ซีเหมินจินไม่เพียงแต่ฝืนยิ้มออกมา เป้าหมายของเลี่ยวก่วงอาจเป็นเพราะตามหาหินปิดฟ้า ส่วนเป้าหมายของสวี่อี้หรานนั้นก็เพื่อตามหาหินปิดฟ้ามาช่วยแก้พิษของเขา
แต่เดิมการเดิมพันหินกับยาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แต่อยู่ๆ ก็มีคนฉลาดปราดเปรื่องนำทั้งสองอย่างมารวมกันได้
แม้ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ว่าตอนนั้นจะเป็นใครที่คิดตำรับยาแปลกประหลาดนี้ออกมา แต่ต้องยอมรับเลยว่าเขาก็มีพรสวรรค์มาก
ในขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น จ่านป๋ายก็ถืออาหารเช้าเข้ามา สวี่อี้หรานนั้นไม่รู้จักว่าความเกรงใจเป็นอย่างไร เขาก็รีบหยิบปาท่องโก๋กัดเข้าไปคำหนึ่ง และก็ไม่ลืมที่จะยกยอปอปั้นพ่อครัวของตระกูลเขา “นี่ต่างหากที่เรียกว่าปาท่องโก๋สูตรดั้งเดิม ปกติได้กินปาท่องโก๋ที่บ้านยังต้องใส่นู้นใส่นี่ นั่นก็ยังเรียกว่าปาท่องโก๋อย่างนั้นเหรอ? พ่อครัวตระกูลผมน่าจะออกจากบ้านไปให้หมด!”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วอยากจะหัวเราะออกมา และพยายามเดาว่าปาท่องโก๋ของตระกูลพวกเขาเป็นอย่างไร ถึงทำให้สวี่อี้หรานหัวเสียถึงขนาดนี้?
“ไม่ใช่ว่าคุณพักอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ตลอดอย่างนั้นเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“อย่าพูดถึงเลย!” สวี่อี้หรานคว้าน้ำเต้าหู้มาและกรอกเข้าใส่ปากอึกใหญ่รวดเดียวถึงพูดออกมาว่า “ตาแก่ที่บ้านผมบอกว่าอยากจะกระชับความสัมพันธ์ เขาเลยยอมทิ้งงานการที่ยิ่งใหญ่เพื่อจับผมกลับไปสั่งสอน!”
“ความสุขอยู่ใกล้ตัวแต่กลับไม่รู้สึก” จ่านป๋ายนำหลอดเสียบเข้าไปในแก้วน้ำเต้าหู้และยื่นไปให้ ซีเหมินจินเหลียน พร้อมแค่นเสียงพูดว่า “ผมว่าหาคนมาคอยสั่งสอน ยังไม่มีใครสนใจเลย!”
“ให้จินเหลียนสั่งสอนคุณสิ!” สวี่อี้หรานบีบคิ้วหลิ่วตาพูด “หรือคุณก็มีความชอบแปลกๆ เหมือนกับพี่ใหญ่ของคุณหรือไง ที่พอไม่ถูกตีแล้วจะรู้สึกขาดอะไรไปบางอย่าง? ใช่สิ พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ผมก็มีเรื่องตลกสุดๆ จะบอกพวกคุณ”
ซีเหมินจินเหลียนเพิ่งได้ดื่มน้ำเต้าหู้ ได้ยินจึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “เรื่องตลกสุดๆ อะไร?”
“ก็จ่านมู่ฮวาไง!” สวี่อี้หรานกัดปาท่องโก๋พร้อมพูดไปด้วย ทำให้คำพูดของเขาไม่ชัดเจน “พวกคุณรู้หรือเปล่าว่าช่วงนี้เขาทำอะไรอยู่?”
