ความลับแห่งจินเหลียน 220 เห็นผี

ตอนที่ 220 เห็นผี

 

 

สวี่อี้หรานได้ยินจ่านป๋ายเรียกซีเหมินจินเหลียนว่าแฟนอย่างคล่องปาก ในใจก็รู้สึกถึงความเจ็บปวด และในประโยคสุดท้ายของจ่านป๋าย เขายังไม่ลืมที่จะถามว่า “หมอสวี่ ใช่ไหมครับ”              

 

 

“ใช่ครับ!” สวี่อี้หรานตอบกลับออกไปตามตรง ไม่ได้สร้างเรื่องให้วุ่นวายไปมากกว่านี้

 

 

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง” ตำรวจผู้น้อยถอนหายใจพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็ขอเชิญทั้งสองท่านไปช่วยยืนยันศพได้หรือเปล่าครับ”

 

 

“ไม่มีปัญหาค่ะ” จ่านป๋ายไม่ทันได้พูดก็โดนซีเหมินจินเหลียนชิงพูดขึ้นก่อน

 

 

“ขอบคุณมากครับ เชิญทั้งสองท่านทางนี้ครับ” ตำรวจผู้น้อยพาซีเหมินจินเหลียน จ่านป๋ายและสวี่อี้หรานเดินเข้าไปข้างใน

 

 

ส่วนเลี่ยวก่วงนั้นอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น จากนิสัยของจ่านป๋ายแล้ว เขาไม่มีทางยอมให้ซีเหมินจินเหลียนไปจับต้องของสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนที่เพิ่งจะตายไป สิ่งแปดเปื้อนไม่สะอาดพวกนั้น…เขาตั้งใจจะหาข้อมูลทุกอย่างของซีเหมินจินเหลียน จนเกือบจะทำให้งูตัวหนึ่งคร่าชีวิตตัวเองไป แน่นอนว่าการตรวจสอบเขาสามารถทำได้ แต่เรื่องอื่นๆ เขาไม่กล้าจะเคลื่อนไหวมาก

 

 

คนคนหนึ่งใช้เวลาเพียงครึ่งปีเก็บสะสมเงินหลักร้อยล้านได้ บุคคลที่มีเงินเหมือนเรียกฝนเรียกลมได้ มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

 

และสำหรับคดีไฟไหม้ครั้งนี้ เขาก็มีความคิดเห็นอีกอย่าง แต่เขาแค่ตำรวจนอกพื้นที่ และยังอ้างว่ามาเที่ยว ไม่ได้มาทำคดี วันนี้ที่มาดูก็แค่เดินตามหลังคนอื่นต้อยๆ ไม่มีอำนาจสั่งการอะไร

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเห็นศพสองร่างถูกไฟคลอกจนกัดกินใบหน้าเสียหายไปหมด ในใจก็เศร้าเสียใจ ได้แต่อดกลั้นไว้ แต่สุดท้ายกลั้นน้ำตาไม่ไหวจนต้องปล่อยให้ไหลลงมา ศพหนึ่งศพในนั้นดูจากเสื้อผ้าที่ไม่ได้ถูกเผาสิ้นซากจนหมดก็น่าจะเป็นชายชราท่านนั้น ส่วนอีกคนไม่ต้องพูดถึงแน่นอนว่าต้องเป็นลุงงู

 

 

ซีเหมินจินเหลียนจ้องมองไปที่ศพของลุงงู จู่ๆ ในใจก็รู้สึกสั่นไหว…นี่มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง?

 

 

จากนั้นเธอก็ตรวจสอบดูอย่างละเอียด ได้แต่ขมวดคิ้วจนพันกัน ชายชราขายสินค้าเธอไม่ได้สนิทสนมกับเขา แต่ดูจากเสื้อผ้าที่ไม่ได้ถูกเผาจนหมดก็ยังพอจะมองออกได้ ส่วนลุงงูไม่เจอมาหลายปี แต่ร่างกายของเขามีเอกลักษณ์พิเศษ…ศพนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ลุงงู

 

 

คิดได้เพียงเท่านี้ซีเหมินจินเหลียนก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง ขอแค่ไม่ได้พบศพของลุงงูก็ตัดสินไม่ได้ว่าเขาตายแล้ว แต่เรื่องนี้ต้องบอกพวกลุงตำรวจไปตรงๆ ไหม?

