ถาวจวินหลันสั่งให้คนนำเรื่องนี้ไปบอกถาวจิ้งผิงและถาวซินหลัน
ถาวซินหลันออกตัวอย่างรวดเร็ว พอได้ข่าวแล้วตกบ่ายวันนั้นก็มาในทันที พูดไปแล้วนางกับอู๋ชิ่นหลานสนิทสนมกันมากกว่า แวะมาเยี่ยมหาก็ไม่ถือเป็นเรื่องแปลก
แต่เห็นได้ชัดว่าถาวซินหลันไม่ได้มาเยี่ยมหา เพราะว่าหลังจากนางเจอคู่แม่ลูกอู๋สวี่ซื่อแล้ว นางก็ยิ้มและถามอู๋สวี่ซื่อว่า “ตอนนั้นท่านและท่านอาปิดประตูใส่หน้าท่านพี่ของข้า ข้าก็คิดว่าชีวิตนี้พวกเราน่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะได้พบกันอีกครั้ง”
นางไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย แม้จะบอกว่าคำพูดที่สนิทสนมหยอกล้อก็ยังไม่ใช่ ทีเมื่อก่อนพวกเจ้าไม่ยอมช่วยพวกข้า แต่ตอนนี้กลับกล้าแบกหน้ามาขอความช่วยเหลือจากพวกข้าอย่างนั้นหรือ?
อู๋สวี่ซื่ออับอายจนแม้แต่จะเปิดปากพูดยังไม่กล้า
กลับเป็นอู๋ชิ่นหลานที่ยิ้มสดใส เอ่ยปากพูดแทน “ท่านพี่ซินหลันหรือ? ท่านคือพี่ซินหลันใช่หรือไม่? หลายปีที่ไม่ได้พบกัน ข้าเกือบจำท่านไม่ได้แล้ว” พูดพลางหลุบตามองต่ำ และยังพูดดีใจอีกว่า “ท่านตั้งครรภ์แล้วหรือ? ยินดีด้วย!”
ท่าทางของอู๋ชิ่นหลานเหมือนได้พบเพื่อนสนิทที่ห่างกันไปนาน จนไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าตอบกลับอย่างไรดี
แต่ถาวซินหลันกลับไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ เพียงแค่นหัวเราะพูดว่า “ใช่แล้ว ต้องขอบคุณพวกเจ้า ตอนนั้นจนตรอกขนาดนั้นแล้ว พวกเราทั้งบ้านกลับไม่ได้อดตายอยู่ข้างถนน แต่โชคชะตาพลิกผันจนมีวันนี้ หากตอนนั้นพวกเจ้ารับพวกเราเอาไว้ ก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะมีสภาพเช่นไร ข้าควรต้องขอบคุณเจ้า ขอบคุณที่ปิดประตูปฏิเสธพวกเราอย่างเย็นชา”
อู๋สวี่ซื่อดึงอู๋ชิ่นหลานให้นั่งลง ก่อนน้ำร้องไห้เบาๆ “ตอนนั้นพวกเราก็ไม่มีทางเลือก ขอให้ท่านอย่าได้คิดแค้นพวกเราเลยเจ้าค่ะ”
อู๋ชิ่นหลานอธิบายเสียงเบา “ใช่แล้ว ตอนนั้นพวกเราไม่กล้ารับดูแลพวกท่าน แต่เดิมคิดจะให้ผ่านช่วงหนึ่งไปก่อนแล้วค่อยแอบรับพวกท่านมา แต่คิดไม่ถึงว่าพวกท่านจะเข้าวังหลวงไป”
อู๋ชิ่นหลานพูดเหมือนพวกตนเองไร้ความผิด แต่ถ้าคิดช่วยเหลือด้านการเงินกันจริงๆ ก็สามารถแอบบอก หรือแอบมอบเงินเล็กน้อยให้พวกนางเข้าไปพักในโรงเตี๊ยมได้ แต่ตระกูลอู๋ทำอะไร? เห็นได้ชัดว่าไม่ทำอะไรสักอย่าง
ถาวจวินหลันกับถาวซินหลันอยากจะหัวเราะเยาะ
“ได้ยินว่าเจ้าพูดกับท่านพี่ว่า ไม่กินของให้ทานอย่างนั้นหรือ? แลดูทระนงตนนัก” ถาวซินหลันหัวเราะเบาๆ แล้วพูดเนิบช้าว่า “เจ้าคิดเช่นนี้ก็ดี สมแล้วที่เคยเรียนหนังสือมาก่อน แต่หากอยู่ที่จวนของพวกเราก็คงไม่เหมาะสม เจ้าว่าอย่างไรเล่า? คนอื่นจะไม่เอาไปนั่งนินทาอย่างนั้นหรือ? อย่างไรก็ไม่มีเหตุผลเรียกใช้ญาติมิใช่หรือ?”