“เขาก็คงยุ่งกับการถ่ายหนังสิ?” จ่านป๋ายขมวดคิ้วพูด “ไม่อย่างนั้นเขายังจะทำอะไรได้อีก”
“ใช่ เพราะต้องถ่ายหนังเขาเลยใช้นามของนักแสดงหญิงที่รวบรวมมา ดึงดูดเด็กนักเรียนผู้หญิงมากมายมาสมัคร” สวี่อี้หรานพูด
ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วถามขึ้น “เขาคิดจะทำอะไรกันแน่ หนังนั่นพวกเราเป็นคนลงทุน จะให้เขามาเล่นจนเสียเรื่องไม่ได้นะ” มันเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่วัฒนธรรมหยกของเมืองจีน เพื่อตีตลาดสู่ต่างประเทศ เขาจะมาทำเล่นๆ ไม่ได้
“วางใจได้ หนังไม่มีปัญหาอะไรหรอก” สวี่อี้หรานซดน้ำเต้าหู้เข้าปากอีกครั้งและยิ้มออกมา “เขาคงใช้โอกาสนี้ตามหาคนที่รูปร่างหน้าตาคล้ายกับ…” พูดจบเขาก็หันไปมองซีเหมินจินเหลียน
“หาคนที่รูปลักษณ์คล้ายกับฉัน?” ซีเหมินจินเหลียนชี้มาทางจมูกของตัวเอง
“อืม!” สวี่อี้หรานพยักหน้าพูด
“เขาก็บ้าไปแล้วเหรอ?” จ่านป๋ายพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “จะหาผู้หญิงพวกนั้นไปทำอะไรกัน”
“เขาชอบการถูกกระทำชำเราน่ะสิ!” สวี่อี้หรานพูด “ตอนแรกผมก็ไม่รู้ต้นตอหรอก กลัวว่าเขาจะมีเป้าหมายอื่น แค่เอะใจเฉยๆ แต่หลังจากนั้นก็รู้ว่าเขาตามหาผู้หญิงพวกนั้นและใช้เงินเชิญผู้หญิงพวกนั้นให้ช่วยถือแส้มาฟาดเขา…”
เห็นสวี่อี้หรานหัวเราะคิกคักออกมาแล้ว จ่านป๋ายและซีเหมินจินเหลียนก็ได้แต่มองหน้ากัน นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย? ยุคนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ คิดไม่ถึงว่ามีคนไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัว ชอบถูกคนถือแส้มาฟาดด้วย?
“คุณกินเสร็จหรือยัง ถ้ากินเสร็จก็ออกไปได้แล้ว!” จ่านป๋ายไล่แขกอย่างไม่เกรงใจ
“หืม! ต้องโหดขนาดนี้ด้วยเหรอไง?” สวี่อี้หรานหยิบกระดาษทิชชู่มาแผ่นหนึ่งและหันไปคุยกับซีเหมินจินเหลียนว่า “ตอนกลางคืนผมจะมาหาคุณนะ” พูดจบก็ไม่รอให้เสี่ยวป๋ายพูดรีบวิ่งออกไปก่อน
“ตอนกลางคืนเขาจะมาหาคุณอีกทำไมครับ” จ่านป๋ายถาม
“เรื่องของลุงงูค่อนข้างจะยุ่งยากขึ้นมาบ้างแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนพูด “พวกเรารู้ทั้งรู้ว่าศพทั้งสองร่างที่อยู่ในกองไฟไม่ใช่ลุงงู ถึงตำรวจยศธรรมดาจะละเลยไป แต่เรื่องนี้คงปิดบังเลี่ยวก่วงคนนั้นไม่ได้แน่! ลุงงูน่าจะต้องหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักที่ แต่ไม่น่าจะออกไปจากเจียหยาง หากเลี่ยวก่วงเจอเขา เขาก็อันตรายมาก…เพราะอย่างนั้นพวกเราต้องตามเขาให้ทันเวลา จากนั้นก็หาวิธีส่งเขาไปต่างประเทศ”
“เรื่องที่คุณกังวล ผมก็คิดอยู่เหมือนกัน ไม่เป็นไรครับ ผมให้เพื่อนคนหนึ่งในเจียหยางช่วยตามหาแล้ว อีกทั้งทางด้านสถานีตำรวจนั้นก็ใช้เงินไปจัดการแล้ว ขอแค่เลี่ยวก่วงมีความเคลื่อนไหวใดๆ พวกเราก็จะรู้ได้ทั้งหมด เป้าหมายของเขาน่าจะเพื่อตามหาหินปิดฟ้าเหมือนกัน?” จ่านป๋ายพูด
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูด “ตอนนั้นเขามาหาฉันเพื่ออยากร่วมมือกัน แต่ฉันปฏิเสธไปแล้ว ฉันเกลียดพวกคนในกลุ่มราชการ จะว่าดีๆ ก็มีอยู่หรอก แต่ที่ไม่ดีก็คือเมื่อหมดผลประโยชน์แล้วตัดทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใย”
“ผมก็เกลียด” จ่านป๋ายยิ้ม “คุณวางใจเถอะ ลุงงูต้องไม่เป็นอะไร”
ซีเหมินจินเหลียนเป็นกังวลจนกลัดกลุ้มไปหมด ลุงงูคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา ถึงพวกเขาอยากจะตามหาเขาอย่างไรมันก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย
ไม่พูดถึงเรื่องลุงงู เรื่องของชายชราขายสินค้าจังเถี่ยฮั่นแกล้งเป็นตายและยังกล้ามาขายหินหยกดิบบนถนนหยกอีก เขาต้องมีที่พึ่งพิงอาศัย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่โง่หรอก?
