จ่านป๋ายยิ้มขมขื่น ทำไมถึงกลายเป็นว่าเขาชอบตัดแล้วล่ะ? เดิมทีเขาก็แค่ตัดเพื่อความสนุกเท่านั้น ต่อมาก็กลัวว่าข้างในหินนั้นอาจจะมีหยก ตัดเป็นก้อนเล็กๆ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสผิดพลาดให้น้อยลง
ในเมื่อซีเหมินจินเหลียนพูดแบบนี้ก็คงต้องตัดต่อไป อย่างไรซื้อก็ซื้อมาแล้ว เขาไม่ได้หวังจะขายหินพวกนั้นกลับไปรีไซเคิลสักหน่อย
แต่เมื่อเจียระไนต่อไปเรื่อยๆ ก็ยังคงเป็นหินเหมือนเดิม ทำให้ผู้คนที่มุงดูอยู่นั้นรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ตัดมาตั้งเยอะแต่กลับเป็นหินทั้งหมด ดูแล้วเลือกสินค้าดีๆ ที่วางขายริมทางคงไม่ได้ง่ายเลย จนบางคนถึงขั้นคิดที่จะกลับบ้านเพื่อไปนอนแล้ว
จ่านป๋ายมองดูแล้วยังเหลืออีกสองก้อน ในนั้นมีก้อนหนึ่งที่ทรงเหลี่ยม เป็นก้อนที่เมื่อสักครู่ ซีเหมินจินเหลียนใช้นั่งแทนเก้าอี้
เขารีบยกก้อนนั้นมาวางไว้บนเครื่องเจียระไน ครั้งนี้เขาไม่เลือกที่จะตัดจากตรงกลาง แต่กลับวาดเส้นไว้รอบๆ เป็นอย่างดี ตัดเป็นแผ่นๆ หนาประมาณหนึ่งเซนติเมตร
ผู้คนที่มุงดูอยู่รอบนั้นค่อนข้างรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ดูจากท่าเจียระไนหินเมื่อสักครู่ของจ่านป๋ายก็ช่างซื่อๆ ตรงๆ ลงมีดอย่างฉับไว เนื้อผิวที่ตัดออกมาราบเรียบ แต่วิธีเจียระไนของเขาดูแล้วเหมือนมือใหม่อยู่ดี โดยเฉพาะตอนที่เขาตัดหินไร้ค่าทั้งหมด นี่ไม่เหมือนวิธีที่นักเดิมพันส่วนมากใช้กัน
เพราะสำหรับนักเดิมพันที่มีฝีมือช่ำชองนั้น หินหยกก้อนหนึ่งไม่ว่าลักษณะภายนอกจะย่ำแย่อย่างไร ในเมื่อซื้อมาแล้วก็ต้องระมัดระวังให้รอบคอบ ไม่ควรเลือกตัดจากตรงกลางให้แบ่งเป็นสองซีก แต่วิธีตัดหินของเขากลับเริ่มตัดจากตรงกลาง
ครั้งนี้เขากลับเรียนรู้ที่จะเหมือนมือฉมัง เริ่มตัดบริเวณรอบๆ แล้ว
ซีเหมินจินเหลียนเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะท่าทางที่ระมัดระวังของเขา เป็นเพราะว่าเมื่อสักครู่เธอนั่งลงบนหินหยกก้อนนี้ และเธอมีความสามารถในการมองทะลุผ่าน มองเห็นหยกที่อยู่ข้างในหิน แต่ไม่ได้มีพรสวรรค์เรื่องเปลี่ยนหินให้กลายเป็นทองเสียหน่อย เธอเพียงแค่นั่งลงแค่นี้ก็สามารถทำให้หินหยกธรรมดาก้อนนี้กลายเป็นหยกสวยชั้นดีแล้วเหรอ?
แต่เธอไม่ได้ดู จึงไม่รู้ว่าหินหยกก้อนนี้เป็นหินหรือว่าหยก
จ่านป๋ายจัดวางตำแหน่งของหินหยกไว้อย่างดี วาดเส้นลงไปและประคองจับเครื่องเจียระไนไว้ เมื่อมีดตัดลงไป…เสียงของใบมีดที่กระทบกับหินดังกังวาน นี่เป็นครั้งแรกของเขา อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีความหวังที่ล้นเอ่อขึ้นมา หวังว่าหินหยกก้อนนี้จะเผยสีเขียว ขอแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่ในใจก็พึมพำไม่หยุด “นี่เป็นหินที่จินเหลียนนั่งมาก่อน!” ถ้าไม่เผยสีเขียว เขาคงต้องรู้สึกผิดกับเธอแน่
แต่หลายปีมานี้มีหลายอย่างที่ไม่พึงประสงค์ เนื้อหินที่ถูกตัดเป็นแผ่นบางๆ ถูกจ่านป๋ายชำแหละแล้ว ยังคงเป็นหินไม่มีเค้าลางอะไร ผู้ชมที่รุมล้อมได้แต่พากันถอนหายใจออกมาอย่างสิ้นหวัง
จ่านป๋ายมองไปที่ซีเหมินจินเหลียนและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “จินเหลียน คุณว่า…หินหยกทั้งยี่สิบก้อนนี้ หากไม่มีก้อนไหนที่เผยสีเขียวเลยมันดูโชคร้ายเกินไปไหม?”
