หมิงเวยตื่นขึ้นจากฝันแล้วยกมือลูบคอที่รู้สึกปวดเบาๆ พอรู้สึกดีขึ้นนางจึงลืมตา ม่านเตียงที่แขวนอยู่ด้านบนมีสีเขียวอ่อนซึ่งไม่ใช่เตียงที่นางมักจะนอนเป็นประจำทุกวันเป็นแน่ หมายความว่านางยังถูกกักตัวอยู่ที่นี่งั้นหรือ
ในเวลานี้จะให้นางทำอันใดได้ล่ะ มันไม่มีประโยชน์เลยนางไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ แล้วนางควรทำอย่างไรต่อไปดี
มาคิดดูแล้วปลอมเป็นฮูหยินสามจากตระกูลหมิงมาจัดการเรื่องนี้แล้วกลับไปก่อนรุ่งสางเช่นนี้ก็จะไม่มีผู้ใดเห็น แต่ตอนนี้นางถูกทิ้งให้อยู่ที่นี่ แผนเดิมใช้ไม่ได้อีกต่อไป
เช่นนั้นก็เหลือหนทางเดียวสำหรับนาง ตามหาคุณชายหยาง ยืมพลังของเขาเพื่อหลบหนีออกจากตระกูลหมิง! แม้จะรู้สึกไม่ดีที่เมื่อคืนถูกเขาตลบหลัง แต่พอมาคิดพิจารณาดูแล้วคุณชายหยางเป็นเป้าหมายที่ดีไม่น้อย
เขามีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะทำให้ตระกูลหมิงไม่กล้าไล่ตาม อีกอย่างเขาก็ไม่ได้เจ้าชู้หื่นกระหายจริงๆ เสียหน่อย ตัวนางเองก็จะยังบริสุทธิ์อยู่
มีอันใดให้ต้องลังเลอีก ตงหนิงเล็กเพียงนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน ในเวลานี้ไม่มีผู้ใดเหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว
ส่วนชื่อเสียงที่ไม่ดีนั้นผู้ใดจะสนกัน
“โครก…” แล้วท้องของนางก็ส่งเสียงร้องขึ้น
หมิงเวยลูบท้องแล้วพึมพำกับตัวเอง “ทำให้หิวเพียงนี้ ขอโทษด้วยจริงๆ”
พอพูดจบก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นข้างหู หมิงเวยลุกขึ้นนั่งก็เห็นว่ามีสาวใช้นั่งเก้าอี้ข้างเตียง
เมื่อเห็นหมิงเวยตื่นขึ้นแล้ว นางจึงลุกขึ้นและวางเข็มกับด้ายลง ถามด้วยเสียงร่าเริง “แม่นางตื่นแล้ว บ่าวชื่อเสี่ยวถง คุณชายสั่งให้บ่าวมาคอยปรนนิบัติท่านชั่วคราวเจ้าค่ะ”
“อ้อ” หมิงเวยพยักหน้า “รบกวนเจ้าแล้ว”
“ไม่รบกวนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยงถงยิ้ม “แม่นางหิวแล้ว ลุกไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีไหมเจ้าคะแล้วค่อยทานมื้อเที่ยง”
หมิงเวยเห็นด้วยทันทีนางไม่ได้กินอะไรเลยมาทั้งคืน แถมยังนอนหลับจนถึงเที่ยง อีกทั้งมีเรื่องไม่สบายใจอีกมากมาย ทานเสร็จก่อนแล้วค่อยพูดดีกว่า
เมื่อเข้ามาในห้องชำระกาย หมิงเวยก็ตกใจเป็นอย่างมาก สระของที่นี่ใหญ่มากถึงขนาดสามารถว่ายน้ำได้ ที่เกินไปที่สุดก็คงเป็นน้ำที่ยังอุ่นอยู่ แน่นอนว่าไม่ได้ต้มน้ำไว้สำหรับนาง น้ำยังอุ่นอยู่แปดส่วน
“หรูหราอะไรเช่นนี้!” หมิงเวยทอดถอนใจแล้วเพลิดเพลินไปกับมันอย่างมีความสุข พอนางขึ้นจากสระในสภาพผมเปียก เสี่ยวถงก็ได้เตรียมเสื้อผ้าใหม่ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
นางช่วยหมิงเวยเปลี่ยนเสื้อผ้า เกล้าผม จัดการให้อย่างสะดวกสบาย แล้วอาหารเที่ยงก็ถูกนำเข้ามา หลังจากคอยปรนนิบัตินางจนทานอาหารเสร็จ เสี่ยวถงก็ถอยออกไป
เมื่อเหลือหมิงเวยเพียงผู้เดียว นางจึงถอดรองเท้าเดินไปมาบนพรมขนสัตว์ เดินย่อยอาหารไปพลางคิดถึงความตั้งใจของคุณชายหยาง
