดว่าต่อให้เฉิงเมี่ยนคลั่งไคล้หนักหนา ของขวัญที่จะให้ก็คงไม่เกินสิบล้าน แต่กลับกลายเป็นว่าเฉิงเมี่ยนต้องการให้หุ้นที่มีมูลค่าถึงห้าร้อยล้านกับหลิงหยุน!
หากเป็นเช่นนี้.. ไม่เท่ากับเฉิงเทียนแทบล้มละลายเลยหรืออย่างไร?
เฉิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกเป็นหลายสิบรอบ จากนั้นจึงนั่งลงบนโซฟาด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยพร้อมกับถอนหายใจยาว ก่อนจะถามต่อว่า
“เมี่ยน.. นี่แกพูดจริงเหรอ?”
“ก็ต้องจริงอยู่แล้ว.. หนูมีสติดีอยู่!” เฉิงเมี่ยนตอบพ่อพร้อมกับยกมือขึ้นตบหน้าตัวเอง
“แต่.. หลิงหยุนรักพี่สาวของแก เขาไม่ได้ชอบแกแม้แต่นิดเดียว!” เฉิงเทียนเริ่มเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของหนู.. ตอนนี้เราคุยกันเรื่องของขวัญที่จะมอบให้หลิงหยุน พ่อจะเลือกข้อใหน.. หนึ่ง หรือว่าสอง..?” เฉิงเมี่ยนยังคงกดดันให้เฉิงเทียนเลือก
เฉิงเทียนนั่งหน้าเศร้าด้วยความเจ็บปวดหัวใจ จากนั้นจึงหันไปมองหน้าจ้าวฝัวหมี่คล้ายกับจะบอกให้เธอพูดอะไรบ้าง
แต่จ้าวฝัวหมี่เองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเช่นกัน? เพราะตลอดเวลากว่าหนึ่งเดือนมานี้ ลูกสาวคนเล็กของเธอทำอะไรบ้าง มีหรือที่คนเป็นแม่อย่างเธอจะไม่รู้?
“พ่อคะ.. หนูจะบอกอะไรให้ ถ้าพ่อส่งของขวัญไปให้กับหลิงหยุน รับรองว่าตระกูลเฉิงของเราจะไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไป!”
“พ่อลองคิดดูสิคะ.. หลิงหยุนสังหารซันเทียนเปียวทั้งคน แต่ตระกูลซันกลับไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไรเลย? พ่อคิดว่าเพราะอะไรเหรอคะ?”
เพราะเหตุใดน่ะหรือ? ก็เพราะตระกูลซันเกรงกลัวความแข็งแกร่งของหลิงหยุนน่ะสิ! พวกเขาเกรงกลัวการตอบโต้กลับที่รุนแรง และบ้าคลั่งของหลิงหยุน!
“ซันเทียนเปียวพาคนมาตั้งมากมาย และมั่นใจอย่างยิ่งว่าตนเองต้องเป็นฝ่ายกุมชัยชนะ แล้วดูสิคะว่าตอนนี้คนพวกนั้นหายไปใหนหมด? ทุกคนถูกหลิงหยุนสังหารไม่ใช่เหรอ? พ่อยังจำวันที่เราก้าวเข้าไปในบ้านที่ชานเมืองฝั่งตะวันตกได้มั๊ย.. คราบเลือดแดงฉานไปหมดตั้งแต่หน้าประตู!”
“แต่ห้าร้อยล้านมันมากเกินไป!”
หลังจากที่เฉิงเม่ยเฟิงจากไป เฉิงเมี่ยนก็ดูจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมามาก รู้จักคิดหาเหตุผลได้ไม่ด้อยไปกว่าพี่สาวของเธอเลย อีกทั้งยังเป็นคนที่จัดการเรื่องราวต่างๆได้ดีด้วย
ลูกสาวของเขาทั้งสองคนนั้น แม้จะเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่ก็แตกต่างกันมากทั้งบุคลิคและอุปนิสัยใจคอ
“แกแน่ใจนะว่าถ้าเราส่งของขวัญให้กับหลิงหยุน เขาจะสามารถช่วยเราจัดการกับตระกูลซันได้?”
“แกอย่าลืมว่า.. ตั้งแต่ผ่านเหตุการณ์คืนนั้นมา เจ้าเด็กหลิงหยุนอะไรนั่น ก็ไม่เคยกลับมาที่บ้านของเราอีกเลย!”
หลังจากที่เฉิงเทียนสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาก็ค่อยๆครุ่นคิด และถามลูกสาวคนเล็กถึงประเด็นสำคัญ
เฉิงเมี่ยนส่ายหน้าทันที “หนูยืนยันอะไรไม่ได้หรอกค่ะ! แต่การส่งของขวัญกับไม่ส่งของขวัญไปให้หลิงหยุนนั้น มีข้อแตกต่างกันอย่างแน่นอน! เพราะเป็นการแสดงจุดยืนของพวกเราตระกูลเฉิง!”
