ครอบครัว? ยิ้มพิมพ์ใจ
เสวี่ยอู๋เสียตื่นขึ้น
ลืมตาขึ้นครั้งแรก นางอยากพบเด็กหนุ่มวายร้ายที่นางฝันถึงขณะหลับสนิท นางรู้ว่าเขาคิดถึงนางเรียกนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าหวังว่านางจะตื่นขึ้นและหวังว่าเมื่อนางลืมตาจะมองเห็นหน้าเขาทันทีและเตือนเขาไม่ให้ทำตัวน่ารังเกียจเกินไป อย่างไรก็ตามมีหลายครั้งที่นางต้องการจะตอบสนองเล็กๆ น้อยๆ แม้ว่าจะเป็นการบอกใบ้เล็กน้อยก็ไม่สามารถทำได้
นางไม่รู้ว่านางอยู่ท่ามกลางความปั่นป่วนโกลาหลนานแค่ไหน บางทีอาจเป็นเวลาพันปี หรือนานแสนนาน
ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ เสมอหัวใจนางคงร้อนรน
ในการหลับอย่างสงบแทบใกล้เคียงกับความนิรันดร์ เสวี่ยอู๋เสียรู้สึกว่านางได้ผลรับมากมายจริงๆ แม้ว่านางจะไม่สามารถพูดคุยหยอกล้อกับเขาได้ แต่นางก็มีความอดทนมากขึ้นตระหนักรู้ความคิดในความเงียบของนางมากขึ้น… การหลอมรวมพลังเทพน้ำแข็ง สำนึกเทพค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลงควบแน่นแบบค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่ต้องมีความคิดนำใดๆ อยู่ตรงกลาง พลังงานรูปแบบใหม่ก่อตัวโดยอัตโนมัติ เกิดเป็นกระบวนการทางสำนึกเทพและพลังเทพที่สมบูรณ์ นางได้เรียนรู้เข้าใจขอบเขตความรู้ของระดับเทพ เป็นความรู้ใหม่ที่ไม่คาดคิดจินตนาการมาก่อน บางอย่างก็เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน ถ้าต้องใช้ปัญญาทำความเข้าใจทั้งหมดไม่ก็รู้ว่าเมื่อไหร่จะเข้าใจได้หมด ได้แต่รอสำรวจในใจตนเองเงียบๆ และดูดซับความรู้นั้นเข้าด้วยกัน
ในบางขอบเขต เสวี่ยอู๋เสียรู้สึกว่านางมีความเข้าใจ
แต่การค้นพบสุดท้ายนั้นเป็นแค่การเริ่มต้น
เหมือนกับปลายยอดภูเขาน้ำแข็งซึ่งเป็นส่วนน้อยเท่านั้น
มีบางครั้งเสวี่ยอู๋เสียคิดว่า นางยังอยู่ไกลมาก แต่ในที่สุดนางพบว่าเชี่ยวชาญประสบความสำเร็จโดยไม่รู้ตัว มีเพียงโอกาสเดียวที่จะแสดงยืนยัน!