“สองร้อยก้อนและเผยสีเขียวได้ต่างหากถึงไม่โชคร้าย!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“จริงเหรอ?” จ่านป๋ายเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาจากศีรษะ เจียระไนหินคือการออกกำลังดีๆ นี่เอง
“จริงสิ!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าหนักแน่น
“แต่ทำไมหยกของคุณถึงมีโอกาสเป็นหยกสูงขนาดนั้น?” จ่านป๋ายถาม “มีเคล็ดลับอะไรเหรอครับ”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูด “อวิ๋นอวิ้นมีฉายาว่าเป็นนักเดิมพันหินที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อใคร หากเดิมพันหินแล้วไม่มีเคล็ดลับเลย หินกับหยกใครจะแยกออกได้ ดังนั้นคุณอย่าถามเลย ถามฉัน ฉันก็ไม่บอกหรอก!” ความจริง ถ้าถามเธอแล้ว เธอก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เพราะถ้าดูแค่ผิวหินและวิเคราะห์ว่าข้างในหยกเป็นสีอะไร เธอก็ยังไม่มั่นใจเลย
ถ้าไม่มีความสามารถในการมองทะลุผ่าน เธอก็คือมือใหม่ที่น่าสงสารในแวดวงเดิมพันหิน
“ผมมีความหวังกับหินหยกก้อนนี้ มีความหวังที่ยิ่งใหญ่!” จ่านป๋ายพูดตรงไม่อ้อมค้อม
“ทำไม?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย “เพราะว่าฉันเคยนั่งมาก่อนเหรอ? ฉันจะบอกคุณให้นะ ยิ่งคุณคาดหวังไว้มากก็ยิ่งผิดหวังมาก ก้อนนี้ฉันยังไม่ได้ดูเลยสักนิด” ตอนนั้นเธอเห็นว่าหินหยกก้อนนั้นเป็นทรงสี่เหลี่ยมนั่งสบายเท่านั้น
“ฮะ…” จ่านป๋ายยิ้มและทำการจัดวางตำแหน่งหินหยกก้อนนั้นไว้อย่างดี วาดเส้นและตัดลงไป ตามรอยเดิม เพียงแค่ตัดให้ลึกลงไปอีกหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้น
เดิมทีซีเหมินจินเหลียนคิดว่าเขาจะเริ่มตัดจากตรงกลาง แต่คิดไม่ถึงว่าเขาคอยระมัดระวังในการตัด ไม่นานก็ยิ้มและเดินถอยหลังออกมากี่ก้าว
ใบมีดขยับด้วยความเร็ว ส่งเสียงก้องมาเป็นระยะ เครื่องเจียระไนเครื่องนี้ค่อนข้างเก่าไปหน่อย และชำรุดไปมาก แต่ประสิทธิภาพยังไม่เลว ดังนั้นไม่นานจ่านป๋ายก็ตัดเป็นก้อนเล็กๆ อีกครั้งและค่อยๆ เจียระไนเนื้อแผ่นหินที่เบาบาง จ่านป๋ายมองแวบหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องตกใจ “จินเหลียน คุณรีบมาดูนี่สิ!”
ซีเหมินจินเหลียนอึ้งไป หรือว่าจะเผยหยกออกมา? ในใจคิดอย่างนั้นแต่ตัวก็พุ่งเข้าไปแล้ว เนื้อผิวหินด้านบนมีฝุ่นหินเกาะเต็มไปหมด มองแล้วยังเลือนรางไม่ชัด แต่มีสีแดงอ่อนระเรื่อปรากฏให้เห็น
“หยกสีแดง?” ซีเหมินจินเหลียนมองจ่านป๋ายอย่างตกใจ “ดวงคุณไม่เลวเลยนี่นา!”
ผู้คนที่มุงล้อมรอบได้ยินเช่นนั้นก็อดใจไม่ไหวยิ่งพากันกรูเข้ามา จ่านป๋ายหยิบน้ำสะอาดในอ่างร้าวราดน้ำสาดลงไปบนผิว ทำให้สีแดงดอกท้อนั้นยิ่งเห็นชัดมากขึ้น
“สีสวยจังเลย น่าเสียดายที่อ่อนไปหน่อย” ในนั้นมีคุณลุงท่านหนึ่งส่งเสียงร้องขึ้น พูดเสร็จก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รีบคุกเข่าตรงหน้าหินหยกเพื่อทำการสำรวจ
“พ่อหนุ่มน้อย สองแสน ผมขอล่ะ!” มีคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ไม่ทันได้ดูอะไรก็รีบปริปากออกมา
“สองแสนสองหมื่น ให้ฉันเถอะ!” ชายรูปร่างผอมเตี้ยออกแรงผลักผู้คนแทรกตัวเข้ามาข้างใน ลากจ่านป๋ายมาและพูดว่า “พ่อหนุ่ม การเดิมพันหินเดิมทีก็คือมีดหนึ่งแพ้ยับ มีดหนึ่งร่ำรวย คุณลองดูตอนนี้คุณจ่ายไปสองหมื่น แต่ได้กลับมาสองแสนกว่าก็ถือว่าดีมากแล้ว แต่ไม่รู้ว่าหากตัดต่อไปอีกจะยังจะทำให้สีแดงนี้ไม่เหลือเลยหรือเปล่า เป็นอย่างไรจะลงมืออีกไหม?”
“ในเมื่อเป็นเนื้อน้ำแข็ง ก็เป็นของดี!” ผู้คนที่พากันรุมล้อมส่งเสียงเชียร์ เพราะมีคนเปิดราคาด้วยสองแสนสองหมื่น ทำให้คนที่อยากอาศัยโอกาสซื้อของถูกปิดปากเงียบ คนที่ให้ราคาต่ำกว่านี้ไม่มีใครกล้าพูด
“คุณผู้ชาย ขอโทษด้วยครับ ผมก็ไม่คิดที่จะขาย” จ่านป๋ายส่ายหน้าพูด ซีเหมินจินเหลียนชอบหยกสีแดง เขารู้ความอิ่มน้ำในหินหยกก้อนนี้ค่อนข้างต่ำไปหน่อย แต่มันก็เป็นหินที่เขาเลือกมาเองจากเดิมพันหิน เขาไม่อยากขายทิ้งแบบนี้ แล้วก็สองแสนหรือ? ที่อื่นไม่ว่า แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ขาดแคลนเงินสองแสนเสียหน่อย
เมื่อผู้คนได้ยินเขาบอกว่าไม่ขาย ความสนใจก็พลอยหายไป เลยได้แต่พากันแยกย้าย แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะตีจาก จ่านป๋ายจ้องมองไปที่หยกสีแดงก้อนนั้น มีดใบนั้นไม่ได้ตัดไปถูกหยก สีแดงไม่ได้สดมาก มันเป็นเพียงหินชั้นบางที่โผล่ออกมา
หลังจากที่ได้วิเคราะห์ดูแล้ว และปรับแต่งเครื่องเจียระไนดู เขาก็ตัดลงไปอีกครั้งด้วยความยาวเพียงครึ่งเซนติเมตร
เนื้อผิวถูกเปิดออก จ่านป๋ายราดน้ำสะอาดลงไปด้านบนเล็กน้อย ในใจอดไม่ได้ที่จะชื่นชม เป็นเนื้อน้ำแข็งไม่มีผิด และเป็นสีแดงดอกท้อหายาก แม้จะไม่ได้ดีมาก แต่ข้อดีอย่างเดียวของมันก็คือด้านบนสีแดงมีสีขาวบริสุทธิ์ ราวกับหยกมันแพะ ทำให้ชั้นสีแดงระเรื่อนั้นเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยชั้นของไขมัน
เหมือนกับสาวงามที่ปัดแก้มทั้งสองข้าง
“พ่อหนุ่ม ฉันให้ห้าแสน ให้ฉันเถอะนะ!” แม้ว่าจ่านป๋ายจะบอกแล้วว่าไม่ขาย แต่ในฝูงชนเหล่านั้นก็ยังไม่ยอมตัดใจ
สถานที่นี้คือเจียหยาง คนส่วนมากทำธุรกิจหยก หากใครเดิมพันชนะ แน่นอนว่าต้องรีบเสนอราคาให้สูงขึ้นเพื่อแย่งซื้อ
จ่านป๋ายยังคงส่ายหน้า ซีเหมินจินเหลียนเองก็เป็นคนทำธุรกิจอัญมณีไม่มีความจำเป็นที่ต้องเอาเปรียบใคร! แม้จะเดิมพันแพ้ก็แค่เรื่องเท่านี้
พ่อค้าวัยชราเริ่มมีความเคลื่อนไหวตะโกนก้องขึ้นมาว่า “ยอมเสียทุนทิ้งแค่สองพันหยวน แต่ก็ทำให้ฝันหวานร่ำรวยข้ามคืน!”
