หลัวเทียนเฉินนิ่งไป เขานั่งตัวตรงพลางจ้องหน้าเจินเมี่ยว คำพูดต่อจากนั้นต่างหากถึงจะเป็นประเด็นสำคัญ
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าพูดมา”
เจินเมี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
นางรู้ดีว่าคำพูดต่อจากนี้จะเป็นคำพูดที่ทำร้ายความรู้สึกมาก แต่เมื่อเอ่ยออกมาถึงขั้นนี้แล้ว หากจะถอยกลับไปอีกก็คงทำไม่ได้แล้ว
นางลุกขึ้นแล้วเดินไปยังโต๊ะเพื่อรินน้ำชาสองถ้วย ถ้วยหนึ่งให้หลัวเทียนเฉิงอีกถ้วยหนึ่งนางถือเอาไว้ในมือ จากนั้นจึงก้มหน้าจิบคำหนึ่งพลางหันหน้ามาอมยิ้ม “ดื่มชาเพื่อผ่อนคลายเสียก่อน ในน้ำชานี้มีดอกกุ้ยฮวาที่เด็ดมาสดๆ แถมยังใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย รสชาติไม่เลวเลย”
หลัวเทียนเฉิงเบะปากพลางคิดในใจว่า เจี๋ยวเจี่ยวคิดว่ากำลังชมละครกันอยู่หรือ แถมยังมีการพักครึ่งอีกด้วย
ยิ่งเป็นเช่นนี้ เขาจึงรู้ว่าคำพูดต่อไปจะต้องเป็นคำพูดที่ทำให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ของคนทั้งสองอย่างแน่นอน จึงยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาแล้วจิบลิ้มรสชาติอย่างใจเย็น และพยายามเตือนตัวเองว่าให้ใจเย็นเข้าไว้
ชีวิตนี้ของเจี๋ยวเจี่ยวต้องเป็นของเขา นางสามารถรักเขา เชื่อเขา โกรธเขา แต่ไม่สามารถกลัวเขาได้ การสนทนาในวันนี้จะต้องไม่พังทลายลงเพราะอารมณ์ส่วนตัวของเขา
เจินเมี่ยวเองก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน
คนทั้งสองคุยกันมาถึงตรงนี้แล้ว นางเองก็ไม่อยากให้ทุกอย่างพังเพียงเพราะอารมณ์โกรธของนาง ไม่ว่าความเห็นของคนทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียวกันหรือไม่ แต่อย่างน้อยๆ ก็ต้องพยายามให้การสนทนาไม่ดำเนินไปด้วยอารมณ์มากเกินไป
นางจิบน้ำชาอย่างไม่รีบร้อนจนหมด แล้ววางถ้วยลง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปาก จากนั้นจึงมองไปทางหลัวเทียนเฉิงอย่างสงบ
หลัวเทียนเฉิงวางถ้วยน้ำชาลงเช่นกันแล้วเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงถึงการตั้งใจฟัง “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าว่ามาเถิด”
เจินเมี่ยวพยักหน้าแล้วคิดทบทวนสักพักก่อนจะเอ่ยออกมา “จิ่นหมิง ข้าเข้าใจว่าท่านอยากจะแก้แค้นและเข้าใจด้วยว่าท่านจะต้องลงมือทำให้สำเร็จ แต่ว่าในความคิดของข้า ไม่ว่าในใจของท่านจะมีความแค้นมากแค่ไหน ก็ควรพิจารณาวิธีการแก้แค้นอย่างถ้วนถี่ก่อน”
“วิธีการ?” หลัวเทียนเฉิงค่อยๆ ซึมซับคำพูดนี้ และออกจะไม่เข้าใจในบางจุดอยู่บ้าง
“ใช่แล้ว ต้องมีวิธีการ วิธีการที่แตกต่างกัน แม้ว่าจะได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน และแก้แค้นได้เหมือนกันก็ตาม อาจจะมีคนหลายคนที่คิดว่าใช้วิธีการอะไรก็ได้ขอเพียงให้บรรลุตามเป้าหมายได้ก็พอ เพราะถึงอย่างไรตอนสุดท้ายศัตรูก็ต้องน่าเวทนาอยู่ดี จะต้องพิจารณาวิธีการไปเพื่ออะไรกัน”