นางต้องการแบ่งปันผลเก็บเกี่ยวและร่วมยินดีกับเด็กหนุ่มตัวร้าย เขาคงจะมีความสุขกับนาง บางทีเขาอาจจะบ่นเพราะนางเอาแต่นอนนานเกินไป แต่คงจะมีความสุขมากขึ้นอย่างแน่นอน… องค์หญิงผู้เชิดหยิ่งคงจะดื่มน้ำส้มสายชูสามชามใหญ่ (หมายความว่าหึง) นางคงจะโกรธมากที่ไม่เห็นตัวนางเองเป็นเวลานาน เสวี่ยอู๋เสียคิดจะตามหานาง
อย่างไรก็ตามเมื่อนางได้รับประโยชน์ขอบเขตพลังที่สูงส่ง นางกระตือรือร้นจนกระทั่งเป็นอิสระจากสภาวะปั่นป่วน
เมื่อนางลืมตาขึ้นนางต้องการพบเขาเป็นคนแรก
แต่เสวี่ยอู๋เสียพบว่า
ตัวนางอยู่ในมิติเวลาที่ลึกลับ
ทุกอย่างที่นี่ดูเหมือนจะคุ้นเคยมาก ราวกับว่านางเคยเห็นมาก่อน แต่เสวี่ยอู๋เสียแน่ใจว่าทุกอย่างในนี้แปลกอย่างสิ้นเชิง นางไม่เคยเห็นมาก่อน มีความคุ้นเคยแต่รู้สึกแปลก เหมือนไม่ใช่ความจริง
ไม่มีดอกไม้ ต้นไม้ ไม่มีภูเขา ไม่มีทะเลสาบไม่มีอะไรในโลก
บางทีเป็นกลุ่มเมฆหมอกในท่ามกลางความโกลาหล
ถ้าไม่ใช่เพราะเสวี่ยอู๋เสียพบว่าตนเองตื่นเต็มที่แล้ว นางคงสงสัยว่ายังคงหลับและอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน
“บางทีอาจมีคำตอบในคัมภีร์แห่งสัจจะ” เสวี่ยอู๋เสียคิดเรื่องนี้แล้วไม่สามารถหาเหตุผลรับรองได้ นางต้องมองดูจากคัมภีร์แห่งสัจจะซึ่งหลอมรวมกับนางวิวัฒนาการไปเป็นสมบัติชั้นเทพคุณภาพสูง
นิ้วดุจหยกของนางพลิกหน้าเบาๆ
คาดไม่ถึงเลยว่าคัมภีร์แห่งสัจจะซึ่งสามารถนำเสนอความจริงของโลกได้ทั้งหมดไม่มีการตอบสนอง
แม้นางจะเรียกขุนพลเทพธิดาวายุ อสูรพิทักษ์ของนาง
แต่กลับไร้ผลสิ้นเชิง
“เกิดอะไรขึ้น?” เสวี่ยอู๋เสียงงงวย ยังมีที่ใดในโลกที่ไม่สามารถเรียกอสูรพิทักษ์ออกมาด้วยหรือ? นี่ที่ไหนกัน? เห็นได้ชัดว่านางหลับอยู่ในโลกคัมภีร์ และจู่ๆ นางกลับมาอยู่ดินแดนลับของมหาเทพโบราณ ต้องมีอะไรผิดปกติเป็นแน่!
นางงงงวยและไตร่ตรองกลับไปมาเป็นร้อยครั้ง และประหลาดใจกับสิ่งที่นางพบ
ที่ด้านหลังนางไม่รู้ว่ามีเด็กหญิงน่ารักสองคนปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งสองคนกระพริบดวงตากลมโตมองดูนาง
เสวี่ยอู๋เสียเห็นเด็กหญิงมาหลายคน ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือนอกมีมากมายโดยเด็กหนุ่มตัวร้ายของนางเป็นพวกรักเด็ก เขารู้จักเด็กหญิงโตเด็กหญิงน้อยอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นซวงเอ๋อจอมซน หนิวหนิว ปิงเอ๋อผู้ว่าง่าย เป่าเอ๋อ รวมทั้งองค์หญิงจากตระกูลต่างๆ แม้แต่ในสถาบันฉางชุนเฉิง ห้องเรียนระดับสูงที่แม่เฒ่าอู่เถิงดูแล มีเด็กหญิงมากมายที่นางพบเจอ
อย่างไรก็ตามเสวี่ยอู๋เสียมั่นใจ
เด็กหญิงผู้น่ารักสองคนที่อยู่ข้างหน้านาง นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน และไม่เคยเห็นเด็กหญิงที่ผิวสีชมพูน่ารักขนาดนี้
แม้ว่าเสวี่ยอู๋เสียไม่ใช่คนที่ชอบคลุกคลีกับเด็กแต่นางกลับรักเด็กผู้หญิงสองคนข้างหน้านี้
เพราะ
พวกเธอน่ารักมาก!
“พวกเจ้า….” เสวี่ยอู๋เสียเหมือนมีภาพเลือนลางว่าคุ้นเคยกับเด็กน้อยสองคนนี้มาก่อน แต่ก็แน่ใจว่าไม่เคยเห็นพวกเธอมาก่อน เนื่องจากนางรู้สึกอย่างนี้ นางจึงสับสนไม่แน่ใจชัดนัก ทำไม!
นางทำท่าอยากกอดเด็กหญิงผิวสีชมพูน่ารักทั้งสอง แต่ทั้งสองเมื่อเห็นนางเหมือนกับจะเข้าใจนาง กลับถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ไม่ยอมให้กอด
พวกเธอมองกันและกันอีกครั้ง
เสียงหัวเราะชัดเจนไพเราะราวกับระฆังเงินได้ยินสะท้อนไปทั้งใจ
เด็กหญิงทั้งสองจับมือซอยเท้าน้อยๆ วิ่งห่างออกไป
เสวี่ยอู๋เสียยื่นมือไขว่คว้าและพบเห็นรอยเท้าตัวนางเอง ถ้านางต้องการเคลื่อนไหวที่นี่สักครึ่งเมตร นางจะต้องดิ้นรนใช้พลังทั้งกาย เป็นไปไม่ได้ที่จะตามจับเด็กหญิงผู้น่ารักทั้งสองที่ถลันร่างห่างออกไป พร้อมกับยิ้มให้อย่างคาดไม่ถึง เด็กหญิงทั้งสองคนเป็นลูกของใคร ทำไมพวกเธอถึงมาอยู่ที่นี่?
ทำไมพวกเธอจึงดูคุ้นเคยกับนางยิ่งนัก
ปัญหาหลายอย่าง
ผุดขึ้นในใจของเสวี่ยอู๋เสีย นางคิดไตร่ตรองก็คิดไม่ออก
เสวี่ยอู๋เสียเดินช้าๆ ไปในทิศทางที่เด็กหญิงทั้งสองหายไป ทุกย่างก้าวที่นี่เหมือนใช้เวลาสิบวันครึ่งเดือนถึงจะไปได้ การกระทำทุกอย่างช้าไปหมด โชคดีที่ห้ามเรื่องการเดินเท่านั้น ถ้าห้ามไม่ให้พูด นางคงต้องกังวลเป็นแน่
เสวี่ยอู๋เสียผู้ได้ความอดทนในช่วงเวลาที่หลับสามารถทำได้อย่างสบาย ไม่กังวล อย่างไรก็ตาม นางใช้เวลาเดินทั้งวัน
ถ้าเปลี่ยนเป็นองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนซึ่งเป็นคนใจร้อนกว่า
คาดว่านางคงอึดอัดหายใจไม่ออกเป็นแน่
นางไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปอีกนานเท่าใด
ในไม่ช้าเสวี่ยอู๋เสียก็หยุด แทบไม่สามารถยืนอยู่ได้ ทันใดนั้นนางพบว่ามีบางคนกำลังฝึกฝนอยู่
คนผู้นี้ยังคงเป็นดรุณีน้อย แต่เป็นดรุณีที่โตกว่าซวงเอ๋อและหนิวหนิว แต่เล็กกว่าปิงเอ๋อและเป่าเอ๋อ ลักษณะของนางนั้นมีความคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ถูก เหมือนกับว่าเด็กหญิงผู้นี้นางเคยพบเห็นมาก่อน เป็นความคุ้นเคยเหมือนคนที่รักให้ความรู้สึกเป็นมิตรและสบายใจ
“น้องสาว, เจ้าเป็นใครกัน?” เสวี่ยอู๋เสียรู้ว่าคนผู้นี้ไม่ใช่สมาชิกครอบครัวนางแน่ แต่นางสงสัยว่าดรุณีน้อยผู้นี้อาจเป็นสมาชิกครอบครัวของคนรักนาง บางทีอาจเป็นน้องสาวของเขาก็ได้ แต่เดิมน้องสาวของวายร้ายของนางก็คือปิงเอ๋อและซวงเอ๋อ ไม่มีใครอื่น แต่เมื่อเด็กหญิงปรากฏต่อหน้าเสวี่ยอู๋เสีย นางคงไม่ปฏิเสธว่าไม่มีความเป็นไปได้อย่างอื่น บางทีอาจเป็นดอกผลแห่งความปรารถนาของมารดาเย่ว์หยางก็ได้
หรืออาจจะมีเหตุผลอื่น
อย่างไรก็ตาม น้องสาวผู้นี้ต้องเป็นสมาชิกครอบครัวเขาแน่นอน!