พอพูดเรือ่งนี้ออกมาตรงๆ อู่ชิ่นหลานก็เริ่มหน้าแดงเล็กน้อย
ถาวจวินหลันมองถาวซินหลันด้วยความตกใจ แต่กลับเห็นถาวซินหลันยักคิ้วหลิ่วตามาทางตน ทันใดนั้นนางก็เข้าใจความหมายของถาวซินหลัน สามารถใช้วิธีนี้สะบัดคู่แม่ลูกนี้ออกไปได้ ตามองไม่เห็นใจสะอาดก็ถือว่าไม่เลว
พอครุ่นคิดดูแล้ว วิธีนี้ก็ถือว่าดีเลยทีเดียว
แต่เห็นได้ชัดว่าถาวจวินหลันประเมินความแค้นของถาวซินหลันต่ำเกินไป
อู๋ชิ่นหลานยกเรื่องเข้าไปรับใช้ในวังหลวงขึ้นมาอีกครั้ง
ถาวซินรับคำในทันใด ยิ้มและพูดว่า “แต่นางกำนัลในวังของไทเฮาแบ่งเป็นขั้นสาม ขั้นหก ขั้นเก้า เจ้าเพิ่งไปเกรงว่าไม่อาจรับใช้ใกล้ชิดได้ ดังนั้นต้องทนไปก่อนช่วงหนึ่ง อีกทั้งเมื่อเข้าวังหลวงไปจะออกมาก็ไม่ง่ายเจ้าต้องคิดให้ดี”
ด้วยเพราะอู๋ชิ่นหลานไม่คิดว่าถาวซินหลันจะตอบตกลงง่ายดาย นางจึงอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็รีบตอบรับอย่างเด็ดเดี่ยว “ขอแค่ได้เข้าวังหลวงก็ถือเป็นบุญของข้าแล้ว ไม่กล้าหวังอะไรอีกเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นย่อมได้ เจ้าไปกับข้า ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้ แต่มารดาของเจ้าจะให้อยู่อย่างไร เจ้าคิดไว้หรือยัง?” ถาวซินหลันยิ้มแย้มถามด้วย่ทาทางดูมีน้ำใจและสนิทสนมกลมเกลียวยิ่งนัก
“ไม่ว่าจะไหว้วานฝากท่านแม่ไว้กับใครในท่านพี่ทั้งสองคน คิดว่าท่านแม่คงไม่ลำบาก แค่นี้ข้าก็สบายใจแล้วเจ้าค่ะ” อู๋ชิ่นหลานพูดด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้ข้าจัดการก็แล้วกัน” ถาวซินหลันยิ้มเป็นประกายกว่าเดิม
อู๋ชิ่นหลานย่อมดีใจจนออกนอกหน้า พลางพูดคำพูดสรรเสริญออกมาอีกกระบุงใหญ่ แล้วถาวซินหลันก็ใช้ข้ออ้างให้ออกไปเตรียมตัวเก็บของ เพื่อให้ทั้งคู่เดินออกไปจากตรงนี้
พอสองแม่ลูกออกไปแล้ว ถาวจวินหลันก็หัวเราะถามถาวซินหลันว่า “เจ้าคิดจะจัดการเรื่องที่อยู่ของพวกนางอย่างดีจริงหรือ?”
ถาวซินหลันส่งเสียงฮึดฮัด “ย่อมต้องจัดการให้ดีเป็นแน่เจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะตอบแทนตอนที่พวกนางทำกับพวกเราได้อย่างไร? อยากจะอยู่ข้างกายไทเฮาอย่างนั้นหรือ? คิดจะฉวยโอกาสไต่เต้าจนขึ้นเป็นกุ้ยเหรินอย่างนั้นหรือ? นางคงต้องคิดให้ดีเสียแล้ว ใครบ้างไม่รู้ความคิดของนาง ข้าจะจัดการให้นางเข้าไปก่อนเจ้าค่ะ แล้วค่อยให้คนคอยจับตาดูความผิดของนาง ส่งนางไปหน่วยซักล้างเพื่อซักเสื้อผ้า สุดท้ายค่อยส่งนางไปที่วังของฮองเฮา หากยังเชื่อฟังก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ยอมฟัง แม่ของนางก็ยังอยู่ในมือของพวกเรา”
“แผนนี้ก็ไม่เลว แต่จะโหดร้ายเกินไปหรือไม่?” สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ยังใจอ่อนอยู่ดี “หากเข้าวังไปจริง นางก็เสียเวลาชีวิตแล้ว” เพียงแค่เรื่องออกเรือนก็ไม่ง่ายแล้ว
“ท่านพี่จะใจอ่อนเกินไปแล้วนะเจ้าคะ” ถาวซินหลันเหลือบตามองพี่สาวของตนเอง ขมวดคิ้วกล่าวโทษ “ท่านอยู่ในวังมายังไม่นาน แล้วยังอยู่แค่ข้างกายองค์ชายมาโดยตลอด ไม่ค่อยเข้าใจสภาพในวังหลังนัก ข้าถามท่าน หากในอนาคตท่านเป็นฮองเฮา มีคนคิดวางแผนสังหารท่านมากมาย เพื่อขึ้นมาแทนตำแหน่งของท่าน ท่านจะฆ่านางหรือไม่เจ้าคะ?”