หลัวเทียนเฉิงไม่เอ่ยอะไร เพียงหรี่ตาเท่านั้น
“แต่ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น” เจินเมี่ยวกลัวว่าเขาจะไม่เข้าใจความหมายของนาง จึงคิดทบทวนก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “อย่างเช่นหากเราพบสุนัขดุร้ายกลางทางแล้วโดนมันกัดเข้า เราสามารถหยิบไม้ขึ้นมาตีมัน สามารถหยิบก้อนหินขึ้นมาเขวี้ยงใส่มัน แต่ไม่ว่าจะโกรธเพียงใด เราก็คงไม่สามารถก้มลงไปกัดมันตอบได้กระมัง”
เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงไร้วาจา เจินเมี่ยวจึงถอนใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยต่อไปว่า “ความหมายของข้าคือ…การมีชีวิตอยู่ในความแค้นนั้นไม่น่ากลัว ใช้มีดแทงศัตรูก็เป็นเรื่องสมควร แต่พวกเราไม่สามารถแก้แค้นด้วยการนำตัวเองไปเป็นคนพวกเดียวกับศัตรูได้ หากเป็นเช่นนั้น ต่อให้เราแก้แค้นแล้วก็ได้ไม่คุ้มเสีย”
“ความหมายของเจ้าคือ ข้าไม่รู้จักเลือกวิธีการงั้นหรือ” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามเงียบๆ ด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดาอารมณ์
ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด เจินเมี่ยวจึงไม่กล้าสบดวงตาที่เปล่าประกายวาววับของเขา จึงได้แต่ก้มหน้ามองปลายเท้าของตนเอง “อย่างน้อยวิธีการเช่นให้สตรีนางหนึ่งล่อลวงพ่อ ลูก สามคนให้หัวปั่น แถมยังทิ้งเด็กน้อยไร้เดียงสาที่มีบาปติดตัวมาตั้งแต่เกิดเอาไว้คนหนึ่ง ถือเป็นวิธีการที่ไม่สง่างามนัก ยิ่งกว่านั้น…”
“ยิ่งกว่านั้นอะไร”
เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นแล้วกัดริมฝีปาก “ยิ่งกว่านั้น เมื่อแผนการสำเร็จแล้วยังฆ่านางปิดปากแล้วเอาศพนางไปทิ้งไว้ตรงสถานเริงรมย์เช่นนั้น นี่ถือว่ามากเกินไป ต่อให้เป็นเพียงแค่หมาก แต่นางก็เป็นคน!”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้เจินเมี่ยวเริ่มรู้สึกตีบตัน จึงหันไปมองหลัวเทียนเฉิงแล้วเอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นว่า “แถมยังเป็นคนให้กำเนิดคุณชายแปด!”
ทำไมนางถึงกลัวน่ะหรือ เพราะนางไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่ว่าต้องการให้เขารักนางเพียงอย่างเดียว ต่อให้ต้องทำผิดกับคนทั้งโลกและทำเรื่องราวชั่วช้าแค่ไหนก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
นางกลัวว่า หากวันหนึ่งนางไม่ได้เป็นคนที่ถูกรักคนนั้นอีกต่อไปแล้ว
นางหวังว่าคนที่นางรัก หากไม่มีความรักแล้วก็ควรจะมีศีลธรรมที่สำคัญในหลายๆ เรื่องบ้าง ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่อย่างน้อยๆ ก็ต้องรู้จักรักษาขอบเขตเอาไว้บ้าง
“พูดจบแล้วหรือ”
“จบแล้ว”
หลัวเทียนเฉิงไม่เอ่ยอะไร เขาเพียงมองนางเช่นนั้น จนกระทั่งเห็นว่าเจินเมี่ยวเริ่มทนไม่ไหวจึงยื่นมือออกมาแล้ววางลงบนศีรษะ จากนั้นจึงลูบผมของนางเบาๆ พลางเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
“เอ๊ะ?”