 

 

ไฟไหม้ครั้งนี้ลุกขึ้นอย่างประหลาด สิ่งก่อสร้างสมัยนี้ไม่ได้เหมือนสมัยก่อน ส่วนมากจะใช้ปูนซีเมน แม้ว่าไฟจะเผาไหม้ไปเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย บ้านคนมีเงินอาจมีใช้วัสดุไม้ ผ้าหรือของตกแต่ง     แต่บ้านหลังนี้ว่างเปล่าไม่มีอะไรสักอย่าง ไฟไหม้หรือ? นี่ก็เป็นไปไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?

 

 

“คุณผู้หญิง…” ตำรวจผู้น้อยถาม “อย่ามัวแต่ร้องสิครับ ดูให้ละเอียดก่อน”

 

 

“น่าจะใช่ครับ” จ่านป๋ายประคองซีเหมินจินเหลียนและถอนหายใจพูด “พูดตามตรงพวกเรารู้จักกับพวกเขาแค่ระยะเวลาสั้นๆ ตอนนี้ศพเป็นถึงขนาดนี้แล้ว ก็ยากที่จะยืนยันศพได้อย่างถูกต้อง แต่ผมดูแล้วน่าจะเป็นพวกเขาทั้งสองคน น่าสงสารจริงๆ…”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเองก็พยักหน้าให้กับตำรวจผู้น้อยและปาดน้ำตาพูด “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ เมื่อวานยังดีๆ อยู่ มาวันนี้ก็จากไปเสียแล้ว”

 

 

“จริงสิ พวกคุณรู้ฐานะตัวตนของพวกเขาสองคนไหมครับ” ตำรวจผู้น้อยถามอีกครั้ง

 

 

เวลานี้สวี่อี้หรานอาศัยที่ตำรวจไม่สนใจ นั่งย่อตังลงกับพื้นและมองไปที่ศพสองร่างอย่างเหม่อลอย

 

 

“เรื่องนี้ไม่รู้จริงๆ ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด

 

 

ตำรวจผู้น้อยคนนั้นครุ่นคิดไปมา น่าจะอยากรีบแก้คดีจึงพูดเชื้อชวนว่า “เชิญทั้งสองท่านให้ความร่วมมือไปสถานีตำรวจกับพวกเราสักหน่อยได้ไหมครับ จากความจำของพวกคุณอัตลักษณ์ของพวกเขาทั้งสองเป็นยังไง เพื่อง่ายต่อการที่พวกเราจะยืนยันตัวตนของพวกเขา?”

 

 

“ได้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด

 

 

ตำรวจผู้น้อยจัดการเรื่องได้อย่างรวดเร็ว เรียกรถตำรวจมาคันหนึ่ง จ่านป๋ายขับรถที่เช่ามาและทั้งสามคนไปสถานีตำรวจด้วยกัน จากคำให้การอัตลักษณ์ที่ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายบอก ไม่นานก็ได้ภาพสเก็ตของพ่อค้าชราขึ้นมาอย่างละเอียด

 

 

“เหมือนมาก!” ซีเหมินจินเหลียนมองรูปสเก็ตของชายชราจึงพยักหน้าพูด “ไม่น่าผิดแล้วค่ะ วันนั้นเขาเคยขายของที่ถนนหยกโบราณ คนตั้งมากมายเคยเห็นเขา พวกคุณไปสอบถามสักหน่อยก็น่าจะรู้”

 

 

“ขอบคุณมากครับ รบกวนพวกคุณจริงๆ” รีบส่งภาพสเก็ตออกไปให้คนช่วยยืนยันระบุตัวตนของชายชรา เวลาเดียวกันก็พูดคุยถามสถานการณ์กับซีเหมินจินเหลียนอย่างละเอียด แต่จ่านป๋ายก็ไม่ให้อะไรเล็ดลอดออกมา เรื่องไหนควรพูด เรื่องไหนไม่ควรพูด เขาปิดปากอย่างเงียบสนิท

 

 

ตำรวจผู้น้อยถามนู่นนี่ แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไร ซีเหมินจินเหลียนและคนอื่นๆ จึงได้พากันบอกลาและจากไป เวลานี้มีตำรวจนายหนึ่งแต่งกายเต็มยศ ตำรวจหญิงสาวท่าทางสง่าผ่าเผยเดินเข้ามา ในมือมีภาพสเก็ตพวกนั้นถามไปว่า “พวกเขาสองคนให้ข้อมูลภาพสเก็ตพวกนี้?”

