แสงดาราสาดส่อง จุดดาราอยู่บนฟ้ายามค่ำคืน สว่างวาววับเหมือนกำลังมองซูหมิงกลางหมู่บ้านบนพื้นดินที่กำลังตัดฟืนอยู่ในลานบ้าน เขามีสีหน้าสงบนิ่งมาตลอด ฟืนที่ตัดไปแล้ววางอยู่ข้างๆ อย่างเป็นระเบียบมาก ดูต่างจากฟืนชายชราที่วางไว้ระเกะระกะก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน
ขนาดฟืนของชายชราก็เล็กใหญ่ไม่เท่ากัน หนาบางต่างกัน เมื่อตัดแล้วเต็มไปด้วยผงไม้ แต่ซูหมิง เมื่อตัดฟืนเสร็จแทบจะไม่ต่างกันเลย
กระทั่งเสียงตัดฟันยังมีจังหวะที่เป็นกฏเกณฑ์อย่างมาก จุดนี้ต่างกับชายชราเช่นกัน จนกระทั่งถึงยามเที่ยงคืน ประตูบ้านข้างหลังซูหมิงเปิดออกดังเอี๊ยด ชายชราสวมเสื้อกันหนาวตัวเล็กเอามือไพล่หลังเดินออกมายืนข้างซูหมิง เมื่ออาศัยแสงจันทร์มองฟืนที่ซูหมิงตัดเสร็จแวบหนึ่งแล้วก็ขมวดคิ้ว
“เจ้าตัดแบบนี้ไม่ถูก”
ซูหมิงวางขวานลง เงยหน้าขึ้นมองชายชรา
“ไม่ถูกที่ใด?” ซูหมิงพูดเป็นครั้งแรกในลานบ้านแห่งนี้
“ไม่ถูกทุกที่ เจ้าไม่ได้กำลังตัดฟืน แต่กำลังตัดคน ช่างเถอะ เสียงตัดฟืนเจ้าทำข้านอนไม่หลับ มาๆ ข้าจะสอนเจ้าเองว่าตัดฟืนอย่างไร” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงอบรม ก่อนเดินมาชนซูหมิงหมายจะให้เขายืนขึ้น
เมื่อซูหมิงยืนขึ้น ชายชราก็นั่งลงบนตอไม้ หยิบขวานขึ้น หยิบฟืนออกมาวาง จากนั้นใช้ขวานฟันบนฟืนดังปึก เสียงดังต่อเนื่องกันหลายทีถึงเกิดเสียงแตกออก ฟืนนั้นแยกออกเป็นสองส่วนเล็กใหญ่ต่างกัน เมื่อโยนไว้สองข้างตามอำเภอใจแล้ว ชายชราก็มองซูหมิงแวบหนึ่ง
“เข้าใจหรือไม่?”
“ไม่” ซูหมิงส่ายหน้า
“การทำความเข้าใจของเจ้าแย่มาก ดูให้ดี ข้าจะสาธิตให้เจ้าดูอีกครั้ง” ชายชราพูดพลางหยิบฟืนมาอีกท่อน ก่อนยกขวานขึ้นตัดฟืนแตกออกเป็นสองส่วนอีกครั้ง
“ครั้งนี้เข้าใจรึยัง?” ชายชรามองซูหมิงด้วยสีหน้าเฝ้ารอคอย
“ไม่” ซูหมิงขมวดคิ้ว ยังคงส่ายหน้า
“จะ เจ้า…ช่างเถอะๆ ข้าจะสาธิตให้เจ้าดูอีกครั้ง” ชายชราพ่นน้ำลายไปที่สองมือ ก่อนหยิบฟืนมาตัดอีกครั้ง
“เข้าใจรึไม่?”
“ไม่”
“ครั้งนี้เข้าใจรึยัง?”
