ตอนที่ 1
ผมนึกเสียดายขึ้นมาเล็กน้อยที่ฆ่ามาร์โวลโล เดอ ไอล์ไลท์ทิ้งไปง่ายๆ แบบนั้น มีทั้งบันทึกยังไม่พอ ยังถึงกับเก็บภาพเคลื่อนไหวไว้อีก นี่ถึงกับมองได้ว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเบลเฟกอร์เสียอีก
ผมรู้สึกขนลุกขนพองกับการยึดมั่นที่แฝงความวิกลจริตนั้น จากนั้นผมจึงเดินเข้าไปตรงที่ที่มีลูกแก้วคริสตัลทันที ในระหว่างนั้น ลูกแก้วคริสตัลซึ่งอันฮยอนเปิดเอาไว้จนทั่วก็ยังคงฉายภาพซ้ำอย่างต่อเนื่อง
‘กราเซีย! มาช่วยสินะคะ! ขอบคุณจริง… กราเซีย มาร์…โวล…โล’
‘รอยดดดดดด์!’
‘แหะ แหะ…’
“พี่ หรือว่านี่คือเจ้าหญิงแห่งเอลฟ์ที่พี่เล่าให้ฟังครับ”
“อันฮยอน ถอยไปข้างหลัง”
“ครับ อะไรนะครับ”
“บอกว่าให้ถอยไปข้างหลังฉัน เดี๋ยวจะเจ็บตัว”
ผมโพล่งออกมานิ่งๆ แล้วยืนอยู่ตรงกลางของผนัง ผมงอเข่าด้านขวาจนแตะกับหน้าอกแล้วปลุกพลังเวทขึ้นมาอย่างเต็มที่ จากนั้นก็เตะขาไปกลางอากาศอย่างรุนแรง
ปัง!
ผมเตะขาไปด้านหน้าอย่างรุนแรง ทันใดนั้น กลางอากาศซึ่งไม่มีอะไรเลยก็เขย่าอย่างแรงครั้งหนึ่งแล้วคลื่นจากการกระแทกอันรุนแรงก็ครอบคลุมทั่วทั้งผนัง
โครม! เพล้ง!
และแล้วชั้นหนังสือที่ติดอยู่กับผนังก็แยกออกเป็นชิ้นๆ ส่วนลูกแก้วคริสตัลซึ่งเคยวางอยู่ก็แตกไม่มีชิ้นดีจนหมดเกลี้ยงเพราะคลื่นจากการกระแทก ชิ้นส่วนที่กระเด็นออกมาเพราะแรงกระแทกกระจายไปในอากาศแล้วไม่นานก็เริ่มร่วงกราวลงพื้น
เพล้ง
ในตอนที่ชิ้นส่วนที่กระเด็นกระดอนร่วงหล่นลงบนพื้น ผมจึงส่งหนังสือทั้งหมดที่ถืออยู่ให้อันฮยอน
“อันฮยอน เอานี่ทั้งหมดไปใส่ไว้ในกระเป๋า”
“อ๊ะ ครับ พี่ แต่ว่า…”
“…”
“ผู้หญิงที่โผล่มาในลูกแก้วคริสตัลเมื่อกี้น่ะครับ เธอคือราชินีแห่งเอลฟ์จริงๆ เหรอครับ”
ผมมองอันฮยอนที่ยัดหนังสือใส่ในกระเป๋าอย่างลุกลี้ลุกลน และในตอนที่พยักหน้าให้เบาๆ นั้นเอง
ตึงๆๆๆ!