ถึงแม้ไม่ยอมให้นางกลับไป แต่กลับดูแลปฏิบัติกับนางเป็นอย่างดี มีสาวใช้คอยปรนนิบัติ อาหารยังเป็นอาหารชั้นยอด แล้วห้องนี้ดูไปดูมาเหมือนจะเป็นห้องนอนใหญ่ ภายในห้องมีของส่วนตัวจำนวนไม่น้อย…
นางเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือเห็นหนังสือเล่มหนึ่งถูกวางทิ้งไว้จึงหยิบขึ้นมาเปิดดู หนังสือเล่มนี้เป็นเพียงบันทึกธรรมดา ตัวอักษรบนหน้าหลังปกหนังสือทำให้นางต้องก้มดูอยู่หลายรอบ
สิ่งที่เขียนไว้ตรงกลางหน้ากระดาษคือ หักห้ามใจตน ทำตนให้เป็นมารยาท ลงชื่อด้วยคำสองคำ หยางชู
หมิงเวยชะงักยกมือขึ้นแตะตัวอักษรคำว่าชู
“ดูท่านหลงใหลเพียงนี้ ชื่อของข้าไพเราะเหนือความคาดหมายใช่หรือไม่”
หมิงเวยหันกลับไปแล้วก็เห็นคุณชายหยางเดินเข้ามาจากด้านนอก
“อันที่จริงท่านควรแสดงตนให้เป็นผู้ดีเสียหน่อย เขียนได้ดีเพียงนี้ดูไม่สมเป็นท่านเลย” คุณชายหยางรับชาจากสาวใช้แล้วจิบ จากนั้นค่อยพูดว่า “ผิดแล้ว! หากข้าเขียนไม่ดีต่างหากจะเป็นปัญหา”
เมื่อเห็นหมิงเวยเลิกคิ้ว เขาจึงกล่าวเสริม “อย่าลืมสิว่าท่านย่าของข้าเป็นผู้ใด”
อ้อ…องค์หญิงหมิงเฉิง
องค์หญิงผู้มีชื่อเสียงจนต้องจารึกลงในประวัติศาสตร์เป็นผู้ที่ควบคุมวินัยในตนเองดีมาก อีกทั้งยังรักทั้งหลงหลานชาย คงไม่มีทางยอมให้เขาเขียนลายมือเละเทะเป็นแน่ แต่อย่างไรชื่อก็เป็นภาพลักษณ์ของบุคคล แม้ว่าจะเป็นผู้ดี แต่ก็ต้องเป็นผู้ดีที่ดูดีด้วย แต่ความสนใจของหมิงเวยอยู่ที่เรื่องอื่น
“นี่เป็นชื่อของท่านหรือ”
คุณชายหยางเหลือบมองแล้วหัวเราะ “ทำไมหรือชื่อของข้าไม่ไพเราะหรืออย่างไร”
“หยางชู” หมิงเวยอ่านอีกครั้ง “ไพเราะมาก” ถึงนางพูดเช่นนั้น แต่คิ้วของนางก็ไม่คลายลง
คุณชายหยางจึงพูดออกไปว่า “เวลาท่านชื่นชมผู้อื่นรบกวนช่วยแสดงสีหน้าจริงใจสักหน่อยเถิด”
หมิงเวยหัวเราะเบาๆ นิ้วชี้ไปที่คำว่าชูอีกหน “แต่อภัยให้ข้าด้วยที่ต้องพูดตรงๆ ความหมายแฝงของคำนี้ไม่ค่อยดีเท่าใด”
“โอ้” รอยยิ้มของคุณชายหยางจางลงเล็กน้อย
“ชู (殊) หมายถึงความตาย ผู้ต้องโทษประหารชีวิตด้วยการแยกศีรษะออกจากร่าง จึงเรียกว่าต้องโทษด้วยการตัดหัว” หมิงเวยพูดเสียงเบา “คำคำนี้มีเจตนาสังหาร แฝงความหมายตายโหงไว้ ประกอบด้วยคำว่าไต่ (歹) และจู (朱) ไต่สื่อถึงกระดูก ส่วนจูสื่อถึงสีเลือด…”
นางเงยหน้าขึ้นมองคุณชายหยาง “ชื่อเป็นหลักฐานการมีตัวตนของมนุษย์ ถึงแม้ไม่สามารถแทนถึงโชคชะตา แต่ก็ส่งผลต่อโชคของคนผู้นั้นไม่มากก็น้อย ชื่อนี้ของคุณชาย ดูหดหู่เกินไปเกรงว่าจะไม่ตายอย่างสงบ”
“….” นิ้วของหมิงเวยเลื่อนไปชี้คำสี่คำที่อยู่ตรงกลางแล้วพูดช้าๆ “หักห้ามใจตน ทำตนให้เป็นมารยาท มีสัตว์ร้ายซ่อนอยู่ในตัวคุณชายเป็นแน่! แม้แต่ตนเองยังกลัวการมีอยู่ของมันทำได้แค่ยับยั้งตนเองเป็นครั้งคราวไม่ให้ทำร้ายผู้คน”
คุณชายหยางหัวเราะสั้นๆ “ตอนแรกที่ท่านพูดก็ดูมีเหตุผล แต่ตอนท้ายดูมั่วไปหน่อย บุรุษล้วนนำคำสอน เมตตานำ หักห้ามใจตน ทำตนให้เป็นมารยาทมาเป็นคติประจำใจ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าทุกคนล้วนมีสัตว์ร้ายอยู่ในใจเหมือนกันอย่างนั้นหรือ”