 

 

“ใช่ ซู่ซู่ เกิดอะไรขึ้นหรือ” ตำรวจผู้น้อยถาม

 

 

ซู่ซู่ก้มหน้าก้มตาและแค่นเสียงออกจากจมูก “ตัวตนของชายชราคนนี้ตรวจสอบออกมาแล้ว”

 

 

“สถานีตำรวจของพวกคุณทำเรื่องรวดเร็วจริงๆ” จ่านป๋ายยิ้มไร้ซึ่งความกังวลใดๆ

 

 

ซู่ซู่กลอกตาใส่เขาอย่างเ**้ยมโหดแล้วพูดขึ้น “ชายชราท่านนี้ชื่อจังเถี่ยฮั่น ก่อนหน้านี้เคยขายหินหยกดิบ เรื่องนี้ไม่ผิด! เขาไม่มีลูกไม่มีหลาน ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในสถานสงเคราะห์ แต่…”

 

 

“แต่อะไรครับ?” ตำรวจผู้น้อยรีบถาม

 

 

“จังเถี่ยฮั่นคนนี้เสียไปตั้งแต่สองปีที่แล้ว” ซู่ซู่ยิ้มอย่างเยือกเย็น “พวกคุณบอกว่า เมื่อวานยังเจอเขา หรือพวกคุณเห็นผีเข้าแล้ว?”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนสับสนมึนงง คิดอยู่นานก็พูดไม่ออก ส่วนจ่านป๋ายเองก็สงสัยเป็นอย่างมาก การแกล้งตายก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ทำขั้นตอนต่างๆ ก็ไม่อยากเหมือนกัน ยัดแค่เงินสักก้อนก็ได้แล้ว เช่นปู่ของหลินเสวียนหลาน หลินเสวียเหวินคนนั้นก็เคยทำสำเร็จมาแล้ว แต่ปัญหาก็คือ…ชายชราตัวคนเดียวทำไมถึงต้องแกล้งตายด้วย? แล้วเป็นใครกันที่ช่วยเขาทำเรื่องแกล้งตายนี่ ทำไปเพราะอะไร?

 

 

“คนที่เคยเห็นเขาไม่ได้มีแค่พวกเราสองคน!” จ่านป๋ายพูดอย่างไร้ความกังวล “เมื่อสามวันก่อน เขาขายหินหยกดิบอยู่ที่ถนนหยกโบราณ เพราะพวกเราเจียระไนหินออกมาเป็นเนื้อน้ำแข็ง ทำให้ธุรกิจของเขากอบโกยได้กำไรสูง แม้พวกเราจะไม่รู้จักคนอื่น แต่แค่พวกคุณไปถามก็น่าจะรู้แล้ว”

 

 

“ผมสั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปสอบถามที่ถนนหยกแล้ว!” ตำรวจผู้น้อยพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ขอรบกวนให้ทั้งสามท่านช่วยนั่งรอก่อนสักครู่ได้ไหมครับ ขอแค่พิสูจน์ว่าคำพูดของพวกคุณทั้งสองเป็นความจริง พวกเราก็จะปล่อยพวกคุณไป”

 

 

“พวกเราก็ไม่ได้กลัวว่าพวกคุณจะไม่ปล่อยพวกเรา” จ่านป๋ายขมวดคิ้วอย่างใจเย็น

 

 

ตำรวจหญิงที่ชื่อซู่ซู่คนนั้น ได้ยินแล้วก็กลอกตาขาวใส่คนทั้งสามและหมุนตัวเดินไปทางปากประตู

 

 

“พวกคุณอย่าได้ใส่ใจเลยครับ เธอก็มีนิสัยแบบนี้” รอให้ตำรวจหญิงออกไปก่อน ตำรวจผู้น้อยรีบพูดเสียงอ่อนเสียงเบา

 

 

 “ไม่เป็นไรครับ คุณป้าตำรวจก็เป็นแบบนี้” สวี่อี้หรานตั้งใจพูดเสียงดัง ซีเหมินจินเหลียนกล้ายืนยันได้เลยว่าตำรวจหญิงที่ชื่อซู่ซู่คนนั้นต้องได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้งแน่

 

 

และเป็นอย่างที่คิดไว้ มีเสียงปังดังขึ้น ประตูของสถานีตำรวจถูกผลักออกมาอย่างแรง ซู่ซู่ที่มีใบหน้าเย็นยะเยือกเดินเข้ามาใช้มือชี้หน้าของสวี่อี้หรานว่า “เมื่อกี้คุณว่ายังไงนะ?”

 

 

“ไม่เป็นไรครับ คุณป้าตำรวจก็เป็นแบบนี้!” สวี่อี้หรานเองก็กล้าพอ คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดทวนประโยคนั้นออกมาอีกรอบ

 

 

“นาย…ใครเป็นป้านาย?” ใบหน้าของซู่ซู่ครั้งนี้โกรธจนซีดขาว

 

 

สวี่อี้หรานพูดขึ้นว่า “ยายของผมบอกว่า ยามใดเห็นสหายตำรวจ ผู้ชายเขาเรียกว่าลุง ผู้หญิงเรียกว่าป้า ผมเป็นเด็กดี ดังนั้น…คุณป้าตำรวจอย่าโกรธผมเลยนะครับ การเป็นหมอที่คุณสมบัติผ่านอย่างผม ผมขอพูดกับคุณด้วยใจจริง โกรธมากจะทำให้แก่ง่าย…”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนอดกลั้นไม่ไหว ต้องหลุดหัวเราะออกมา ด้วยท่าทางที่จริงจังของสวี่อี้หราน ทำให้คนอื่นคลุ้มคลั่งได้ง่าย ตอนนั้นเธอก็เคยเป็นมาแล้ว

 

 

ตำรวจผู้น้อยคนนั้นกับจ่านป๋ายก็พยายามกลั้นขำ พวกเขารู้สีกเลื่อมใสสวี่อี้หรานจริงๆ คำพูดแบบนี้เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจังโดยไม่ละอายใจได้อย่างไรกัน

 

 

ซู่ซู่สูดลมหายใจอย่างแรง โกรธไม่ได้ เธอจะโกรธไม่ได้

 

 

 “ขอถามหน่อยเถอะ…” ใบหน้าของซู่ซู่ยกยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์และเขยิบใกล้เข้าหาสวี่อี้หราน “ยายของนาย พูดประโยคนี้กับนายตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนมองสวี่อี้หรานที่ยกนิ้วมือขึ้นมา เอาจริงเอาจังกับการเริ่มนับเลข จากนั้นก็อาศัยตอนที่ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้สนใจ จับมือของเธอขึ้นมาและยิ้มแห้ง “ยืมนิ้วหน่อย ของผมมีไม่พอ…”

 

 

“ถ้าไม่พอจริงๆ ฉันก็ไม่ถือสา ถ้าหากนายจะถอดรองเท้าออกมานับนิ้วเท้าด้วย” ซู่ซู่ยิ้มเยือกเย็น

 

 

“พอแล้วๆ…น่าจะสักยี่สิบปีก่อนได้! สิ่งที่ยายผมพูด คุณลองดูสิความจำผมดีใช่ไหมล่ะ?” สวี่อี้หรานพูดจริงจังอีกครั้ง

 

 

“ไม่เลวนี่!” ซู่ซู่เหอะเสียงใส่ “แต่ตอนนี้ไม่นิยมพูดแบบนี้แล้ว!”