จู่ๆ ผมก็รู้สึกได้ถึงสัญญาณที่มีใครบางคนกำลังวิ่งมาตามทางเดินอย่างรีบร้อนจากด้านนอก
พอจ้องมองไปทางประตูห้องนิ่งๆ ผมจึงได้เห็นอียูจองที่ชูคาทานะขึ้นด้วยมือข้างหนึ่งราวกับจะฟาดใครให้ตาย ใบหน้าของเธอดูรีบร้อนเป็นอย่างมาก แต่พอเห็นผมกับอันฮยอนยืนงงกันอยู่ เธอจึงทำสีหน้างุนงงออกมา
“ยูจอง เป็นอะไรหรือเปล่า”
“พะ พี่ ไม่เป็นไรใช่ไหม จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอะไรระเบิดน่ะสิ”
“อ๋อ ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ไม่มีอะไรผิดปกติเลย”
“อย่างนั้นสินะ…”
อียูจองมองเศษชิ้นส่วนคริสตัลที่กระจัดกระจายเกลื่อนพื้นแล้วทำสีหน้าแปลกๆ ออกมา จากนั้นไม่นานเธอก็เงยหน้าพรวดขึ้นมาด้วยใบหน้านึกอะไรบางอย่างออก
“อ้อ พี่ สำรวจชั้นสี่เสร็จหรือยัง”
“เกือบแล้ว เธอล่ะ”
“ฉันกับพี่ิยอนจูเสร็จแล้ว แล้วก็พี่ยอนจูบอกให้รีบพาพี่ลงไป”
“งั้นเหรอ บอกว่าเจออะไรหรือเปล่า”
“อื้อ ฉันเจออย่างหนึ่ง พี่ยอนจูเจออย่างหนึ่ง แต่ไปที่ชั้นสองก่อนก็น่าจะดีเหมือนกัน”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจของอียูจองทำให้ผมตัดสินใจที่จะจบการสำรวจชั้นสี่ลงตรงนี้ ผมคิดว่ามีอัตราความเป็นไปได้สูงที่สิ่งที่ผมจำได้จะอยู่ชั้นสี่ แต่บางทีดูเหมือนมันคงอยู่ชั้นอื่น
ผมพยักหน้าเงียบๆ ให้สายตาเร่งเร้าของอียูจอง จากนั้นผมกับอันฮยอนก็ตามเธอออกมานอกห้อง
พอรีบลงบันไดไปถึงชั้นสอง ผมจึงได้เห็นโกยอนจูกำลังยืนกอดอกรอผมอยู่หน้าห้อง เธอคงรู้สึกได้ถึงสัญญาณที่พวกเรากำลังลงมา เธอจึงหันหน้ามาแล้วเอามือข้างหนึ่งออกมาโบก
“มาแล้วสินะคะ ได้อะไรมาจากชั้นสี่บ้างหรือเปล่าคะ”
“ไม่ได้ถึงกับไม่มีเลย แต่เป็นพวกของที่จะต้องคอยดูสักหน่อยก่อนครับ โกยอนจูล่ะครับ ชั้นสองมีอะไรเหรอ”
“โฮะๆ ใจร้อนจริงๆ เลยนะคะ มันอยู่ในห้องนี้ เพราะฉะนั้นมาดูด้วยตัวเองเลยดีกว่าค่ะ บางทีอาจจะตกใจก็ได้”
คงสัมผัสถึงความรีบร้อนได้จากการเดินหรือไม่ก็วิธีการพูดของผม โกยอนจูจึงหัวเราะเบาๆ พร้อมกับตอบ ผมเดินเข้าไปตรงหน้าเธอแล้วจึงมองเข้าไปข้างในห้องนั้นทันที
ภายในห้องสะอาดสะอ้าน พื้นด้านในกับด้านนอกโดยเอาขอบประตูเป็นเกณฑ์มีสีแตกต่างกันราวกับตั้งใจทำความสะอาดอย่างประณีตแค่ที่นี่ที่เดียว
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ผมอยู่ในสภาวะเรียกใช้ดวงตาที่สามแล้ว ผมเบนสายตาขึ้นด้านบนและในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงสัญญาณที่ว่าเด็กๆ ทางด้านหลังกำลังยื่นหัวเข้ามาอยู่ ตอนนั้นเอง
[คาลิโก อาบรักซัส (Caligo Abraxas)]
[พาราดิซุส เพลท เมล (Paradisus Plate Mail)]
[ออร์โธรส ลอง บู๊ทส์ (Orthros Long Boots)]
[แสงแปลบปลาบส่องประกาย : ลอร่า ฟีลิส (Laura Phylis)]
[เสื้อที่ถักทอขึ้นจากใบไม้ของอิกดราซิล]