ถาวจวินหลันเม้มปาก เข้าใจความหมายของถาวซินหลัน ฆ่าเพื่อให้จบ หากนางใจอ่อนไม่เด็ดขาด อนาคตก็คงไม่อาจทำให้พวกคิดร้ายทั้งหลายสงบเสงี่ยมได้ ดังนั้นนางควรต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง นอกจากท่าทางและภาพลักษณ์จะต้องเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นแล้ว ฝีมือวิธีการก็จะต้องเหมาะสมด้วยเช่นเดียวกัน
“ที่จริงแล้วจัดคนไปไว้ข้างกายฮองเฮาก็ดีเหมือนกัน” ถาวซินหลันพูดเสียงเบา น้ำเสียงเย็นยะเยือก “องค์รัชทายาทเพิ่งสวรรคตไป ชื่อเสียงก็ดีขึ้นมา ฮองเฮาคงไม่อาจเป็นอะไรได้ง่ายนัก ในอนาคตท่านก็จะต้องต่ำกว่านางอยู่ขั้นหนึ่ง จะยิ่งเสียเปรียบมากขึ้น ท่านส่งคนไปไว้ข้างกายนาง หากมีอะไรขึ้นมา จะฆ่านางก็ถือเป็นเรื่องง่าย”
ถาวจวินหลันถอนหายใจ คิดดูแล้วก็พยักหน้า ตอนแรกนางเคยคิดจะหาทางฆ่าฮองเฮา เคยจ้างคนลงมือแล้ว แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายไม่สำเร็จ
ที่จริงแล้วพอมาคิดดูให้ฮองเฮามีชีวิตอยู่นางถึงจะยิ่งสะใจกระมัง? มองดูลูกชายของตนเองตายไปกับตา แต่นางกลับไม่สามารถทำอะไรได้ ความเจ็บปวดเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับไหว อีกทั้งในอนาคตฮองเฮายังต้องมองดูตระกูลหวังล่มสลายไปกับตาเช่นเดียวกัน มองดูฐานอำนาจที่นางสร้างขึ้นมาย่อยยับไปกับตา ตอนนั้นฮองเฮาจะเจ็บปวดมากเพียงใด?
พอเทียบกันแล้ว ปล่อยให้ตายถือเป็นการปลดปล่อยฮองเฮา ดังนั้นตอนนี้นางจึงยังปล่อยให้ฮองเฮามีชีวิตอยู่ต่อ เพราะมีชีวิตถึงจะสัมผัสความเจ็บปวดและความทรมานอย่างไร้ที่สิ้นสุด และตายทั้งเป็นได้
แต่การแทรกคนเข้าไปข้างกายฮองเฮา ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดี
คิดอยู่ครู่หนึ่งถาวจวินหลันก็เรียกสติกลับมาได้ จึงขมวดคิ้วตำหนิว่า “ตอนนี้เจ้าจะเป็นแม่คนแล้ว มัวแต่คิดเรื่องฆ่าฟัน วางแผนร้ายอยู่อย่างนี้ทุกวันได้อย่างไร? เดี๋ยวลูกก็พาลเสียคนไปด้วย”
ถาวซินหลันขอให้เรื่องนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พลางกล่าวโทษว่า “พอตั้งครรภ์แล้ว ก็ยิ่งไร้อิสระ แม่สามีจับตามองข้าอยู่ทุกวัน แค่ถูกบังคับเรื่องอาหารการกินอย่างเข้มงวดยังไม่พอ จะเดินก็ดี อ่านหนังสือก็ดี ฝึกเขียนพู่กันก็ดี ต่างก็ถูกควบคุมอย่างแข็งขัน น่าเบื่อเหลือเกินเจ้าค่ะ”
“เจ้ารู้จักพอเถิด นางทำไปเพราะหวังดีต่อเจ้า” ถาวจวินหลันจิ้มหน้าผากของถาวซินหลันอย่างแรง “มีคนมากมายเท่าไรอิจฉาอย่างไรก็ยังไม่ได้มา เจ้ายังจะมาร้องกล่าวโทษอีก”
“ข้าได้ยินแม่สามีพูดว่าเกรงจะต้องเลือกพระชายาให้พี่เขยอีกแล้ว ท่านพี่ ทำอย่างไรดีเจ้าคะ?” ถาวซินหลันเห็นตัวเองโดนสั่งสอน ก็รีบเปลี่ยนเรื่องพูด
ถาวจวินหลันนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็แค่นหัวเราะออกมา “ยังจะทำอะไรได้?” หากมีพระชายาคนใหม่ที่มีฐานันดรสูงส่ง นางก็ทำได้เพียงมองดูเท่านั้น แม้ว่าตอนนี้หลี่เย่จะมีความสามารถเพียงใด แต่ก็ยังไม่อาจตัดสินใจเรื่องนี้เองได้
“ท่านพี่ควรคิดหาวิธีนะเจ้าคะ” ถาวซินหลันเม้มปากครุ่นคิด “หากมีพระชายาคนใหม่ที่มีฐานันดรสูงส่งเข้ามาจริง ไม่ว่าจะเป็นท่านพี่ หรือว่าซวนเอ๋อร์ ในอนาคตก็ต้องติดขัดเรื่องตำแหน่งอย่างแน่นอน คงขาดไม่ได้ที่จะต้องสู้รบตบมือกันอีกครั้ง”
ถาวจวินหลันย่อมต้องเข้าใจหลักการนี้ นางไม่อยากให้ถาวซินหลันเป็นกังวล ดังนั้นจึงยิ้มพลางพยักหน้า “เจ้าวางใจ ข้าเองไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีเลย เรื่องนั้นไม่มีทางที่จะสำเร็จง่ายขนาดนั้น”
แม้แต่หลี่เย่เองก็ต้องขัดขวางไม่ให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น อีกทั้งตอนนี้ก็ยังไม่พ้นช่วงไว้ทุกข์
ถาวซินหลันพยักหน้า สุดท้ายถึงได้ถามเสียงเบา “แม่สามีของข้าให้ข้ามาถามท่าน อาการของฮ่องเต้ไม่ดีมากเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ? ยังทนได้อีกเท่าไรเจ้าคะ?”
เฉินฮูหยินย่อมไม่ได้พูดตรงเช่นนี้ ทว่าพูดอ้อมค้อมกว่านี้ แต่ถาวซินหลันคิดว่ากับพี่สาวตนคงไม่ต้องอ้อมค้อมมาก จึงเอ่ยปากถามตรงๆ
ถาวจวินหลันเข้าใจ ที่จริงแล้วก็มีคนมากมายอยากถามคำถามเดียวกันนี้ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือตระกูลใหญ่ทั้งหลาย หรือจะเป็นพ่อค้าร่ำรวยพอมีหน้ามีตา ก็ใส่ใจปัญหานี้เป็นอย่างมาก พวกเขาอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วฮ่องเต้จะมีชีวิตได้อีกนานเพียงใด อยากรู้ว่าพวกเขาจะต้องรีบเลือกฝ่ายแล้วหรือไม่ แต่ข่าวนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนรู้กัน
ตอนนี้วังหลวงปิดข่าวอย่างกวดขัน ข่าวที่เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ไม่มีหลุดออกมาแม้แต่คำเดียว ไม่มีใครรู้ว่าอาการของฮ่องเต้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว
แต่ถาวจวินหลันพอรู้อยู่บ้าง จึงส่ายหน้าพูดว่า “เจ้าไปบอกเฉินฮูหยินแค่ว่าปกติเป็นเช่นไร ตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องกังวล”
จากพระวรกายยามนี้ของฮ่องเต้ จะมีชีวิตรอดอีกปีหนึ่งก็ไม่ใช่ปัญหา โดยเฉพาะตอนนี้ไทเฮาเริ่มวางแผนกำจัดนักพรตกู่แล้ว แน่นอนว่าถ้าจะมาจัดการเรื่องราชการเหมือนแต่ก่อนคงเป็นไปไม่ได้ แต่หากใช้เวลาครึ่งหนึ่งของแต่ก่อนไปจัดการว่าราชการได้ทุกวันก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ในเร็วๆ นี้
ตอนนี้ฮองเฮาก็กลัวว่าฮ่องเต้จะตายเร็วเกินไป ดังนั้นจึงต้องคิดหาวิธีทำให้ฮ่องเต้มีชีวิตอยู่นานมากนี้อีกหน่อย
ส่วนความปลอดภัยของฮ่องเต้นั้น ถาวจวินหลันไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก