“ข้า…” ซูมั่วเยี่ยสูดหายใจเข้าลึก “จู่ๆ พี่ก็รู้สึกว่าหายใจไม่ค่อยสะดวก ร่างกายพี่…ต้องพักสักหน่อยคงหาย” ตอนนี้เขารู้สึกเริ่มมึนหัวขึ้นมา
“อย่างนี้เองหรือ?” ซูเหลียนอวิ้นเอียงคอและพยายามเดินเข้าไปใกล้ๆ ซูมั่วเยี่ยเพื่อมองว่าเขาเป็นอะไรกันแน่ เพราะปกติแล้วคนอย่างซูมั่วเยี่ยอย่าว่าแต่เวียนหัวเลยแค่เป็นไข้เขายังไม่เคยเป็นเลยสักครั้ง!
คนที่ร่างกายแข็งแรงอย่างกับลูกวัวอย่างเขา ตอนนี้กลับบอกว่าร่างกายของตัวเองแปรปรวน? ขออย่าให้เขาเป็นโรคอะไรร้ายแรงเลย เพราะโดยปกติแล้วโรคอะไรที่ร้ายแรงมักจะมาอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้เสมอ!
“อวิ้นเอ๋อร์” อันเพ่ยอิงเอ่ยขัดขึ้น “พี่ชายของเจ้าไม่เป็นอะไรหรอก วางใจเถิด” ตอนนั้นที่ตนแต่งงานกับซูปั๋วชวน พี่ชายแท้ๆ ของตนก็มีอาการไม่ต่างจากนี้มากนัก ดังนั้นคนที่มีประสบการณ์มาก่อนอย่างนาง ย่อมรู้ดีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น!
“เจ้าค่ะ…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า ในเมื่อท่านแม่ของนางบอกว่าไม่เป็นไร ก็คงจะ…ไม่เป็นไรจริงๆ!
“จริงสิ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าแบบนี้ไม่เลวใช่หรือไม่” อันเพ่ยอิงหยิบแผ่นที่ซูเหลียนอวิ้นบอกว่าชอบออกมา “ข้าเองก็คิดว่าอันนี้ไม่เลวเช่นกัน เฉินเซวียน เยี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าทั้งสองคนคิดเห็นเป็นอย่างไร”
“ข้าย่อมตามใจท่านแม่กับอวิ้นเอ๋อร์ขอรับ”
“น้องหญิงว่าอย่างไรก็เอาเช่นนั้น น้องชอบคือสิ่งที่สำคัญที่สุด”
เมื่อเอ่ยจบ ซูมั่วเยี่ยก็หันไปมองต้วนเฉินเซวียนอย่างรังเกียจคราหนึ่ง แววตาของเขาแสดงความหมายออกมาว่า ยังจะกล้าประจบประแจงมากกว่านี้อีกรึ
ต้วนเฉินเซวียนยิ้มกว้าง เขาไม่สนใจ เพราะพฤติกรรมของคนในตระกูลซูนั้น เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ซูมั่วเยี่ย…อยากจะจ้องก็จ้องไป ถึงอย่างไรเขาก็คงไม่กล้าเอ่ยปากว่าตนอย่างแน่นอน!
เขาเชื่อมั่นอย่างนั้น!
“ดี เช่นนั้นก็เอาอันนี้ก็แล้วกัน” อันเพ่ยอิงยิ้มจนตาเป็นสระอิ “เดี๋ยวข้าจะรีบตามพ่อบ้านมาจะได้รีบเอาแบบนี้ไปพิมพ์เป็นจดหมายเชิญ ถือว่าจัดการไปได้อีกเรื่องหนึ่งแล้ว ถือว่าค่อยๆ เสร็จไปทีละอย่างแล้ว” ตอนนี้ไม่ใช่ค่อยๆ ทำไปทีละอย่าง แต่เป็นการจัดการให้เสร็จไปทีละเรื่อง นั่นหมายความว่าจะไม่เกิดความวุ่นวายขึ้น!มิเช่นนั้นแล้วด้วยเวลาที่เร่งรีบเช่นนี้ งานที่ต้องทำยังมีอีกเยอะ…รีบร้อนไปอาจจะทำให้เสียการใหญ่ได้ สติเท่านั้นที่เป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด!
“เรื่องอื่นๆ ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยต่อ “ของอื่นๆ จวนของข้าได้ตระเตรียมเอาไว้หมดแล้ว”
“เตรียม? หมดแล้ว?” จู่ๆ อันเพ่ยอิงก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจเรื่องราวขึ้นมา เพราะคำว่า ‘ทั้งหมด’ นั้น มันมีความหมายที่กว้างมาก!
“ขอรับ เตรียมไว้หมดแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนพยักหน้าเรียบๆ “ชุดเจ้าบ่าว เจ้าสาว เกี้ยวและรถม้าและของที่ต้องใช้อื่นๆ พวกเราได้เตรียมเอาไว้หมดแล้ว หากจะขาด คงต้องถามท่านแม่ว่ามีของอะไรที่อยากจะจัดเตรียมตามประเพณีเป็นพิเศษหรือไม่”
“โอ๊ย…” ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกปวดฟันขึ้นมา นี่มัน เร็วเกินไปหน่อยหรือไม่
“เพราะเราได้กำหนดวันเป็นช่วงต้นเดือนของเดือนหน้าแล้ว ดังนั้นพวกเราต้องลงมือตระเตรียมเรื่องต่างๆ ให้เร็วหน่อย” ต้วนเฉินเซวียนอธิบาย
“ดี ดีมาก” แม้ว่าอันเพ่ยอิงจะเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์มาไม่น้อยแล้วก็ตาม แต่ตอนนี้นางยังตกใจในความมีประสิทธิภาพของต้วนเฉินเซวียนได้ เพราะตั้งแต่วันที่แม่ของเขากำหนดวันแต่งมาจนถึงวันนี้ก็เพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น?
นี่ถือว่า…ช่วยลดความวุ่นวายไปได้มากเลยทีเดียว!
“ชุดแต่งงานก็เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วหรือ” ซูมั่วเยี่ยขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามอย่างไร้อารมณ์ใดๆ “แต่เจ้าได้วัดตัวไปแล้วหรือไม่ เพราะของเช่นนี้คงไม่ใช่ของแบบที่ทำเอาไว้ทั่วๆ ไปกระมัง”
“พี่ใหญ่วางใจได้ เรื่องนี้ข้าได้คิดเผื่อเอาไว้แล้ว” ต้วนเฉินเซวียนหันไปยิ้มตอบ “ข้าเคยถามเสด็จอาเอาไว้บ้างแล้ว เสด็จอาย่อมทราบขนาดตัวของอวิ้นเอ๋อร์แน่นอน ในเมื่อข้าถาม นางย่อมต้องยอมบอกข้าอยู่แล้ว””อ้อ อู่เตี๋ยเองหรือ” อันเพ่ยอิงพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ “นางย่อมรู้แน่นอน”
นั่นเป็นเพราะในวังหลวงไม่เคยขาดของบรรณาการจำพวกผ้าที่หาได้ยากจากต่างเมือง ดังนั้นทุกครั้งที่ได้รับของประเภทนี้มากๆ แน่นอนว่าเกาอู่เตี๋ยย่อมเก็บเอาไว้ให้ซูเหลียนอวิ้นด้วย และบางครั้งยังถือโอกาสนำเสื้อผ้าเหล่านั้นตัดเย็บอย่างเรียบร้อยก่อนจะส่งมาให้อีกด้วย
อีกอย่างช่างตัดเย็บที่อยู่ในวังหลวง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ย่อมมีฝีมือมากกว่าช่างข้างนอกเป็นร้อยเท่า ดังนั้นเหตุผลนี้ของต้วนเฉินเซวียนถือว่ามีเหตุผลฟังได้
แต่ในความเป็นจริงนั้น…? แน่นอนว่าต้วนเฉินเซวียนย่อมไม่ได้ไปถามเกาอู่เตี๋ยตรงๆ เช่นนั้น! เพราะหากเกาอู่เตี๋ยรู้เข้า แน่นอนว่านางจะต้องล้อเลียนและหัวเราะเยาะเขาอย่างแน่นอน!
แล้วเขารู้ขนาดเสื้อผ้าของนางได้อย่างไร? นั่นเป็นเพราะว่าเขาขโมยชุดของซูเหลียนอวิ้นออกมาแล้วแอบวัดเอาอย่างไรเล่า!
“ทางพวกเราก็คงไม่มีเรื่องอื่นแล้ว หากยังต้องการอย่างอื่นอีก พวกเราจะส่งคนไปแจ้งเจ้าเองก็แล้วกัน”
“ขอรับ เช่นนั้นพวกเราจะรอฟังข่าวดีก็แล้วกัน” ต้วนเฉินเซียนทำความเคารพ “พี่ใหญ่ ท่านแม่ อวิ้นเอ๋อร์ วันนี้ขอตัวลาก่อน”
อันเพ่ยอิงพยักเพยิดหน้า “ไปเถิด ฝากทักทายท่านแม่ของเจ้าด้วย” ……
“คุณหนู ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ!”
“เอ๊ะ?” ซูเหลียนอวิ้นยังคงงัวเงียอยู่ “วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรไม่ใช่หรือ”
หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรเท่าไหร่…เพราะวันเวลาก็เขยิบเข้ามาใกล้เรื่อยๆ นางจึงเริ่มไม่ออกไปไหนหากไม่มีธุระอะไร! ดังนั้น…วันนี้หลีมู่มาเรียกตนแต่เช้านั้นเพื่ออะไรกัน
“ลืมแล้วหรือเจ้าคะ!” หลีมู่เอ่ยเตือน “เนื่องจากจดหมายเชิญทำการพิมพ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนที่สนิทสนมด้วยหรือไม่ก็ตาม ก็เริ่มทยอยได้รับจดหมายเชิญและรู้ข่าวกันหมดแล้ว!ทว่าติดอยู่ที่ว่าตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นกับคนอื่นๆ ยังรู้สึกว่าทุกอย่างเร็วเกินไปจนยังไม่ทันมีสัญญาณเตือนอะไรล่วงหน้ามาก่อน ดังนั้นข่าวนี้จึงเปรียบเสมือนหินก้อนเล็กๆ ที่ทำให้เกิดคลื่นพันชั้นขึ้นมา
บรรดาบุรุษทั้งหลายต่างเสียดายที่ต้วนเฉินเซวียนลงมือได้เร็วมาก! แถมยังไม่มีข่าวคราวอะไรเล็ดลอดออกมาล่วงหน้าอีกด้วย ช่างน่าหมั้นไส้ยิ่งนัก! เพราะไม่พูดไม่จาอะไรก็สู่ขอสตรีที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างซูเหลียนอวิ้นไปได้?
ส่วนเหล่าสตรีนั้นลำพังแค่อิจฉาที่ซูเหลียนอวิ้นโดดเด่นเกินหน้าเกินตาในงานเลี้ยงในวังหลวงก็แย่พอแล้ว ต่อมายังมีข่าวออกมาว่าซูเหลียนอวิ้นจะแต่งงานไปอยู่ที่เมืองเยียลี่ว์และไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ทำให้พวกนางรู้สึกสะใจได้พักหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับมีข่าวออกมาอีกว่านางเตรียมจะแต่งงานแล้ว?!
แถมยังแต่งงานกับต้วนเฉินเซวียนเสียด้วย! คราวนี้ไม่เพียงแต่ไม่ต้องแต่งออกไปอยู่ที่อื่นเท่านั้น แต่กลับได้แต่งกับตระกูลที่ดีเช่นนี้อีก? นี่นางทำบุญมาด้วยอะไรกัน!
แต่ไม่ว่าภายนอกข่าวลือจะลือออกไปว่าอย่างไร พูดกันว่าอย่างไร หรือเดากันไปในแง่ร้ายขนาดไหน ทั้งตระกูลต้วนและซูล้วนเตรียมการต่างๆ ตามแผนการเดิมอย่างไม่มีข้อบกพร่อง
เพราะคนพันคนย่อมมีพันปาก พวกเขาจะพูดอะไรก็ย่อมไม่ส่งผลกระทบอะไร อีกอย่างต่อให้พวกเขาจะต่อว่าลับหลังกันสนุกปากสักแค่ไหน หรือกล่าวคำพูดเสียดหูกันสักเท่าไหร่ แต่ความจริงเมื่อพวกเขามาถึงต่อหน้าคนของทั้งสองตระกูล ล้วนมีแต่การกล่าวอวยพรและการแสดงความยินดีให้ทั้งคู่อยู่คู่กันเป็นร้อยๆ ปี ตามเดิม?