หมิงเวยหัวเราะ นางไม่เถียงเขา “ถ้าเป็นเช่นนั้นเหตุใดคุณชายถึงนำคำว่าชูเป็นชื่อเล่า ท่านเป็นลูกหลานในราชวงศ์ เป็นบุคคลที่มีความสำคัญ เป็นที่รักขององค์หญิงใหญ่ เหตุใดถึงใช้ชื่อนี้เล่า”
“ท่านพูดว่าเหตุใดเยอะเสียจริง ชู หมายถึงโทษประหาร แต่ก็มีความหมายอย่างอื่นมากมายเช่นกัน เหตุใดท่านถึงคิดว่าหมายถึงอย่างแรก ไม่ใช่อย่างหลังกัน”
ถึงจะพูดเช่นนั้น เขากลับนั่งลงหยิบพัดงาช้างออกมาคลี่ อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าอากาศยังหนาวอยู่นางจึงรู้ว่าเขาแกล้งทำเป็นร้อน
หมิงเวยมองการเคลื่อนไหวของเขาก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้เขาจะปฏิเสธ แต่นางรู้ดีว่าตนเองนั้นพูดถูก ปรมาจารย์แห่งชีวิตถึงแม้ไม่ได้ทำนายชะตาชีวิตเป็นหลัก แต่ไม่ได้หมายความว่านางทำนายไม่ได้
ในแวดวงของผู้มีวิชา ตอนที่พวกเขาทำนาย พวกเขาชอบใช้คำพูดที่เหมือนจะใช่แต่ไม่ใช่เพื่อทำลายความคิดในใจเป็นที่สุด ถ้าเป็นเช่นนี้โกงเงินยังง่ายเสียกว่า…
ยิ่งไปกว่านั้นนางมีความสามารถจริงๆ ทำให้เขาประหลาดใจ ปล่อยใจ จากนั้นจึงพูดจูงใจเขาได้โดยง่าย ทางด้านคุณชายหยางจ้องมองนางครั้งแล้วครั้งเล่า
“ท่านมองข้าอย่างหลงใหลเช่นนี้ คิดว่าข้างดงามมากใช่หรือไม่” หมิงเวยยิ้มให้เขา คุณชายหยางหัวเราะ เขายันตัวขึ้นใช้พัดแตะเข้าที่คางของนางแล้วพูดอย่างไม่แยแส “ใช่! ข้าคิดว่าแม่นางเกิดมางดงามเพียงนี้ อีกทั้งยังมีความสามารถถึงเพียงนี้ เก็บไว้ให้อยู่ข้างกายนานๆ จะดีกว่า”
หมิงเวยเงียบไปเล็กน้อยก่อนเอ่ย “คุณชายหยาง..”
“หืม…”
“ตั้งแต่ท่านรู้ว่าข้าเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่เข้ายึดร่าง ท่านคงไม่เคยคิดว่าตัวข้าอาจเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ ร่างกายกำยำ ว่างๆ เอามือแคะเท้าแล้วเอามือที่แคะเท้าหยิบสิ่งของ…”
คุณชายหยางหน้าเขียวเขารีบเก็บพัดอย่างรวดเร็ว หมิงเวยรู้สึกเหมือนนางแก้แค้นได้สำเร็จ กำลังจะได้ทีขี่แพะไล่ อาหว่านก็เดินเข้ามา
“คุณชายเจ้าคะ”
“มีเรื่องอันใด” ในหัวของคุณชายหยางยังมีคำว่าบุรุษแคะเท้าดังก้องอยู่ในหัว เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นที่ไม่สามารถบรรยายได้อวลอยู่ทั่วร่างกายของเขา
อาหว่านเดินเข้าไปใกล้แล้วกระซิบบอกอะไรบางอย่างข้างหูเขา หมิงเวยเห็นสีหน้าของคุณชายหยางดูเคร่งเครียดขึ้นมา
“เจ้าแน่ใจหรือไม่”
อาหว่านพยักหน้า เขาโบกมือให้อาหว่านถอยไปแล้วหันมามองหมิงเวย เขาไม่พูดอะไรอยู่นานราวกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง หมิงเวยเห็นสีหน้าของเขาก็ใจกระตุกราวกับมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
แต่นางไม่ได้ถามออกไป นางรู้สึกกลัวเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก
ในที่สุดคุณชายหยางก็เปิดปากพูด “ตระกูลหมิงเกิดเรื่องขึ้น”
หมิงเวยรอคำพูดต่อไปของเขา คุณชายหยางครุ่นคิดสุดท้ายเขาก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าจะให้อาหว่านส่งท่านกลับไป”
……………………………………………………..