“ยังขาดอีกนิด…”
เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปช้าๆ พริบตาเดียวก็หนึ่งชั่วยามกว่า ชายชราตัดฟืนไม่หยุด ส่วนซูหมิงส่ายหน้าไม่หยุดเช่นกัน จนกระทั่งฟืนในลานเหลืออันสุดท้าย ชายชรากลอกตา
“เจ้าเด็กผี เจ้าตั้งใจยั่วโมโหข้าใช่หรือไม่!” ชายชราโยนขวานในมือทิ้งไปแล้วมองซูหมิงด้วยความโกรธพลางนวดข้อมือ การตัดฟืนหนึ่งชั่วยามกว่าเหมือนทำให้ชายชราล้าเล็กน้อย
“ครั้งนี้เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่ผู้อาวุโสชี้แนะ” ซูหมิงมีสีหน้าราบเรียบ มีท่าทีครุ่นคิด เมื่อมองชายชราพลางพยักหน้าอย่างจริงจังแล้วก็ประสานมือคารวะด้วยความเคารพ
“เข้าใจ? เจ้าเข้าใจอะไร” ชายชราถลึงตามอง ถามขึ้นด้วยอารมณ์ไม่ดีนัก
“ฟืนที่ข้าตัดทุกท่อนเรียบร้อยมาก มีมาตรฐานมาก แต่ความเรียบร้อยและมาตรฐานแบบนี้เป็นสิ่งที่จงใจ แม้เราจะไม่รู้สึกว่าทำแบบนั้น แต่ก็ยังเกิดผลแบบนี้เองโดยธรรมชาติ
ทว่าฟืนของผู้อาวุโสทุกท่อนมีความเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นลายแตกหรือขนาด ข้าหาสองชิ้นที่เหมือนกับไม่พบ เหมือนกับชีวิตคนเรา…ก็ไม่มีคนสองคนที่เหมือนกันอย่างแท้จริง อย่างมากสุดก็แค่คล้ายเท่านั้น
ผู้อาวุโสไม่ได้ตัดฟืน แต่ตัดชีวิตคน” ซูหมิงตอบกลับเนิบๆ น้ำเสียงดังก้องในคืนมืด พอชายชราได้ยินแล้วก็เงียบไปพักใหญ่ ก่อนเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองซูหมิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง
“แค่การตัดฟันทำให้เจ้ามีบทความที่ยาวขนาดนี้เชียวรึ ข้าจะบอกเจ้าให้ ข้าตัดฟืนแบบนี้ก็เพราะแบบนี้มันติดไฟดีกว่า เข้าใจรึไม่? ตัดฟืนแบบนี้มันติดไม่ดี!” ชายชรายืนขึ้นถลึงตามองซูหมิงด้วยลมหายใจกระชั้น
“ผู้เยาว์ไม่รู้เพียงอย่างเดียวคือด้วยพลังและฐานะของผู้อาวุโส ท่านต้องการตัดช่วงชีวิตใดของตัวเอง แล้วเหตุใดต้องตัด แล้วก็…แม้ไม่รู้ว่าตัดมากี่ปีแล้ว แต่เหตุใด…ถึงยังตัดไม่ได้!” ซูหมิงมองชายชรา ไม่ได้มีน้ำเสียงเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เรียบนิ่ง
“พูดจาเหลวไหล นอนได้แล้ว เจ้าเด็กคนนี้ จากนี้ไปนอนข้างนอก ห้ามนอนในบ้าน!” ชายชราแค่นเสียงขึ้นจมูก ก่อนหมุนตัวจะเดินเข้าไปในบ้าน
“หรือบางทีผู้อาวุโสไม่ได้จะตัดชีวิตคน แต่เป็นปมจิตใจที่เกิดขึ้นจากการรวมชีวิตคนช่วงนั้น ต้องตัดปมจิตใจตัวเองถึงทำให้มหาเต๋าปรากฏใต้เท้าอย่างนั้นรึ…
ที่ผู้อาวุโสยังตัดปมในใจนี้ไม่ได้ หรือเป็นเพราะว่าต่อให้เป็นผู้อาวุโสก็ยังลังเลต่อปมในใจนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตัดดีหรือไม่?” ช่วงที่ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ชายชราไม่หันมามอง แต่เดินเข้าไปในประตูบ้าน ตอนที่ยกเท้าขึ้นจะก้าวเข้าไปนั้น ซูหมิงพลันมีสีหน้าเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