ดรุณีน้อยผู้นี้สวมใส่ชุดที่งดงามซึ่งเสวี่ยอู๋เสียไม่เคยเห็นมาก่อน นางพอเห็นเสวี่ยอู๋เสียก็รั้งพลังกลับอย่างรวดเร็ว นางมองดูเสวี่ยอู๋เสียและกระพริบตากลมโตเหมือนกับที่เด็กหญิงผู้น่ารักทั้งสองมองเสวี่ยอู๋เสีย
“หน้าของข้ามีอะไรรือ?” เสวี่ยอู๋เสียรู้สึกหวาดหวั่นและลูบหน้าโดยไม่รู้ตัว
“…..” ดรุณีน้อยยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
นางยื่นมือออกมาทันที
เสวี่ยอู๋เสียไม่ค่อยเข้าใจนัก คาดว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ดี อาจพยายามจูงมือนางก็ได้ นางยังคงลองยื่นมือออกไปจับมืออ่อนนุ่มของอีกฝ่ายเบาๆ
เป็นสัมผัสที่ปลอดภัย สนิทสนมและทำให้หัวใจของเสวี่ยอู๋เสียสงบลง
นี่คือคนรักคนหนึ่ง
วินาทีต่อมานั้น
นางประหลาดใจมากที่พบว่าดรุณีน้อยที่อยู่ข้างหน้านางควบแน่นพลังใช้พลังปราณสร้างเป็นกระบี่มังกรทอง และลอยตัวขึ้นไปยืนบนศีรษะมังกร มังกรทองบินขึ้นไปในท้องฟ้า ในพริบตาเดียว ไม่รู้ว่านางบินไปไกลเพียงไหน ถ้าเปลี่ยนเป็นโลกธรรมดาก็ต้องบินผ่านมาหลายพันไมล์
“จะไปไหนกัน?” เสวี่ยอู๋เสียคิดว่านางจะพาตัวนางเองไปจากโลกแปลกประหลาดเพื่อกลับไปพบกับตัวร้ายของนาง?
“…..” เด็กสาวยิ้มหวานให้นาง แต่ไม่อธิบายอะไร
มังกรทองยักษ์ถูกสร้างด้วยปราณกระบี่ดูเหมือนจะผ่านมิติเวลาได้
เสวี่ยอู๋เสียงงงวยตลอดทาง
ไม่ลดลงแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นนางรู้สึกว่าร่างกายเบา
มังกรทองยักษ์หายไป นางพบว่านางมาอยู่ในโลกที่มีพลังเทพสว่างไสวเต็มไปด้วยรัศมีแสง เมื่อเทียบกับโลกแห่งความฝันที่มีสีสันเต็มไปหมด เสวี่ยอู๋เสียพบว่า แม้โลกที่สวยงามที่สุดที่นางเคยพบเจอมาก่อน เมื่อมาเปรียบเทียบกับที่นี่ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยอ้าง
โลกคัมภีร์ของตัวร้าย ผ่านการใช้เจตจำนงและสร้างให้ทุกคนอย่างสวยงาม
แต่มิอาจเปรียบกับที่นี่ได้
ความรู้สึกห่างชั้นนั้นเหมือนกับลูกเป็ดขี้เหร่กับพญาหงส์ขาว
พลังเทพของเสวี่ยอู๋เสียสามารถใช้ที่นี่ได้ในที่สุด ยิ่งกว่านั้นยังได้รับพลังสนับสนุนเป็นพันเท่า.. นางลอยตัวอยู่ในท้องฟ้ามองดูทิวทัศน์ทั้งหมดเบื้องหน้านาง นอกจากนี้ที่นี่ยังมีความงดงามอย่างที่มิเคยพบเห็นจากที่ใดมาก่อน มิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้ ที่ด้านบนสุดเหมือนมีลำแสงเทพสีรุ้ง