“เมื่อสักครู่ตอนที่ผมเข้ามา ผมเจอเจียหยวนฮวาพอดี” จ่านป๋ายพูดอีกครั้ง “เขาถามว่าหลังเที่ยงคุณว่างไปดูสินค้าจำนวนหนึ่งหรือเปล่า”
“ออ?” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็สนใจขึ้นมาทันใดและรีบพูด “สินค้าเป็นยังไง?”
“เขาไม่ได้บอก บอกแค่ว่าหากคุณว่าง ตอนบ่ายสามโมงก็ให้ไปพร้อมกัน” จ่านป๋ายพูด
“ว่างสิ ถึงไม่ว่างฉันก็จะไป!” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น ตอนนี้เบาะแสของลุงงูยังไม่ชัดเจน เธออยู่แต่ในโรงแรมก็ไม่มีอะไรทำ ได้ออกไปดูสินค้าข้างนอกแน่นอนว่าต้องดีที่สุด ไม่แน่อาจจะเลือกได้สินค้าชนิดดีก็ได้
ตื่นตั้งแต่เช้า บวกกับเมื่อคืนนอนหลับไม่เพียงพอ หลังจากซีเหมินจินเหลียนกินข้าวเช้าเสร็จก็รู้สึกหาวหวอด รีบเข้าห้องนอนพักผ่อน ตอนบ่ายยังต้องไปดูสินค้า ต้องทำสมองให้มีชีวิตชีวาเข้าไว้
จ่านป๋ายก็กลับห้องไปพักผ่อนและจัดการเรื่องหลายๆ อย่าง ตอนเที่ยงอยู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นและรีบหยิบขึ้นมาดู พบว่าเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้น
หรือว่าใครโทรผิด? จ่านป๋ายคิด ก่อนจะกดปุ่มรับสาย
ในโทรศัพท์มีเสียงแปลกประหลาดแหบแห้งดังขึ้น พอฟังแล้วขนลุกชันไปทั้งตัวอย่างอดไม่ได้ แต่ไม่ทันได้มีใครพูดอะไร จ่านป๋ายก็ขมวดคิ้วกระแอมลำคอถามขึ้น “ใครครับ?”
พักหนึ่งในโทรศัพท์เป็นผู้ชายเสียงเคร่งขรึมส่งผ่านมา “จ่านป๋าย?”
นอกจากซีเหมินจินเหลียน ก็ไม่มีใครเรียกเขาว่าจ่านป๋ายหรือเสี่ยวป๋ายแล้ว จ่านป๋ายใช้มือกำโทรศัพท์แน่นและขมวดคิ้วถามอีกครั้ง “คุณเป็นใคร?”
“บอกจินเหลียนให้หน่อยว่าฉันสบายดี ไม่ต้องตามหาฉัน!” ในโทรศัพท์มีเสียงทุ้มต้ำของผู้ชายส่งผ่านเข้ามา แต่สุดท้ายจ่านป๋ายก็ฟังออกแล้วว่าเสียงของคนคนนั้นเป็นใคร
“ลุงงูหรือครับ?” จ่านป๋ายถาม
“ใช่ ฉันเอง!” ลุงงูพูดเบาๆ “บอกจินเหลียนว่าไม่ต้องตามหาฉัน และไม่ต้องเป็นห่วงว่าตำรวจพวกนั้นจะหาฉันเจอ ฉันปลอดภัยดี! ให้เธอจำคำพูดฉันไว้ก็พอ!”