ท่ามกลางผู้คนมีคนอดไม่ได้ที่จะโต้แย้ง “เมื่อกี้ไม่ใช่หนึ่งพันหยวนเหรอ?”
เห็นหยกที่จ่านป๋ายตัดออกมา แน่นอนว่าก็มีคนใจเต้นระรัวอยู่พอสมควร อยากจะซื้อหินสักก้อนมาวัดดวง เพราะอย่างไรก็ไม่ถือว่าแพง!
พ่อค้าวัยชราส่งสายตายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ “ฉันขึ้นราคาแล้ว!”
ผู้คนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรจะพูด ขายหินหยกก็ไม่มีอะไรที่น่าเชื่อถือ ถึงเขาจะขึ้นราคาไปก็ไม่มีใครพูดอะไรได้ ส่วนจ่านป๋ายไม่ได้สนใจเรื่องนี้ รีบหันไปคุยกับซีเหมินจินเหลียน “ผมว่าแล้ว หินก้อนที่คุณนั่งต้องดีแน่ๆ แล้วมันก็ใช่จริงๆ!”
“ฉันไม่ได้ดูอะไรเลย!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัวพูด “คุณพูดจาไร้สาระอะไรกัน? ทำไมถึงบอกว่าหินที่ฉันนั่งมันจะดีล่ะ” มันถึงขนาดที่เขาพูดเลยเหรอไง
จ่านป๋ายยิ้มแหยๆ ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัส และมองไปทางหินก้อนนั้นเพื่อทำการเจียระไนต่อไป พลิกหินอีกด้านดูส่วนที่เผยหยก จากนั้นลงมีดต่อไปตามลำดับ
หินหยกก้อนนี้ดีกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก พื้นสีขาวแต้มไปด้วยสีแดงอ่อน แม้ไม่เป็นชนิดเนื้อแก้วอย่างที่เขาคิดไว้ แต่ชนิดน้ำแข็งก็หาพบได้ยากแล้ว สีเป็นสีแดงดอกท้ออ่อนๆ สื่อถึงความอบอุ่น โดยเฉพาะเนื้อสีขาวที่อยู่ข้างในให้บรรยากาศเหมือนสีดอกท้อยามฤดูใบไม้ผลิ
หินหยกทั้งหมดหนาประมาณสามเซนติเมตร กว้างประมาณหกหรือเจ็ดเซนติเมตร ยาวสิบสองสิบสามเซนติเมตร ถ้าจัดการให้ดีน่าจะทำเป็นกำไลสองคู่ขายได้ตามตลาด ราคาคงไม่ต่ำกว่าสามล้าน
ผู้คนที่รุมล้อมได้แต่ชื่นชมจนกระทั่งรู้สึกอิจฉา เพราะจ่านป๋ายไม่คิดจะขาย พวกเขาก็ไม่อาจจะบีบบังคับให้ขายได้เลยพากันถอนหายใจไม่หยุด พ่อค้าวัยชรายิ่งได้ใจตะโกนเรียกคนผ่านไปผ่านมาไม่หยุด เดิมที่ที่ขึ้นราคาเป็นสองพันหยวน ตอนนี้คำพูดที่ออกจากปากของเขาขึ้นไปถึงห้าพันแล้ว…เขาก็เพียงแค่นั่งรอแล้วขึ้นราคาเฉยๆ
จ่านป๋ายหากระดาษหนังสือพิมพ์ห่อหินหยกเอาไว้และส่งไปให้ซีเหมินจินเหลียน ในขณะเดียวกันก็ถามขึ้นเสียงเบาว่า “ก้อนนั้น ก็อย่าเพิ่งตัดออกมาดูดีกว่าครับ?”
“ทำไมไม่ตัดล่ะ เพราะคุณคิดว่ามีโชคแค่นี้เหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนพูดจาข่ม
“เปล่า แต่ก้อนนั้นมันดูแปลกๆ!” จ่านป๋ายเห็นคนส่วนใหญ่พากันดูสินค้าของพ่อค้าวัยชรา ไม่มีใครสนใจพวกเขาแล้ว “หรือคุณจะลองดูไหม?”