 

 

“แล้วตอนนี้นิยมพูดว่าอะไรหรอ?” ท่าทางที่กระตือรือร้นของเขาเหมือนกำลังตั้งใจเรียนอยู่

 

 

“เรียกว่าย่า!” ซู่ซู่พูดดุดัน

 

 

 “ใช่!” สวี่อี้หรานพูดจริงจัง “คุณย่าตำรวจ!”

 

 

“เหอะ!” ซู่ซู่จ้องมองไปที่สวี่อี้หราน และหมุนตัวเดินไปทางประตูอีกครั้ง กลับไปยังสำนักงานตัวเองและปิดประตูดังอย่างบ้าคลั่ง

 

 

“ยอมแพ้แล้ว?” เสียงหัวเราะเยาะของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาอยู่ไม่ไกล!

 

 

 “นาย…” ซู่ซู่มองไปที่เลี่ยวก่วงอยู่นานจึงพูดขึ้น “คนนี้ที่นายบอกว่าคนแปลกน่ะหรือ?”

 

 

เลี่ยวก่วงยิ้มและพยักหน้าพูด “เขานั่นแหละ! สวี่อี้หราน ปีนี้อายุยี่สิบหก เป็นทายารุ่นต่อไปของตระกูลสวี่ที่ตงไห่ สืบทอดวิชาด้านมืด ลงมือเด็ดเดี่ยว นิสัยใจคอแปลกประหลาด ฝีมือแพทย์ไม่มีใครเทียบ!”

 

 

“แล้วผู้ชายอีกคนล่ะ” ซู่ซู่ขมวดคิ้วถาม

 

 

“จ่านมู่หรง คุณชายตระกูลจ่าน แต่ที่บ้านไม่ค่อยยอมรับเท่าไหร่ วิชาในด้านมืดก็มีเพียบเหมือนกัน มีอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรมขนาดใหญ่ต่างประเทศ อำนาจล้นฟ้า!” เลี่ยวก่วงพูด “ปลดล็อคเทคโนโลยีต่างๆ ที่ไม่มีใครที่ไหนทำได้!”

 

 

ซู่ซู่ไม่พูดอะไรออกมาอีกครั้ง เลี่ยวก่วงถอนหายใจและพูดต่อว่า “จ่านมู่ฮวาเป็นพี่ชายของเขา ได้ยินว่าทั้งคู่ไม่ถูกกัน รูปร่างหน้าตาราวกับดาราหนัง มีอิธิพลในวงธุรกิจอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและบันเทิงสูง และร่ำรวยมาก!”

 

 

“คดีนี้ยิ่งยากกว่าเดิมแล้ว!” คิ้วงามของซู่ซู่ค่อยๆ ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

 

ความลับแห่งจินเหลียน

ความลับแห่งจินเหลียน

Score 10
Status: Completed

ส่วนที่ 1 ตอนที่ 1 – 29 อ่านนิยาย
ส่วนที่ 2 ตอนที่ 1 – 30 อ่านนิยาย
ส่วนที่ 3 ตอนที่ 1 – 33 อ่านนิยาย


ซีเหมินจินเหลียน หญิงสาวจากครอบครัวชนบทที่มีความใฝ่ฝันอยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น เธอดิ้นรนส่งเสียตัวเองจนเรียนจบ กระทั่งได้เข้ามาทำงานในนครเซี่ยงไฮ้ เมืองที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้ แต่ความจริงกลับไม่เป็นดั่งฝันที่วาดไว้ เมื่อเธอถูกแฟนหนุ่มที่ตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันหักหลังอย่างไม่ไยดี

แต่แล้ว…ในคืนที่เธอไม่เหลืออะไรแม้แต่ชายคนรัก ซีเหมินจินเหลียนได้รับความสามารถพิเศษที่เธอเองก็ไม่อาจคาดคิด… ‘ความสามารถในการมองทะลุสิ่งของ’ พร้อมกับลายดอกบัวสีทองที่ปรากฏอยู่บนหลังมือ ได้นำพาให้ซีเหมินจินเหลียนที่ไม่มีอะไรติดตัวเข้าสู่วงการ ‘นักพนันหยก’ จนได้กลายเป็น ‘เจ้าหญิงแห่งวงการหยก’ ภายในชั่วข้ามคืน…

Options

not work with dark mode
Reset