“ทำไมคุณถึงไม่โทรไปบอกเธอเองล่ะครับ?” จ่านป๋ายพูด “เธอเป็นห่วงคุณมาก”
“ไม่ต้องหรอก…ฝากคุณบอกก็เหมือนกัน!” ลุงงูพูดจบก็วางสายเป็นที่เรียบร้อย
“ฮัลโหล…” จู่ๆ จ่านป๋ายก็คิดอะไรขึ้นได้รีบโทรกลับไป แต่สัญญาณโทรศัพท์ก็ขาดหายไปแล้ว เขารีบกดเลขและโทรกลับไปอีกครั้ง แต่เสียงในโทรศัพท์ก็เป็นเสียงข้อความอัตโนมัติว่า [เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…]
จ่านป๋ายรีบเปิดโน้ตบุ๊กที่นำติดตัวมา เปิดเครื่องและกรอกเบอร์เมื่อสักครู่ลงไปในระบบเพื่อค้นหา ลุงงูไม่ให้หาก็อีกเรื่องหนึ่ง หาเขาไม่เจอก็เป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจเอง
แต่สิ่งที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในโลก ครั้งนี้ราวกับวัวโคลนเข้าทะเล ไร้ซึ่งข้อมูลใดๆ เขาไม่เหลือเบาะแสและตัดขาดหายไป…
เวลาบ่ายสองโมง จ่านป๋ายบอกข้อความที่ลุงงูโทรมาหาเขาให้ซีเหมินจินเหลียนฟังอย่างตรงไปตรงมา ขณะเดียวกันเขาก็บอกกับเธอว่า เป็นเพราะเธอดูห่วงใยลุงงูมาก เขาจึงเคยติดตั้งเครื่องติดตามตัวบนตัวลุงงู แต่ตอนนี้เบาะแสทั้งหมดถูกตัดขาดจนหมดสิ้นแล้ว ลุงงูกับชายชราขายสินค้าเหมือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เดิมทีคิดว่าซีเหมินจินเหลียนน่าจะตกใจและกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก แต่เหนือจากที่เขาคาดคิดไว้ ซีเหมินจินเหลียนเพียงพูดง่ายๆ ออกมาแค่ประโยคเดียว “ลุงงูเป็นคนแปลก ขอแค่เขาปลอดภัยดี เรื่องที่เหลือก็ไม่สำคัญแล้ว”
ซีเหมินจินเหลียนได้ฟังคำพูดของจ่านป๋าย เธอก็ได้วางใจลง ลุงงูก็คือลุงงู ตั้งแต่ไหนแต่ไรก็เป็นแบบนี้เสมอ เธอยังต้องเป็นห่วงอะไรอีก?
เวลาบ่ายสามโมง เจียหยวนฮวาเคาะประตูตรงตามเวลาที่นัดหมายซีเหมินจินเหลียนมาดูสินค้า
บนรถซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “ผู้อาวุโสเจีย ครั้งนี้บ้านไหนขายหินหยกอีกหรือคะ”
“ไม่ใช่ว่าบ้านใครที่ขายหินหยกหรอก” เจียหยวนฮวายิ้ม “พวกมันคือสินค้าชั้นดีที่พึ่งขนกลับมาจากพม่า จำนวนเยอะพอสมควรแถมราคายังประหยัดมาก”
เห็นใบหน้าซีเหมินจินเหลียนที่เต็มไปด้วยความสงสัยแล้ว เจียหยวนฮวาก็พูดขึ้นว่า “คุณก็รู้ว่าเดิมพันหินนั้นได้กำไรมาในพริบตา เพราะอย่างนั้นรัฐบาลพม่าก็ไม่ได้โง่ ควบคุมการขนส่งหินหยกเข้าออกอย่างเข้มงวด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ยังมีคนไม่เกรงกลัวความตาย กล้าที่จะฝ่ากองไฟขนย้ายหินหยกมา เช่นของในวันนี้ แต่สินค้าดีพวกนี้ที่ขนเข้ามาผสมปนเปไปด้วยดีและไม่ดี ในนั้นส่วนใหญ่เป็นหินก่อสร้าง ทดสอบสายตาคนเหลือเกิน”
“หินหยกดิบแบบนี้จะมาจากไหนก็ช่าง แต่เกรงว่าซื้อไม่ได้ใช่ไหม?” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย
“แน่นอนอยู่แล้ว!” เจียหยวนฮวาพูด “เพราะไม่ถูกกฎหมาย เลยต้องลับๆ ล่อๆ ไม่มีคนสนิทคอยแนะนำ แม้แต่ประตูก็ไม่มีทางได้สัมผัส”
“ที่นี่เหรอ?” จ่านป๋ายรู้สึกแปลกใจที่เจียหยวนฮวาจอดรถอยู่ใกล้ๆ กับประตูคลังสินค้าของถนนหยก ยิ้มและพูด “คนคนนี้ก็หน้าใหญ่พอสมควรเหมือนกัน”
เพราะซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายไม่รู้เส้นทาง พวกเขาจึงให้เจียหยวนฮวาขับรถให้ เจียหยวนฮวาจอดรถเสร็จสรรพและเปิดประตูรถลงมา “ที่นี่คือเจียหยาง ไม่ใช่พม่า ชาวพม่าเหล่านั้นกล้ามาหาเรื่องถึงที่นี่เลยหรือ?”
ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายได้ยินแล้วยิ้มออกมา ความจริงธุรกิจหินหยกที่พม่า ในเมื่อเป็นคนเชื้อสายจีนเสียเป็นส่วนมาก ถึงแม้ชาวพม่าจะรู้วิธีฉ้อโกงแต่ก็ไม่มีความสามารถ