“หรือว่า…ที่ผู้อาวุโสลังเลว่าควรจะตัดดีหรือไม่นั้นเป็นเพราะผู้อาวุโสลังเลความจริงของปมในใจนี้? กลัวว่าตนจะตัดพลาด เลยลังเลตัดสินใจไม่ถูก ดังนั้น…จึงต้องให้จิตใจสงบในการตัดฟืน หากถามตัวเอง สู้ไปถามกฏแห่งสวรรค์ดีกว่า!” พริบตาที่ซูหมิงกล่าวขึ้น ชายชราที่ก้าวเข้าไปในประตูบ้านหยุดชะงัก เท้าข้างหนึ่งอยู่ข้างนอก อีกข้างอยู่ข้างใน เขาหมุนตัวกลับมาเนิบๆ มองซูหมิง เขาในตอนนี้มีสีหน้าที่ต่างจากตอนปกติเล็กน้อย
เหมือนมีความจริงจัง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยมองซูหมิง ตอนนี้เองแม้แต่ซูหมิงยังสังเกตเห็นได้ชัดว่าชายชราเหมือนต่างออกไป แต่ต่างที่ใดนั้นเขาบอกได้ไม่ชัดเจน
“เจ้า…” ชายชราพูดขึ้นเรียบๆ แล้วก็หยุดไป
“นอนกรนหรือไม่?” พูดจบ แม้แต่ซูหมิงยังอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ถ้ากรน ข้าจะทุบเจ้า” ชายชราพูดจบก็หมุนตัวกลับเดินเข้าไปในบ้าน
ซูหมิงยืนอยู่ข้างนอกพักหนึ่ง ใบหน้าเผยรอยยิ้ม
‘ด้วยพลังของกู่ไท่ คนที่ทำให้เขาเคารพเช่นนี้ได้ คำตอบของเขาก็เท่ากับบอกกับข้าแล้ว แต่ในสามเทพเต๋าขั้นเก้า หนึ่งคือซิวหลัวเต้าแห่งฝ่ายอสุรา สองคือจักรพรรดิแห่งเมืองหลวงจักรพรรดิ สาม…กลับมีน้อยคนมากที่รู้สำนักและนามเรียกขาน…’ ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองแสงไฟที่ดับลงในบ้าน ก่อนนั่งขัดสมาธิหลับตาลง
เมื่อยามเช้าตรู่มาถึง ทันทีที่ซูหมิงลืมตาก็หรี่ตาลงโดยพลัน เขาเห็นว่าฟืนที่ตัดไว้เมื่อคืนวานในลานบ้านรวมเข้าด้วยกันอีกครั้งราวกับกาลเวลาย้อนกลับ
“เหม่ออะไร ยังไม่ตัดฟืนอีก!” น้ำเสียงที่เหมือนโกรธอยู่เล็กน้อยดังขึ้นตามประตูบ้านเปิดออก ชายชราเปลี่ยนไปใส่ชุดกันหนาวอีกตัว ถือม้วนยาสูบเดินออก
ซูหมิงตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ตอบ แต่เดินไปข้างตอไม้ หยิบขวานขึ้นมา มองฟืนนั้น หลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้น ในดวงตาไม่มีความรวดเร็วและดุดันของผู้ฝึกฌาน และก็ไม่เห็นกลิ่นอายพลังของผู้ฝึกฌานในตัว เหมือนว่าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกฌาน แต่กลายเป็นชายหนุ่มคนธรรมดา
จนกระทั่งตอนนี้เขาฟันขวานลงตามอำเภอใจ ไม้แตกเป็นสองส่วนไม่เรียบร้อย แต่ขนาดต่างกัน
ซูหมิงมองฟืนสองท่อนนั้นเหมือนย้อนคิดบางอย่าง ราวกับว่าไม่ได้มองฟืน แต่มีความรู้สึกราวกับสร้างชีวิตขึ้น ประหนึ่งว่า…โลกนี้เดิมทีไม่มีไม้สองท่อนที่ตัดแยกกันแบบนี้ แต่เพราะตน มันถึงปรากฏ
ความรู้สึกนี้มาเร็วและก็หายไปอย่างไร้รูป ราวกับว่าตอนที่ซูหมิงอยากจะสัมผัสมันอย่างละเอียดกลับหาไม่พบ มีความต่างจากการตัดฟืนในยามค่ำคืนอย่างชัดเจน
ขณะเงียบอยู่นี้เขาหยิบฟืนท่อนที่สองขึ้นตัดต่อไป หนึ่งท่อน หนึ่งท่อน…จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งวันเต็ม เขาเหมือนลืมเวลายามกลางวัน จวบจนยามโพล้เพล้ เขาเหม่อมองฟืนไม้ที่ตัดไว้หมดแล้ว
“หืม? วันนี้ตัดได้ไม่เลวเลย ช่างเถอะ อนุญาตให้เจ้าพักได้ เอาแบบนี้ เจ้าไปเปลี่ยนชุด แล้วเอาฟืนพวกนี้ไปให้ช่างไม้จางตรงสุดทางตะวันตกของหมู่บ้าน ไปแลกข้าวมา ข้ายังไม่ได้กินข้าววันนี้ หิวจะตายอยู่แล้ว” ชายชรานั่งสูบยาสูบอยู่บนธรณีประตูบ้าน มือตบชุดที่เตรียมไว้ให้ซูหมิงนานแล้วซึ่งโผล่มาข้างกายตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้พลางพูดอย่างอารมณ์ดี
ซูหมิงเดินเข้ามาเอื่อยๆ ไม่ประสานมือคารวะเหมือนเมื่อวาน แต่หยิบชุดไปเปลี่ยนในลานบ้าน นี่เป็นชุดผ้าเนื้อหยาบ ด้านบนยังมีรอยปะ ดูธรรมดามาก
เมื่อเปลี่ยนชุดแล้วซูหมิงก็มัดฟืนในลานบ้านไว้ด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ แบกขึ้นหลังเดินออกจากลานบ้าน เงาแผ่นหลังถูกยืดยาวไปใต้ตะวันอัศดง เข้าไปในกลางลานบ้าน อยู่ในสายตาชายชราที่กำลังสูบยาสูบ เขามองซูหมิงเดินไกลออกไปพลางวางยาสูบลงช้าๆ ด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
“แก่แล้วรึนี่ ไม่อยากเชื่อว่าแม้แต่เจ้าหนูคนนี้ยังอ่านเรื่องในใจข้าออก…ตัดไม่ขาด ตัดไม่ลง…โลกนี้…เป็นของจริงหรือปลอมกันแน่?” ชายชราพึมพำเบาๆ ด้วยสีหน้าขมขื่น
ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ชีวิตแบบนี้สงบอย่างพบเห็นได้ยาก ไม่นานก็ผ่านไปสามเดือน สามเดือนนี้ซูหมิงยังคงตัดฟืน ทุกครั้งจะมีการตระหนักรู้ต่างออกไป แต่กลับขาดอีกเล็กน้อย…ขณะเดียวกันสามเดือนนี้ ซูหมิงรวมเข้าไปในหมู่บ้านนี้ เป็นที่ยอมรับของหมู่บ้าน
คนในหมู่บ้านรู้ว่าตาแก่ทางตะวันออกของหมู่บ้านรับลูกบุญธรรมมาคนหนึ่ง เด็กคนนี้มีนามที่ไพเราะ นามว่าซูหมิง
จนกระทั่งคืนฝนตกหลังผ่านไปครึ่งปี…
ฟ้าผ่าดังสนั่น สายฟ้าผ่าลงแผ่นดินใหญ่ ซูหมิงในลานบ้านนอนอยู่ในเพิงไม้ เขาอยู่ที่นี่มาตลอดครึ่งปี แม้ฝนจะตกข้างนอก แต่กลับไม่เข้ามาในเพิง เขานอนอยู่ที่นี่ก็ถือว่าสบายดี
ในคืนฝนตก ช่วงที่สายฟ้าผ่าลงมานอกหมู่บ้านแห่งนี้ มีร่างเงาสองคนเดินออกมาจากป่าไม้ สองคนนั้นหนึ่งอ้วนหนึ่งผอม สวมชุดคลุมเต๋าสีเทา ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นดั่งปราการไร้รูป สายฝนจึงไม่อาจเข้าใกล้ได้
คล้ายว่าพวกเขายืนอยู่ที่นี่เท่ากับยืนอยู่บนจุดสูงสุดของฟ้าดิน โดยเฉพาะพลังของสองคนนี้ หากมีผู้ฝึกฌานสังเกตเห็นจะต้องตกใจกลัวแน่ นั่นคือ…เต๋าสูงศักดิ์!
“ผู้อาวุโสใหญ่ทำนายฟ้าดินทั่วแคว้นกู่จั้ง ในที่สุดก็หาที่อยู่เขาพบ ไม่คิดเลยว่าจะซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านธรรมดาแบบนี้!” ผู้ฝึกฌานซูบผอมในสองคนกล่าวเรียบๆ น้ำเสียงค่อนข้างแหลม
“เขาต้องซ่อนตัวอยู่แล้ว แต่ในเมื่อหาพบแล้ว วันนี้ เขาหนีไม่พ้นแล้ว”
……………………..