“ใครบอกเจ้าว่าเยียนเหนียงคือหมาก”
“หรือว่ามิใช่?” เจินเมี่ยวลืมตาขึ้น
ดวงตาของนางกลมโตสุกใส หลัวเทียนเฉิงอดคิดไม่ได้ว่าภรรยาของตนเหตุใดจึงน่ารักเพียงนี้
“ต่อให้เป็นหมากตัวหนึ่ง นี่ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของหมากตัวนี้แล้ว หรืออาจกล่าวได้ว่าพวกเราต่างอาศัยกันเพื่อให้ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่ายเท่านั้น”
เจินเมี่ยวผลักเขา “ยิ่งท่านพูด ข้ายิ่งไม่เข้าใจใหญ่”
หลัวเทียนเฉิงอมยิ้ม “นางใช้ความงามของตนเพื่อการแก้แค้น ข้าช่วยให้นางแก้แค้นได้ นางจึงยินดีที่จะช่วยข้า นี่ไม่ยุติธรรมหรือ”
หลัวเทียนเฉิงเล่าเรื่องราวของเยียนเหนียง เจินเมี่ยวฟังดังนั้นจึงพอสบายใจขึ้นบ้าง
หากเป็นนาง คนสิบกว่าคนในบ้านโดนฆ่าตาย ตนเองก็เกือบตายด้วยคมมีด เกรงว่านางเองก็คงมอบกายถวายชีวิตให้กับคนที่ช่วยเหลือนางให้มีโอกาสได้แก้แค้นเช่นกัน
“ข้าอยากทำให้อารองกับอารองหญิงแตกแยกกัน จึงยืมมือเยียนเหนียงมา แต่คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเรื่องราวจะน่าหดหู่ใจขนาดนั้น นี่แหละที่เขาเรียกว่าจิตใจมนุษย์ยากคาดเดา”
เมื่อชาติก่อน พวกเขาสองสามีภรรยาคิดร้ายต่อกัน ไม่ไว้ใจกัน ถึงขั้นวางแผนให้สตรีสกุลเจินออกไปไหว้พระเพื่อให้พบกับบุคคลที่เป็นที่รู้จักของทุกคนอย่างจวินเฮ่า
หลัวเทียนเฉิงเองก็คิดเช่นกันว่า เวลาที่ผู้ชายรู้สึกเบื่อแล้วพบเข้ากับผู้หญิงที่หลักแหลมจะอดใจไม่ให้เด็ดลงมาได้อย่างไร สตรีเมื่อต้องเคารพสามีราวนายกับบ่าวเช่นนั้น หากจะหวั่นไหวเมื่อพบเจอผู้ชายแบบนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดบาปใหญ่หลวงอะไร
อย่างน้อย หากตอนนี้เขาต้องพบกับสตรีสกุลเจินอีกครั้ง เขาจะควบคุมตนเองไม่ให้เกิดความคิดร้ายหมายเอาชีวิตอีกต่อไป
“เพราะเยียนเหนียงที่ทำให้เจ้ารองกับอารอง คนหนึ่งเสียสติ คนหนึ่งเป็นอัมพฤกษ์ไป”
หลัวเทียนเฉิงอดไม่ได้ที่จะขำออกมา จากนั้นจึงยื่นมือออกไปลูบแก้มของนาง “คนโง่ สามีของเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าคิดว่าข้าเป็นเทพเซียนหรืออย่างไร ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ต้องมีช่วงที่ผิดพลาดได้เช่นกัน!”
เมื่อเจินเมี่ยวฟังถึงตรงนี้ นางก็เพิ่งจะเข้าใจว่านางโดนปั่นหัวอยู่กระมัง จะต้องโดนปั่นหัวอยู่แน่ๆ
“ยังมีอะไรที่ข้องใจอยู่อีกหรือไม่ พูดออกมาให้หมดเถิด หากผ่านวันนี้ไปแล้วแล้วกลับมารื้อฟื้นอีก ตอนนั้นข้าคงไม่พอใจแน่”
เจินเมี่ยวเลิกคิ้ว “ไม่พอใจ? ทำไมถึงไม่พอใจ”
“อ้อ เรื่องนี้ค่อยคิดทีหลัง”
เจินเมี่ยวส่งเสียงเฮอะเบาๆ “เช่นนั้นเยียนเหนียงไม่ได้โดนฆ่าปิดปากใช่หรือไม่ แต่เป็นนางที่หนีออกไปเองแล้วไปพบโจรเข้า?”
หลัวเทียนเฉิงหรี่ตาลงแล้วเลิกคิ้วขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมปล่อยเยียนเหนียงไปสักที โชคดีที่นางเป็นสตรี มิเช่นนั้นข้าคงฆ่านางปิดปากไปแล้วจริงๆ ข้าเป็นคนปล่อยเยียนเหนียงไป นางไม่ได้ตาย ตอนนี้คงจะเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่แล้วเริ่มต้นชีวิตไหนอยู่ที่ไหนสักแห่งไปแล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้เขาก็รีบแก้ตัวว่า “ข้าไม่ได้ปล่อยนางไปเพราะเหตุผลไร้สาระที่เจ้าว่า ข้าปล่อยนางไปเพราะว่าเป็นหนทางที่ไม่ต้องเสียแรงอะไรมาก เพราะ…”
หลัวเทียนเฉิงเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ต่อให้เป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในจุดที่มืดมนที่สุดก็ควรมีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่สักครั้ง”