[รีซา บู๊ทส์ (Rhiza Boots)]
[ที่คาดผมอันบริสุทธิ์ (Headband of Innocence)]
[ปีกของราชินีแห่งเอลฟ์ที่ถูกฉีกออก (12คู่)]
[จอมเวทสายมืดแห่งดวงจันทร์สีน้ำเงิน (Book, Magician of Blue Moon, Secret Class)]
[นักสู้ยามรุ่งสาง (Sword, Gladiator of the Dawn, Rare Class)]
[รัตติกร (蟾魄)]
[ไทร์ฟิงค์ (Tyrfingr)]
ทันทีที่กวาดสายตาดูภายในห้อง ข้อความแสดงข้อมูลทั้งหมดก็เริ่มอัดแน่นอยู่เต็มกลางอากาศ พอมองดูข้อความพวกนั้นอย่างเหม่อลอยเพราะรู้สึกงุนงง เสียงอันแผ่วเบาของโกยอนจูก็ดังขึ้นมาจากด้านข้าง
“แปลกใจใช่ไหมคะ มองยังไงก็รู้สึกได้ถึงพลังที่ไม่ธรรมดาเลยค่ะ ไม่ว่ายังไง…”
“นี่…”
“ยินดีด้วยค่ะ ซูฮยอน คุณชวนให้เข้าไปด้านในแบบนั้น การออกสำรวจครั้งนี้ก็เลยได้รับกำไรมหาศาลอีกแล้วนะคะ”
ในตอนที่ได้ฟังคำพูดของโกยอนจู ผมจึงคิดขึ้นมาว่าค้นพบอย่างหนึ่งแล้ว
คำพูดของโกยอนจูทำให้เด็กๆ ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความประทับใจอย่างพร้อมเพรียงกัน ของบางอย่างในบรรดาอุปกรณ์ที่ติดไว้ตรงผนังถึงขนาดส่องประกายด้วยตัวของมันเองเป็นพิเศษ ทั้งสามคนนอกจากผมมองดูลักษณะอันสวยงาม แล้วจึงจ้องมองไปยังทรัพย์สมบัติของเหล่าวีรชนด้วยใบหน้าเหมือนกับวิญญาณหลุดหายไป
แต่พอเจอเข้าจริงๆ ภายในใจของผมกลับสงบกว่าที่คิด เพราะเหตุผลที่มายังมาเจียก็เพื่อเอาสิ่งของพวกนี้ไปตั้งแต่แรก กลับกลายเป็นว่าตอนเก็บผลงานอันโดดเด่นเกินความคาดหมายที่มิวล์ซึ่งไปโดยเล็งเอาไว้แค่อย่างเดียวคือ ‘มือหอกจี้กง’ ยังรู้สึกตกใจมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองโดยไม่ใส่ความคิดเห็นส่วนตัวก็เป็นขุมทรัพย์มหาศาลจริงๆ นั่นแหละ แต่ถึงแม้จะมีทั้งอย่างโน้นทั้งอย่างนี้ อย่างไรก็อยู่ในหมวดหมู่ที่คาดการณ์ไว้ ถึงจะอารมณ์ดีแต่ก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกประทับใจอะไรมากมายจนถึงขั้นสติหลุด เพราะอย่างนั้น ผมจึงมองดูสมาชิกเผ่าที่ยังคงยืนอย่างเหม่อลอยแล้วตบมือเข้าหากันเบาๆ
แปะๆ
“จะยืนเหม่ออยู่จนถึงเมื่อไรครับ”
“ตายจริง ตั้งสติหน่อยสิฉัน”
พอปรบมือพร้อมกับพูดเตือน โกยอนจูจึงใช้หลังมือถูริมฝีปากพลางพึมพำ ตอนนั้นเด็กๆ ถึงได้ตั้งสติแล้วทำสีหน้าเคอะเขิน ผลตอบแทนในตอนสุดท้ายของการสำรวจทำให้ผู้เล่นอารมณ์ดีเสมอมา ผมรู้สึกได้ว่าบรรยากาศที่เคยดิ่งลงอย่างประหลาดแม้จะถึงแค่เมื่อครู่นี้ กลับเริ่มผ่อนคลายลงถึงจะแค่นิดเดียวก็ตาม
ในตอนนั้น
“ท่านพี่!”
จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงอันซลร้องตะโกนดังลั่นจากชั้นหนึ่ง พอเปิดประสาทการรับเสียงให้ดีขึ้นและตั้งใจฟังอยู่นิ่งๆ ผมจึงรับรู้ถึงสัญญาณที่ว่าเธอกำลังสูดหายใจเฮือกใหญ่ดังฮึบอยู่
“ผู้เล่นคนอื่นๆ ตื่นแล้วค่าา!”
“อันฮยอน อียูจอง”
“ครับ พี่”
“อื้อ พี่”
ทั้งสองคนตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน ทันใดนั้น ทั้งสองคนก็มองหน้ากันพร้อมกันและทำหน้ายู่พร้อมกันอีก ใบหน้าของทั้งคู่กำลังเผยให้เห็นสีหน้าที่ถามว่าทำตามทำไมอย่างชัดเจน
“พวกเธอมัวแต่มองอะไรอยู่ล่ะเนี่ย ยังไงก็เถอะ ยูจอง เธอ เมื่อกี้บอกว่าเจออีกที่หนึ่งที่ชั้นสามด้วยใช่ไหม”
“อื้อ เหมือนห้องวิจัยเลย ถึงแม้ว่าเข้าไปแป๊บเดียวก็ออกมาเลยไม่ทันได้ดูแบบละเอียดก็เถอะ…”
“ถ้างั้นเธอสองคนขึ้นไปก่อนเลย ฉันกับโกยอนจูจะจัดการที่นี่แล้วค่อยตามขึ้นไป”
“เข้าใจแล้วพี่”
“เอากระเป๋ามาหนึ่งใบ แล้วระหว่างไปก็บอกอันซลให้ด้วยว่าจะลงไปภายในยี่สิบนาที”
อันฮยอนส่งกระเป๋าให้ผมด้วยใบหน้าเสียดายเล็กน้อย ดูเหมือนจะยังเหลือเยื่อใยกับการที่ไม่ได้เอาของพวกนี้ไปด้วยตัวเอง แต่จากนั้นทั้งสองก็พยักหน้าด้วยใบหน้าตื่นเต้นพลางหมุนตัวไป บางทีคงจะมีความคาดหวังขึ้นมาอีกกับการไปดูผลสำเร็จอันใหม่
ผมมองทั้งสองคนที่ออกจากประตูไปด้วยฝีเท้าอันรวดเร็วแล้วเบนสายตาไปทางโกยอนจู ผมคิดจะรีบจัดการตรงนี้แล้วออกไป แต่ในตอนที่มองดูใบหน้าของเธอ ริมฝีปากที่กำลังจะอ้าออกจึงหุบกลับเข้าไปเหมือนเดิมอีกครั้ง
โกยอนจูกำลังปรายตามองผมสวยๆ ด้วยสีหน้าเหมือนกำลังรออยู่พอดี
“ทำไมมองแบบนั้นล่ะครับ”
“เฮ้อ ซูฮยอนก็จริงๆ เลย~ ฉันชักจะทนไม่ไหวแล้วนะคะ จริงๆ เลยเชียว ก็ปกติดูเฉยชาแต่แล้วก็ต้องน่ารักขึ้นมาในเวลาแบบนี้ทุกทีนี่คะ”
“…”
“อย่าทำเป็นไม่รู้ไปเลยค่ะ ฉันรู้อยู่แล้วล่ะค่ะว่าเป็นเพราะอยากอยู่กับฉันสองต่อสองน่ะ โฮะๆ”
โกยอนจูยิ้มสวยจนตาค่อยๆ หยีตาม ไร้สาระจริงๆ เพราะอย่างนั้นผมจึงส่ายหน้าให้กับท่าทางของเธอ พร้อมกับตอบกลับด้วยการถอนหายใจ จากนั้นจึงเดินไปทางผนังเงียบๆ คำตอบที่ถูกต้องสำหรับเวลาแบบนี้ก็คือการเมินเธอไปนี่แหละ
“เขินเหรอคะ”
สิ่งที่ผมเก็บมาอย่างแรกคือเสื้อที่ถักทอขึ้นจากใบไม้ของอิกดราซิล ดูจากที่มีชื่ออิกดราซิลติดอยู่ มันจะต้องเป็นเสื้อที่ราชินีแห่งเอลฟ์สวมไปไหนมาไหนตอนยังสาวแน่ๆ แน่นอนว่าความเย็นสบายของผ้ากับกลิ่นหอมสดชื่นที่ฟุ้งออกมาจากเสื้อทั้งตัวมันติดตรึงใจจริงๆ แต่มีปัญหาอยู่อย่าง
“ปะ ปฏิกิริยาตอบสนองแบบนั้นมันคืออะไรกันคะ ซูฮยอน!”
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระแล้วเก็บอุปกรณ์ไปได้แล้วครับ”
น้ำเสียงของโกยอนจูเจือท่าทีฉุนเฉียวอย่างเต็มที่ ผมตอบกลับนิ่งๆ จากนั้นจึงชูเสื้อไว้ตรงหน้าตัวเองดู
‘ถ้าใส่ไปจะต้องเย็นสบายแน่ๆ’
โดยรวมแล้ว เสื้อมีรูปทรงเป็นชุดวันพีช แต่ปัญหาที่จะว่าเป็นปัญหาก็ไม่เชิงคือ ดูจากที่ถักทอขึ้นด้วยใบไม้อย่างเดียวแบบไม่มีสิ่งอื่นเจือปนเลยก็เลยมีรูมากมายให้เห็นอยู่ทั่ว ส่วนเหนือหน้าอกกับกระดูกไหปลาร้าเปิดโล่ง ส่วนด้านล่างก็อำพรางตรงที่เป็นชุดชั้นในไว้อย่างหวุดหวิด ด้านล่างให้ความรู้สึกเหมือนมองดูกางเกงขาสั้นที่สั้นมากๆ
“ฮึกๆ คุณเปลี่ยนไป คุณเคยบอกว่าอยากได้จนฆ่าได้ แล้วพอจับฉันไว้ได้ คุณก็ทำตัวเย็นชาใส่”
ว่ากันว่าอาวุธหลักของราชินีแห่งเอลฟ์คือธนู ถ้างั้นก็น่าจะมีความชำนาญในฐานะนักธนูด้วย ในตอนที่ผมคิดถึงตรงส่วนนั้น จู่ๆ ก็คิดไปถึงอิมฮันนา
มองอย่างไรเธอก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับราชินีแห่งเอลฟ์พอสมควร ใบหน้าที่ถึงแม้จะสวยสดใสแต่ก็น่าสงสาร ผิวเนียนขาว ดวงตาที่เหมือนกับแสงของดวงดาว อุปนิสัยอันอ่อนโยนนุ่มนวล แล้วก็สิ่งที่อาจจะใหญ่กว่าโกยอนจูก็คือ… อ้า อืม
ผมตั้งใจจะไม่คิด แต่ภาพของอิมฮันนาที่สวมเสื้อตัวนี้กลับโผล่เข้ามาในหัวไม่หยุด ในที่สุดผมก็เอาเสื้อลงพร้อมกับสะบัดหัวอย่างแรง และในตอนที่กำลังจะสลัดความคิดหยาบคายนั้นทิ้งไป เสียงอันเศร้าโศกเสียใจที่โกยอนจูเปล่งออกมาตรงด้านหลังก็เสียดแทงเข้ามาในหู
“ฮือๆ ทั้งที่ฉันไม่ได้แนะนำฮันนาให้แท้ๆ”
“…”
ในใจผมอยากจะท้วงขึ้นมาว่าทำไมถึงพูดถึงมาดามอิมออกมา แต่ในตอนที่ได้ฟังคำพูดนั้น ผมก็รู้สึกได้ว่าพลังอันน่ากลัวกำลังไล้ผ่านกระดูกสันหลังขึ้นมาอย่างเย็นยะเยือก
ผมกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่แล้วหันหลังไปจึงได้เห็นโกยอนจูกำลังถือของเต็มอ้อมแขนราวกับเตรียมเอามาแล้ว เธอคงแกล้งส่งเสียงร้องไห้ออกมาเฉยๆ มุมปากของเธอจึงกำลังยกขึ้นเล็กน้อย โดนซะแล้ว
“ราชินีแห่งเงามืดผู้ไม่มีใครในโลกมาเทียบได้ ทำไมถึงได้ตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวเดียวดายแบบนี้กันนะ ซูฮยอน จะให้ฉันรออยู่อย่างนี้จริงๆ เหรอคะ ไม่ใช่ใช่ไหมคะ”
“ซล! รออีกเดี๋ยวนะ! เดี๋ยวจะไปแล้ว!”
“หืม ฮ่าๆ ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ ถ้างั้นฉันจะเชื่อในคำพูดของซูฮยอนแล้วจะรอนะคะ”
ผมได้ยินเสียงอันฮยอนตะโกนไปทางชั้นหนึ่งได้ถูกเวลาพอดี แล้วทำไมเจ้าเด็กคนนี้จะต้องตะโกนตอนนี้ด้วยนะ
“หึๆ ต้องไปอวดคุณฮายอนแล้วสิ~”