ครอบคลุมเต็มท้องฟ้าทั้งหมด
นางไม่รู้ว่าต้องใช้เวลามากมายเพียงไหนพลังเทพจึงสามารถกลั่นตัวได้มากมายขนาดนี้
ภายใต้แสงสีรุ้งศักดิ์สิทธิ์ ไกลออกไปมีเสาสีแดงอ่อนทอดยาวจากเชิงเขาตั้งชันขึ้นหายไปบนท้องฟ้า ใจของอู๋เสียตื่นเต้น พลังเทพพานางมาที่หน้าเสาแสงสีแดง และนางก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเสาแดงนี้ไม่ใช่อะไรอื่น แต่เป็นสิ่งเดียวที่ไม่เหมือนใครในโลกของเด็กหนุ่มวายร้ายนั่น เสาเพลิงอมฤต ตัวร้ายนั่นไม่สามารถกลั่นสร้างเสาเพลิงอมฤตที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้คั่นโลกและสวรรค์อย่างนิรันดร
เสาเพลิงอมฤตนี้คาดว่ากว้างสิบกิโลเมตรหรืออาจมากกว่านั้น
สูงจรดฟ้า
นางไม่รู้ว่าไปสุดที่ใด
“พี่สาว! เจ้ามาได้อย่างไร?” เสียงห้าวน่ารักดังออกมาจากลำเสาเพลิงอมฤต จากนั้นเสวี่ยอู๋เสียยังไม่ทันตั้งตัวนางรู้สึกว่ามีศีรษะน้อยๆ เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนนาง พลังแฝงจากการโถมตัวเข้าอ้อมกอดทำให้นางปลิวกระเด็น ถ้าไม่ใช่เพราะนางหลอมรวมกับพลังเทพหิมะน้ำแข็ง คงโดนเด็กน้อยผู้นี้ชนกระเด็นไปในอากาศ
“ปิงหยินนั่นเป็นเจ้าเอง!” เสวี่ยอู๋เสียดีใจ แม้ว่าเด็กสาวนี่จะแก่นห้าวไปบ้าง แต่พอนางปรากฎตัว เสวี่ยอู๋เสียรู้สึกผ่อนคลายจิตใจ
“พี่อู๋เสีย! เจ้ามาถึงที่นี่ได้ยังไง?” ศีรษะน้อยๆ ในอ้อมแขนนางเงยหน้ามอง และนั่นคือสาวกิเลนปิงหยิน
“อ่า.. ข้าไม่รู้!” เสวี่ยอู๋เสียไม่สามารถตอบได้ เมื่อนางหลับนางอยู่ในสภาพปั่นป่วน จากนั้นตื่นขึ้นมาพบเด็กหญิงน่ารักสองคน และมีเด็กหญิงโตผู้น่ารักอีกคนใช้ปราณกระบี่มังกรทองพาข้ามาจนกระทั่งถึงที่นี่ แปลกประหลาดยิ่งกว่าความฝัน พูดให้คนอื่นฟังคงไม่มีใครเชื่อ
เสวี่ยอู๋เสียมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่ในท้องฟ้านั้นมังกรทองหายไปแล้ว
เด็กสาวผู้น่ารักก็หายไปแล้ว
มองเห็นไกลๆ เหมือนดวงดาว
เป็นประกายสดใส
สุกใสเหมือนกับประกายตาของนาง
เสวี่ยอู๋เสียเหมือนกับมองเห็นภาพลวงตามองเห็นเด็กหญิงในท้องฟ้าที่ห่างไกลยิ้มและโบกมือให้นาง…