“อีกอย่าง.. จากการที่พี่ใหญ่ยอมตายเพื่อหลิงหยุนขนาดนั้น และตอนนี้ยังถูกพาตัวไปที่สำนักจิ้งซินอีก หนูเชื่อว่าถึงยังไงหลิงหยุนก็คงจะไม่นิ่งดูดาย และปล่อยให้ตระกูลเฉิงถูกรังแกโดยไม่คิดยื่นมือเข้าช่วยเหลือ!”
ประโยคแรกของเฉิงเมี่ยนนั้นทำเอาเฉิงเทียนถึงกับเย็นวาบจับขั้วหัวใจ แต่เมื่อได้ฟังประโยคถัดมา เขาก็ค่อยใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
หลิงหยุนอาจจะไม่ยอมรับลูกสาวคนเล็กของเขา แต่แน่นอนว่าเขาต้องผูกพันรักใคร่กับลูกสาวคนโตอย่างแน่นอน เพียงเพราะต้องการช่วยเม่ยเฟิง หลิงหยุนถึงกับลงมือสังหารคนของตระกูลซันไปมากมาย โดยไม่สนใจว่าตัวเองจะต้องเดือนดร้อนมากเพียงใด!
“ได้..”
เฉิงเทียนนั่งนิ่งไปครู่ใหญ่ และในที่สุดก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วกัดฟันพูดออกไปว่า “ได้.. พ่อจะทำตามที่แกบอก ส่งของขวัญไปให้เขา!”
“แต่ว่าลดเหลือหนึ่งร้อยล้านไม่ได้หรือยังไง? หนึ่งร้อยล้านก็ไม่น้อยเลยนะ?” เฉิงเทียนพยายามหาทางปกป้องเงินของตนเอง
จากสิบล้านเป็นห้าร้อยล้าน นั่นนับเป็นห้าเปอร์เซ็นต์ของจำนวนทรัพย์สินถึงของเขาเลยทีเดียว มันทำใจยากที่จู่ๆจะต้องยกให้กับคนอื่นไป
ความจริงแล้ว เฉิงเทียนควรจะดีใจเสียมากกว่า เพราะหากเฉิงเม่ยเฟิงยังอยู่ หุ้นทั้งหมดของเธอก็คงถูกมอบให้กับหลิงหยุนไปแล้ว อีกทั้งเขายังจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย!
ทันทีที่เฉิงเมี่ยนสามารถบรรลุเป้าหมายของตนเองแล้ว เธอก็เอนกายซบเฉิงเทียนพร้อมกับกอดแขนของเขาแน่น และพูดขึ้นว่า
“พ่อคะ.. หนูรับรองค่ะว่าจะไม่ให้พ่อต้องเสียเงินฟรีแน่นอน! หลิงหยุนดีกับพี่ใหญ่มาก เขาต้องไม่ปล่อยให้ตระกูลเฉิงของเราถูกรังแกหรอกค่ะ!”
“ถ้าให้หนูเดานะคะ.. การที่พ่อยกหุ้นให้กับหลิงหยุน ก็เท่ากับว่าหลิงหยุนเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัทเฉิงเมดิคัลกรุ๊ป หากตระกูลซันบีบบังคับรังแก มีหรือที่หลิงหยุนจะนิ่งเฉยอยู่ได้?!”
นับได้ว่าแผนการของเฉิงเมี่ยนนั้นแยบคายอย่างมาก!
“ได้.. ครึ่งหนึ่งก็ครึ่งหนึ่ง! น่าขันจริงๆ หลิงหยุนเปิดคลินิก แต่ฉันกลับต้องเสียหุ้นไปถึงครึ่ง!” เฉิงเทียนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดใจ
“พ่อคะ.. ถ้างั้นพ่อก็รีบไปจัดการเขียนเอกสารโอนหุ้นให้หนูได้แล้วค่ะ แล้วพรุ่งนี้หนูจะเป็นคนนำไปมอบให้หลิงหยุนเอง..” เฉิงเมี่ยนร้องบอก
เฉิงเมี่ยนคิดถึงว่าจะได้พบกับหลิงหยุน ก็ตื่นเต้นดีใจอย่างมาก..
“พ่อรีบเขียนเร็วเข้า..”
เฉิงเมี่ยนหยิบกระดาษและปากกาออกมาเตรียมไว้ให้เฉิงเทียนนานแล้ว จึงรีบเร่งเร้าให้พ่อของเธอเขียนสัญญาโอนหุ้นให้กับหลิงหยุน
“เจ้าเด็กคนนี้นี่..” จ้าวฝัวหมี่ถอนหายใจ
…………
ภายในห้องรับแขกของบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านฝูฮัว..
นายพลหลินเจิ้งกังซึ่งเป็นพ่อของหลินเมิ่งหาน รับราชการทหารอยู่ในกรมประจำมณฑลเจียงหนาน ตอนนี้จะมีการฝึกกองกำลัง เขาจึงอาศัยโอกาสนี้มาเยี่ยมเยียนลูกสาวของตนเอง
หลินเมิ่งหานในฐานะเป็นทายาทรุ่นที่สาม ก็ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามอกตามใจ เธอต้องอยู่ในกฎระเบียบมากมายของครอบครัว แต่ก็นับว่าเป็นลูกสาวที่มีรูปร่างหน้าตางดงามมาก
ไม่ว่าหลินเมิ่งหานจะไปที่ใด ผู้คนต่างก็สนใจแต่ความสวยงามของเธอ แต่ไม่มีใครสนใจความสามารถของเธอเลยแม้แต่น้อย
สำหรับหลินเมิ่งหานแล้ว.. มันจึงเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน!
หลงเทียนเจียวไม่เพียงอาศัยอำนาจของตระกูลหลงเข้าหาตระกูลหลิง และด้วยความเก่งกาจของหลิงเทียนเจียว ทำให้สองตระกูลเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้
การหมั้นหมายของสองตระกูลจึงเกิดขึ้นมาเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว แต่จู่ๆตระกูลหลินก็ได้รับจดหมายจากตระกูลหลง แจ้งเรื่องการขอยกเลิกการแต่งงานระหว่างหลงเทียนเจียวกับหลินเมิ่งหาน และหากการยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อตระกูลหลิน ตระกูลเจียวยินดีจะจ่ายค่าชดเชยให้ตามแต่จะเรียกร้อง
และเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ตระกูลหลิงถึงกับงุนงง และไม่สามารถเข้าใจเหตุผลที่ตระกูลหลงนำมาอ้างเพื่อยกเลิกการแต่งงานในครั้งนี้ โดยให้เหตุผลว่า เด็กทั้งสองคนต่างก็รู้สึกว่าตนไม่เหมาะสมกัน
ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นสักอย่าง!
ตระกูลหลินใช้เส้นสายทั้งหมดที่มีสืบหาสาเหตุที่แท้จริงของการยกเลิกครั้งนี้ แต่ก็ไม่สามารถรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงได้ ตระกูลหลิงจึงค่อนข้างร้อนใจอย่างมาก
เหตุผผลมีเพียงข้อเดียวเท่านั้นที่คนตระกูลหลิงคิดออก นั่นก็คือตระกูลหลิงไม่มีค่าในสายตาของตระกูลหลงอีกแล้ว
ดังนั้น พ่อของหลินเมิ่งหานจึงต้องการมาถามเธอถึงสาเหตุที่แท้จริงด้วยตัวเอง ประกอบกับที่หลินเจิ้งกังก็เดินทางมาที่จิงฉูเรื่องงานพอดี
หลินเจิ้งกังได้พบหลินเมิ่งหานนั่งรถกลับบ้านมาพร้อมกับหลิงหยุน เขาจึงเข้าใจได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องสอบถามว่า ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนี้นี่เอง!
เขาต้องการจะสอบถามเรื่องราว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับทำให้หลินเจิ้งกังถึงกับตกใจ เพราะหลิงหยุนเลี้ยวรถพาลูกสาวของเขาหนีไปต่อหน้าต่อตา ขนาดเขาร้องตะโกนเรียก ก็ยังไม่ยอมหยุดรถ!
ดังนั้น.. หลินเจิ้งกังจึงทำได้เพียงแค่รอคอยเท่านั้น แต่หลังจากที่รออยู่นาน เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากกรมให้เข้าไปพบทันที เขาจึงต้องจากไปโดยที่ยังไม่ได้พบหน้าลูกสาว
คำสั่งทหารนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจฝ่าฝืนได้ ดังนั้นหลินเจิ้งกังจึงให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นผู้รอคอยอยู่ที่บ้านแทนเขา จากนั้นตอนเย็น หลังจากที่เสร็จธุระที่กรมแล้ว หลินเจิ้งกังจึงรีบกลับมาที่บ้านของลูกสาวทันที
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?”
หลินเจิ้งกังนั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับถามลูกสาวเสียงดุ ดวงตาคมกริบของเขาจับจ้องอยู่ที่ร่างของหลินเมิ่งหานที่ยืนตัวตรงราวกับทหาร
และประโยคแรกของหลินเมิ่งหานก็ทำให้เขาแทบสำลักน้ำชาที่กำลังยกขึ้นจิบ!